รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 271 จริง เท็จ เท็จ จริง
หลงเยว่หงไม่อาจทราบได้ว่าเสียง ‘บรู๊ว’ นี้จะส่งผลต่อ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเขารู้ว่ามันทำให้ตัวเองมีสีหน้าเหรอหราเซ่อซ่าแน่นอน
หมอนี่พยายามสื่อสารกับเป้าหมายด้วยภาษาสัตว์งั้นเหรอ
แต่ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือ… นายพูดภาษาสัตว์ไม่เป็นเสียหน่อย!
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่อีกฝั่งถึงกับมุมปากกระตุกไปหลายวินาทีก่อนจะฟื้นสติกลับมาได้
คงต้องบอกว่าซางเจี้ยนเย่านั้นทำสิ่งที่เกิดความคาดหมายของเธออีกครั้งแล้ว
แน่นอนว่าการกระทำของซางเจี้ยนเย่านั้น หากมองในเชิงตรรกะแล้วก็นับว่ามีเหตุมีผล
การเป็นสัตว์ป่าย่อมไม่ได้หมายความว่ามันไร้ซึ่งสติปัญญาโดยสิ้นเชิงจนเหลือเพียงแค่สัญชาตญาณ พวกมันยังสามารถใช้เสียง การกระทำ และการกระดิกหาง เพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใกล้เคียงกันได้ในระดับหนึ่ง
การร่วมมือกันนั้นเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อย
แม้แต่สัตว์ป่าก็ยังเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘โรคไร้ใจ’ ซึ่งเกิดจากมนุษย์ที่มีสติปัญญาเสื่อมถอยเลย
จากพื้นฐานการอนุมานเช่นนี้ก็เป็นไปได้จริงๆ ที่จะพยายามสื่อสารกับ ‘คนไร้ใจ’ ด้วยวิธีที่พวกเขาสามารถเข้าใจ เพื่อบรรลุเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับให้ ‘ตัวตลกชักจูง’ สามารถสัมฤทธิ์ผลได้
ปัญหาก็คือที่ผ่านมาไม่เคยมีนักมานุษยวิทยาคนใดเคยศึกษาว่า ‘คนไร้ใจ’ นั้นสื่อสารและร่วมมือกันในกลุ่มได้อย่างไร หรือเข้าใจได้กระจ่างว่าเสียงร้องกับภาษากายที่แตกต่างกันนั้นมีความหมายเช่นไร
และยิ่งกว่านั้นก็คือนี่เป็น ‘กลุ่มชาติพันธุ์’ ที่มีช่วงอายุขัยที่สั้นมาก พวกเขาจะสามารถพัฒนากระบวนการสื่อสารในรูปแบบของตนขึ้นมาได้หรือไม่นั้นยังคงเป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบกันต่อไป
ในซากปรักบึงดำหมายเลข 1 เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตเห็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่นั่นนับว่าไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นกรณีพิเศษที่เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของเสี่ยวชง ไม่อาจแพร่กระจายออกไปได้
นอกจากนี้ หากว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเคลื่อนไหวด้วยตัวคนเดียวหลังจากป่วยเป็นโรค ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้าง ‘ภาษาสัตว์’ ของตนขึ้นมา รวมถึงภาษากายด้วย
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ คู่กรณีไม่มีทางเข้าใจภาษานี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าซางเจี้ยนเย่าจะเชี่ยวชาญ ‘ภาษาไร้ใจ’ หรือไม่ก็ตาม
ไม่มีประโยชน์… เจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะพูดประโยคนี้ออกไป แต่ซางเจี้ยนเย่าก็เปลี่ยนคำพูดของเขาเสียแล้ว
“หากสารภาพจะได้รับการผ่อนผัน
“หยุดเพ้อฝันและยอมรับความเป็นจริง”
เขาถือโทรโข่งตะโกนไปทางโน้นทีทางนี้ที ทว่ายังไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดออกมา ‘มอบตัว’
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาเล่นจนหนำใจแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เล็งไปทางถนนที่มุ่งไปสู่ภูเขาอีกครั้งแล้วสื่อสารกับเป้าหมายที่คิดเอาไว้ด้วยโทรโข่ง
“คุณดูสิ
“คุณเป็นผู้ชาย ผมเองก็เป็นผู้ชาย
“คุณมีสิ่งที่ไม่ยอมปล่อยวาง ผมเองก็มีสิ่งที่ไม่ยอมปล่อยวาง
“ดังนั้น…”
เสียงนั้นดังก้อง จากนั้นทั่วทั้งภูเขาพลันเงียบสงัดลงไป
ซางเจี้ยนเย่ายังคงเปลี่ยนตำแหน่งที่มุ่งเป้าไปเรื่อยๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง
“ดูท่าจะไม่ได้ผล…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ
“อย่าเพิ่งเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาสิ” ซางเจี้ยนเย่าท่องคำติดปากของ ‘นิกายตื่นตัว’ ออกมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วต่อด้วยหลักปรัชญาของ ‘นิกายมังกรพยับ’ “นี่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา”
“ถ้าเป็นภาพลวงตา งั้นก็ยิ่งแปลว่ามันไม่ได้ผลนะสิ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะหลุดออกจากภาพลวงตาไปแล้ว” ในด้านนี้เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงครุ่นคิดอย่างรอบคอบด้วยหลักการและเหตุผล
“ผมหมายถึงว่าที่ผมทำไปเมื่อกี้ เป็นแค่ภาพหลอนที่คุณมองเห็น ส่วนตัวผมน่ะยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ซางเจี้ยนเย่าถกเถียงอย่างตั้งอกตั้งใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านเกินกว่าจะใส่ใจเขา หันไปพูดกับหลงเยว่หงและไป๋เฉินแทน พิจารณาถึงความเป็นไปได้ของแผนอื่น
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถอนใจอย่างเศร้าสร้อย
“น่าเสียดาย ตอนที่คุยกับไป๋เซียวตัวปลอมก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้ลองหลอกเขาดู”
นี่… เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
เธอรีบถามพวกซางเจี้ยนเย่าเพื่อยืนยันให้มั่นใจ
“พวกนายคิดว่าในตอนนั้นคนที่แสดงเป็นไป๋เซียวตัวปลอมมาคุยกับเราน่ะเป็นใคร”
“แหงล่ะ ก็ต้องเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นนะสิ” หลงเยว่หงรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม แถมยังเป็นเรื่องที่ได้ถกกันมาก่อนหน้านี้แล้วด้วย
เขาเริ่มระแวงขึ้นมาทันที ไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองกำลังตกอยู่ในภาพหลอนย้อนกลับของเมื่อวานหรือเปล่า
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“ก่อนหน้านี้พวกเราได้คุยกันแล้ว พวกไป๋เซียวหลินถงตัวปลอมนั่นเป็นสิ่งที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นจำแลงขึ้นมา
“แต่เขาย่อมไม่มีทางจะรู้ได้ว่าพวกเราจะพูดหรือถามอะไร โดยเฉพาะคนที่มีใบรับรองแพทย์แบบซางเจี้ยนเย่า ภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นในตอนนั้นมีการถามการตอบ มีการแสดงสีหน้าท่าทางอย่างสมเหตุสมผล มีการปฏิกิริยาตามปกติ นอกจากพวกเรื่องส่วนตัวแล้ว อย่างอื่นก็จริงซะยิ่งกว่าจริง
“นี่เป็นสิ่งที่คนที่ไม่มีสติปัญญา คนที่หลงเหลือเพียงแค่สัญชาตญาณของสัตว์ป่าจะทำได้อย่างนั้นเหรอ”
การสร้างภาพลวงตานั้นนับว่าต้องใช้ทักษะเป็นอย่างมาก
“หัวหน้า… ในตอนนั้นคุณประเมินว่าจิตใต้สำนึกของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นใกล้เคียงกับระบบปัญญาประดิษฐ์ อาศัยการรวบรวมสัญญาณจากโลกภายนอกเพื่อดึงเอาการตอบสนองที่จำเป็นมาจากคลังข้อมูลขนาดมหาศาล” หลงเยว่หงเตือนเจี่ยงไป๋เหมียนถึงประเด็นคำถามที่พูดถึง
ไป๋เฉินตอบอย่างครุ่นคิด
“ดังนั้น เขาจะทำตัวเหมือนมนุษย์เมื่ออยู่ในภาพลวงตา”
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้ ประเด็นสำคัญก็คือตอนที่เราคุยกับตัวปลอมในภาพลวงตาน่ะ แบบนั้นจะเท่ากับว่าเรากำลังคุยกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นด้วยหรือเปล่า”
หลงเยว่หงใคร่ครวญอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าตามทฤษฎีก็ใช่นะ”
“ในทางกลับกัน มนุษย์จำแลงในภาพลวงตาก็เทียบเท่าส่วนหนึ่งของจิตสำนึกของเขา เป็นสิ่งที่สามารถ ‘สื่อสาร’ กันได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่ออีก “นี่เป็นการสื่อสารผ่าน ‘ฐานข้อมูลขนาดมหาศาล ’ แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ คุณฟังฉันไม่รู้เรื่อง ฉันเองก็ฟังคุณไม่รู้เรื่อง ก็นับว่าดีกว่าเยอะ”
ไป๋เฉินแสดงสีหน้าขบคิดใคร่ครวญ
“หัวหน้าหมายความว่าซางเจี้ยนเย่าสามารถใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อโน้มน้าว ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นได้โดยตรงผ่านการสนทนากับมนุษย์จำแลงอย่างนั้นใช่ไหม”
“อย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเป็นการใช้ ‘ตัวตลกอนุมาน’ กับ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรอกเหรอ” หลงเยว่หงหันไปมองซางเจี้ยนเย่า “ผมจำได้ว่าซางเจี้ยนเย่าเคยบอกไว้ว่าเขาไม่สามารถรับรู้จิตสำนึกจากพวกเกอนาวาได้ ไม่สามารถใช้พลังเพื่อชักจูงได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“นายก็เพิ่งจะพูดออกมาเองไม่ใช่เหรอ ว่าพวกเกอนาวาน่ะไม่มีจิตสำนึก แต่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นน่ะมี!
“ในเมื่อข้อกำหนดเบื้องต้นต่างๆ ก็มีพร้อมหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ยังขาดไปก็คือเขาจะเข้าใจได้จริงหรือเปล่านั่นแหละ ซึ่งฉันคิดว่าความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ค่อนข้างสูง คุ้มที่จะลองดู”
“นี่ก็คือที่ผมพูดถึงนั่นแหละ” ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังนั่งฟังอยู่ก็พยักหน้าหงึกๆ ด้วยความพอใจ
“เฮ้ งั้นนายก็มาเป็นหัวหน้าทีมก็แล้วกัน!” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะด้วยความโมโห
คนผู้นี้รีบทำตัวเป็นหัวหน้าทีมทันที
ซางเจี้ยนเย่าหันไปพูดกับหลงเยว่หง
“นายยังไม่รีบไปเปลี่ยนกางเกงอีกหรือไง”
“…” หลงเยว่หงแทบจะกระอักโลหิตออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนให้คำแนะนำเขาไป
“เวลาแบบนี้นายควรจะตอบกลับไปว่า ‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย สิ่งที่นายเห็นอาจจะเป็นภาพหลอนก็ได้ว่าฉันยังไม่ได้เปลี่ยนกางเกง’”
แต่ว่าการใส่กางเกงเปียกฉี่แบบนี้มันก็รู้สึกไม่สบายตัวจริงๆ นั่นแหละ… หลงเยว่หงรีบหยิบกางเกงตัวอื่นออกมาจากกระเป๋าเป้ยุทธวิธีแล้วเข้าไปในรถจี๊ปเพื่อเปลี่ยน
เมื่อออกมาแล้วเขาก็อดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้
“ทำไมเจ้า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นถึงเอาแต่เล่นงานพวกเรานักนะ
“เอาแต่มาสร้างภาพลวงตาฝั่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน ทำไมไม่ยอมไปหาเจ้าอารามโจวหรือคนอื่นๆ บ้างละเนี่ย”
เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าครุ่นคิด
“เป็นคำถามที่ดี”
ไป๋เฉินใช้มุมมองจากนิสัยตัวเองลองขบคิดดู
“อาจเป็นเพราะเขารู้สึกว่าพวกเราอ่อนแอที่สุดละมั้ง เหมาะที่สุดที่จะฝ่าเข้ามาทางนี้”
“เป็นคำตอบที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกชอกช้ำระกำใจชะมัด” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะตัวเอง “นั่นสินะ ทางด้านอื่นนั่นเป็นการผสานรวมทีมระหว่างพวกนิกายกับหุ่นยนต์ ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้ครองกาลของ ‘มายาฉาย’ ‘ทวารแผดเผา’ ‘คันชั่งทองคำ’ เป็นกำลังหนุนอยู่ด้วยก็ได้”
“อย่างนี้นี่เอง” ซางเจี้ยนเย่าใช้กำปั้นขวาทุบลงบนฝ่ามือซ้าย
เขารีบหันไปควานหากระดาษแผ่นใหญ่และปากกาหมึกซึม จากนั้นก็ขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างโดยใช้กระจกหน้าต่างรถจี๊ปรองกระดาษ
หลงเยว่หงแอบชะโงกมองด้วยความสงสัย แต่ก็ถูกร่างซางเจี้ยนเย่าบดบังจนมิด
ผ่านไปครู่หนึ่งซางเจี้ยนเย่าก็วางปากกา แปะกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่ประตูฝั่งที่หันหน้าไปทางภูชีลาร์
เทียบกับก่อนหน้านี้ กระดาษขาวแผ่นนี้มีลวดลายขีดเขียนปรากฏอยู่เต็มไปหมด ประกอบไปด้วย
ภาพเด็กทารกแบบง่ายๆ – ภาพหน้าคนที่ไม่มีใบหน้า – ภาพหอคอยโลหะหนึ่งหลัง – ภาพดวงอาทิตย์ที่เป็นดวงตาคู่หนึ่ง – ภาพเตาหลอมที่มีประตู – ภาพผู้หญิงที่ซ่อนอยู่ในเงามืดหลังประตู – ภาพสัญลักษณ์มังกร และภาพคันชั่ง
“เอาละ ปลอดภัยแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะด้วยความพอใจเปี่ยมล้น
หนึ่ง สอง สาม… หลงเยว่หงนับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดอยู่ในใจ
แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนย่อมไม่เชื่อถือวิธีการเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่ทำให้เธอรู้สึกขบขันมีอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“เท่าที่ฉันจำได้นะ ดูเหมือนว่าจะมีผู้ครองกาลบางองค์ นิกายบางนิกาย ที่เป็นเหมือนน้ำกับไฟ ขัดแย้งกันอย่างหนัก ไม่มีทางเข้ากันได้” ไป๋เฉินแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‘ภาพบูชาผู้ครองกาล’ ของซางเจี้ยนเย่าด้วยมุมมองที่สมเหตุสมผล
“ในเวลาแบบนี้ พวกพระองค์ไม่ถือสาใส่ใจหรอก” ซางเจี้ยนเย่าตอบ ‘แทน’ เหล่าผู้ครองกาลด้วยสีหน้าที่จริงใจอย่างสุดๆ
ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือเปล่านะ ถ้า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเปลี่ยนเป้าหมายจริงๆ พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็จะได้ไม่ต้องเจอกับภาพหลอนอีก
หลงเยว่หงรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีทางเอาชนะ ‘ประสบการณ์เสียชีวิต’ ที่เกิดจากภาพหลอนได้
เมื่อดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ยามสมองกลตัวหนึ่งนำพาหุ่นยนต์ต่อสู้จำนวนมากมาด้วย พวกมันมาจากทาร์นันเตรียมเข้ารับหน้าที่แทน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทำหน้าที่แทนในวันใหม่
หลังจากส่งมอบเปลี่ยนกะ หลงเยว่หงก็ถอนหายใจโล่งอก เข้าไปในรถจี๊ปเป็นคนแรกแล้วขับรถจี๊ปวนไปรอบๆ
ในตอนนี้จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดกับยามจักรกล
“คุณดูสิ
“คุณเป็นผู้ชาย ผมเองก็เป็นผู้ชาย
“คุณมีสิ่งที่ไม่ยอมปล่อยวาง ผมเองก็มีสิ่งที่ไม่ยอมปล่อยวาง
“ดังนั้น…”
ฮ่า ไหงนายถึงใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ กับยามจักรกลล่ะนั่น… ทันทีที่หลงเยว่หงเกิดความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมา เขาก็เห็นว่ายามจักรกลตัวนั้นกับหุ่นยนต์ผู้ช่วยอันตรธานไปในพริบตา!
“นี่มัน…” ม่านตาหลงเยว่หงขยายตัวทันที
วินาทีถัดมาเขาก็พบว่าทิศทางที่รถจี๊ปกำลังมุ่งตรงไปนั้นไม่ใช่ทาร์นัน แต่เป็นแยกที่เต็มไปด้วยกับระเบิด!
เขาเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้างุนงง และเห็นว่าท้องฟ้ายังคงมืดดำอยู่ มีเพียงหลอดไฟที่อยู่บนป้ายไม้กับกระจกเงาเท่านั้นที่ยังส่องสว่างออกมา
ภาพลวงตา… พวกเราเข้ามาในภาพหลอนตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย… ดีที่ซางเจี้ยนเย่าเป็นพวกหัวรั้น ไม่ลืมว่าจะต้องทำอะไร… หลงเยว่หงฟื้นสติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถอนใจให้กับชีวิตเพิ่งจะรอดจากหายนะมาได้อย่างหวุดหวิด
ไป๋เฉินเองก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ ก่อนจะผงกศีรษะเล็กน้อย
“ภาพหลอนนี้ยอดเยี่ยมมาก
“มันถึงขนาดส่งอิทธิพลต่อประสาทสัมผัสของเราว่าเวลาเลื่อนไปได้…”
เธอยังพูดไม่ทันจบก็พบว่าซางเจี้ยนเย่านั้นกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์
“นายคิดอะไรอยู่ละนั่น” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างสงสัย
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างจริงจัง
“กำลังคิดว่าจะสร้างเพื่อนกับเขาได้หรือเปล่า”