รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 272 ภาพลวงตาอันแปลกประหลาด
เมื่อได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียนก็ร้อง “เอ่อ”
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เขาต่างไปจากคนอื่นๆ ที่นายเคยใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เมื่อก่อนอยู่บ้าง
“เมื่อกี้ฉันเองก็ยังแปลกใจที่มันสามารถสร้างอิทธิพลทำลายภาพลวงตาได้”
การโต้ตอบของภาพลวงตานั้นคล้ายกับระบบปัญญาประดิษฐ์ที่มีจิตสำนึกมาก ส่วนการจะระบุลงไปอย่างเจาะจงว่าจะเกิดผลอะไรนั้น ซางเจี้ยนเย่าไม่เคยผ่านประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลออกมาได้เช่นกัน
“ไม่ต้องสร้างเพื่อนกันหรอก แค่ทำให้เขาไม่พุ่งเป้ามาที่พวกเราก็พอแล้วล่ะ” หลงเยว่หงอดพูดออกมาไม่ได้
ถ้าขืนให้ซางเจี้ยนเย่ากลายเป็นเพื่อนกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น จะไหวเหรอนั่น… เกิดเขาเดินกร่างไปทั่วทาร์นัน นึกอยากจะรังแกใครก็รังแก อยากจะแกล้งใครก็แกล้ง นี่มันหายนะชัดๆ
การที่หลงเยว่หงเพิ่งฉี่ราดกางเกงต่อหน้าสมาชิกในทีมไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เขาเกิดบาดแผลในใจ
“ก็หวังว่านะ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูผืนฟ้ายามวิกาลอันมืดมิดที่มีจุดแสงอยู่ประปราย “ไปเฝ้ายามกันต่อเถอะ”
เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็พิงรถจี๊ปด้วยความผิดหวัง
เวลาล่วงเลยไปทีละนาที ทีละวินาที จู่ๆ ไป๋เฉินก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ดูนั่นสิ”
พวกเจี่ยงไป๋เหมียนทำตามแผนที่เตรียมไว้ มองไปยังบริเวณที่ไป๋เฉินเฝ้าตรวจตราอยู่ด้วยคติว่า ‘คิดก่อนทำ’
ที่แห่งนั้นมีอาคารไม่สูงนักปรากฏขึ้นมาเรียงรายหลายหลังตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
อาคารเหล่านี้สร้างขึ้นมาในรูปแบบที่โลกเก่าเรียกว่า ‘แมนชั่น’ ‘อาคารชุด’ ‘คอนโด’ พวกมันถูกโอบล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจี
ณ ขณะนี้ ม่านรัตติกาลทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมองดูอึมครึมไม่ชัดเจน มีเพียงแสงที่ส่องออกมาจากด้านหลังกระจกหน้าต่างของอาคารที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นและวางใจได้
“นะ…นี่… นี่เป็นภาพหลอนใช่ไหม” หลงเยว่หงพูดกับตัวเองอย่างไม่แน่ใจ
“นอกจากภาพหลอนแล้วก็คงไม่มีใครเนรมิตคอนโดพวกนี้ให้เกิดขึ้นมาได้ในพริบตาหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบยืนยันให้เขา
“มีสิ ความฝันไง” ซางเจี้ยนเย่า ‘ช่วย’ แก้ไขคำพูดให้เธอ
ทุกคนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าอาคารชุดที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นของทาร์นัน
มันเพิ่งโผล่ออกมาจากอากาศ
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นทำไมถึงได้สร้างภาพหลอนที่มองดูแว่บเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของปลอมแบบนี้ขึ้นมาล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังอาคารชุดอันเงียบสงัดพวกนั้น กล่าวด้วยความสงสัยใจ
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ‘ครุ่นคิด’
“ทักทายพวกเรางั้นเหรอ
“หรือว่าเขาจะคิดว่าผมเป็นเพื่อนกันแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะแย้ง แต่แล้วก็กลืนคำที่คิดจะพูดลงไป
“ก็เป็นไปได้” ไป๋เฉินสนับสนุนคำพูดของซางเจี้ยนเย่า
ถึงอย่างไรเธอก็เคยพบพานความมหัศจรรย์แห่งพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ มากับตัวเองแล้ว
“งั้นผมควรจะตอบสนองยังไงดี” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกลำบากใจ
“รอดูก่อนว่าจะมีอะไรต่อ” เจี่ยงไป๋เหมียนตกลงใจเลือกกลยุทธ์ปลอดภัยไว้ก่อน
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ไฟทุกดวงในอาคารแห่งนั้นก็พลันดับวูบลงพร้อมกัน
ไม่สิ ยังมีไฟอยู่ เสมือนเป็นดั่งเรือลำน้อยที่ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบอันกว้างใหญ่
มันเบ่งบานอย่างเงียบเชียบด้วยแสงสีเหลือง กลายเป็นจุดที่เด่นสะดุดตาที่สุดในค่ำคืนอันมืดมิด
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอยากให้พวกเราเข้าไปในห้องนั้นงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามคาดเดาความหมายของการเปลี่ยนแปลงนี้
เธอหมายถึงห้องที่ยังมีแสงไฟอยู่
“อ๋อ…” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็กระจ่างขึ้นมา “ที่แท้เขาอยากเชิญเราไปเที่ยวบ้านนี่เอง”
“หยุดก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบขัดความกระตือรือร้นของซางเจี้ยนเย่าทันที “ถ้านายถูกผลจากภาพหลอนโง่ๆ แบบนี้จนเดินไปเหยียบกับระเบิดตัวเองเข้า ฉันจะเขียนบนป้ายหลุมศพนายว่า ‘เจ้าหมอนี่ตายเพราะความโง่’”
‘ทีมสำรวจเก่า’ วางกับระเบิดและขุดหลุมกับดักเอาไว้มากมาย ถ้าหากว่าตกอยู่ในภาพหลอนก็คงมีแต่ผีที่รู้ว่าพวกเขาจะเดินหลงทิศผิดทางหรือเปล่า
“ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวออกมาจากใจจริง
พูดจบเขาก็หันไปชำเลืองมองหลงเยว่หง
“ถ้าอยากจะเป็นสายลับไปสอดแนม นายก็ไสหัวไปเองเถอะ!” หลงเยว่หงตอบอย่างระแวง
“ได้!” ดูเหมือนว่าซางเจี้ยนเย่าจะเฝ้ารอคำตอบเช่นนี้อยู่แล้ว ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนรีบรั้งเขาไว้เสียก่อน
เจ้าหมอนี่วางแผนไว้แบบนี้งั้นเรอะ… หลงเยว่หงถึงกับชะงักไป
แล้วในตอนนี้เอง อาคารที่อยู่ลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้าเขาก็พลันขยายใหญ่ขึ้นมา ระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้นลงทันที
เพียงไม่กี่วินาที พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าก็เข้ามาอยู่เบื้องหน้าอาคารชุดแห่งนี้แล้ว อยู่ที่ด้านล่างของอาคารที่มีหลอดไฟส่องสว่างเพียงดวงเดียว
“ใจร้อนจริงเชียว…” ซางเจี้ยนเย่าชื่นชมจากใจ
พูดแล้วเขาก็ถอนหายใจ
“น่าเสียดายที่เขากินคน แถมยังกินไปไม่น้อย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นเพื่อนกับเขาได้จริงๆ”
ดีที่นายยังมีมโนธรรมขั้นต่ำอยู่บ้าง… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอยู่ในใจก่อนจะร้องเตือนออกมา
“อย่าเพิ่งไปไหน ถ้าเขาอยากให้เราเข้าไป เดี๋ยวเขาก็ทำให้พวกเราเข้าไปเอง ถ้าเขาอยากให้เราเห็นอะไร เดี๋ยวเขาก็ทำให้พวกเราเห็นเองนั่นแหละ”
“อืม” หลงเยว่หงรู้สึกว่าแบบนี้ตรงกับความคิดของตัวเองมากที่สุด
คำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ถูก ‘เคลื่อนย้าย’ เข้าไปในอาคารโดยตรง
ระหว่างขั้นตอนนี้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน
เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงชั้นบนซึ่งเป็นชั้นที่ 11
ชั้นนี้มีอยู่เพียงยูนิตเดียว ประตูห้องนั้นทั้งกว้างทั้งสูง เป็นสีแดงเลือดนก
หน้าต่างที่อยู่สูงจากทางเดินฉายแสงจางๆ ทำให้เกิดเส้นสายลายเงาคนพาดไปมา
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์ มีทั้งหญิงชาย มีทั้งชราเยาว์ แต่งกายแตกต่างกันไป ล้วนเป็นสไตล์การแต่งตัวแบบโลกเก่าทั้งสิ้น
ในขณะนี้พวกเขาต่างก็เบียดเสียดอออยู่หน้าประตู พยายามยื้อแย่งแอบมองเข้าไปในห้องจากช่องรอยแยกราวกับคนเสียสติ
“นี่… กำลังทำอะไรกันน่ะ” หลงเยว่หงถึงกับงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะ
“นี่เป็นการแสดงจิตใต้สำนึกอันบ้าคลั่งของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นออกมาให้เห็นงั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง
“นี่แสดงว่าข้างในนั้นเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง…”
เขายังพูดไม่ทันจบ สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ถูก ‘ดึงทะลุ’ ผ่านบานประตูสีแดงเลือดนกที่ไม่มีอยู่จริงเข้าไปข้างใน
หลงเยว่หงเหลียวหน้ากลับมามองตามจิตใต้สำนึก
ช่องประตูนั้นราวกับมีดวงตาหลากหลายคู่จ้องมองเข้ามาข้างใน
ซี้ด… หลงเยว่หงรู้สึกขนลุกเกรียวเสียวสยองอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาอย่างฉับพลัน
แล้วในตอนนี้เอง สายตาของพวกเจี่ยงไป๋เหมียนก็มองข้ามฟากจากห้องนั่งเล่นอันกว้างขวางตระการตาไปยังหน้าต่างสูงที่สุดปลายห้อง
หน้าต่างสูงบานนั้นจมอยู่ในความมืดมิด โดยมีใบหน้ามนุษย์นาบติดแผ่นกระจกอย่างเบียดเสียดเต็มไปหมด
สีหน้าพวกเขาต่างก็บิดเบี้ยว ดวงตาฉายแววความกระเหี้ยนกระหือรือที่อธิบายไม่ถูก
นี่ประหนึ่งว่าด้านนอกหน้าต่างนั้นเป็นเวที คนเหล่านี้เบียดเสียดแออัดอยู่ตรงนั้น พยายามมองผ่านหน้าต่างเข้ามาภายใน
อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นหน้าต่างที่เปิดกระจกออก เงาร่างสายหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ราวระเบียง
เธอเป็นหญิงสาวร่างผอมบาง ผมยาวสีดำยุ่งเป็นกระเซิง ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยความมืดทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด
เวลานี้หญิงสาวผู้นั้นกำลังร่ำไห้สะอึกสะอื้น พูดเพียงประโยคเดียวซ้ำไปซ้ำมา
“พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ…”
“ไม่ใช่นะ!” ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบไปทันที
ทว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ฟัง เธอหยัดร่างขึ้นมาแล้วกระโดดออกจากหน้าต่างไปทันที
ซางเจี้ยนเย่ายื่นมือออกไปคว้าไว้ แต่เป็นเพราะระยะทางที่ห่างเกินไปทำให้ไม่อาจไปถึงได้
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนผู้ซึ่งรู้ว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา กำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ
เธอเห็นว่าบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลนักมีแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งวางไว้
หน้าจอแท็บเล็ตเปิดอยู่ มีภาพถ่ายและข้อความแสดงอยู่บนหน้าจอ
ภาพถ่ายนั่นเหมือนเป็นภาพหญิงสาวสวมหมวกกำลังขึ้นรถ มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า
‘ไอดอลสาวชื่อดัง เจียงเสี่ยวเยว่ แอบไปเดตกับเจ้าสัวใหญ่วัยกลางคน!’
พลั่ก!
หญิงสาวที่กระโดดลงจากหน้าต่างร่วงหล่นกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
ภาพมายาพลันบิดเบี้ยวในบัดดล หลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน รู้สึกเหมือนความคิดถูกดูดเข้าไปในห้วงวังวนพร้อมกันจนราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
ในใจพวกเขาตื่นตระหนกอย่างไม่อาจควบคุม ประหนึ่งว่าเผชิญกับความมืดมิดที่กำลังกลืนกินชีวิตตนเองเข้าไป
สติพวกเขาค่อยๆ ดับวูบลง
ฟู่… เจี่ยงไป๋เหมียนดิ้นรนให้ ‘ตื่น’ ขึ้นมา แล้วก็พบว่าตนเองนั้นยังอยู่ข้างรถจี๊ปที่แวดล้อมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงหลอดไฟที่สะท้อนกระจกและป้ายไม้เท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่
เธอเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าโดยไม่รู้ตัว เห็นอีกฝ่ายเตรียมจะเขย่าปลุกตนเอง
“นายก็หลุดมาจากภาพหลอนได้งั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเขาไปพลาง เดินไปพลาง เธอเดินไปสองก้าวแล้วพยายามปลุกไป๋เฉินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
“อืม” ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปทางหลงเยว่หง
หลงเยว่หงรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกวิงเวียนตาลายเป็นอย่างมาก
ผ่านไปหลายวินาทีเขาถึงจะฟื้นสติโดยสมบูรณ์
“พอแล้ว!
“ไม่ต้องเขย่าแล้ว!”
“ว้า นายตื่นซะแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยสีหน้าเสียใจราวกับว่าเขาเพิ่งจะได้ใช้วิธีที่เตรียมไว้ไปแค่ไม่กี่อย่าง
หลงเยว่หงรีบตอบกลับไปอย่างมึนๆ งงๆ
“ตื่นแล้ว!”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นสมาชิกทุกคนปลอดภัยไร้กังวลก็ถอนใจโล่งอกแล้วพูดรำพันกับตัวเอง
“ภาพลวงตาเมื่อกี้ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่”
“นั่นน่าจะเป็นฉากเหตุการณ์จากโลกเก่า” ไป๋เฉินพูดอย่างครุ่นคิด “‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น กับไอดอลชื่อดังเจียงเสี่ยวเยว่มีความเกี่ยวข้องกันยังไงนะ”
“เธอก็เห็นข่าวที่อยู่บนแท็บเล็ตนั่นเหมือนกันเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเพื่อยืนยัน “แต่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอายุปาเข้าไปตั้ง 80-90 แล้ว ไม่น่าจะใช่เขา… อืม… ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ จะมีอายุยืนยาวได้ อย่างมากก็แค่นานกว่า ‘คนไร้ใจ’ ทั่วไปนิดหน่อยแค่นั้นเอง เอ่อ… ยกเว้นเสี่ยวชงน่ะ”
หลังจากมนุษย์ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ แล้ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต สภาพร่างกาย รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ จึงทำให้อายุขัยพวกเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนบรรยายถึงสิ่งที่ตนเองได้เห็นจนจบแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ผงกศีรษะ
“เขาอาจเป็นลูกชายของเจียงเสี่ยวเยว่ก็ได้”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ “งั้นทำไมเขาถึงดึงดันจะเข้าไปในทาร์นันให้ได้ล่ะ”
“ที่นี่เป็นบ้านเกิดของเจียงเสี่ยวเยว่ เป็นที่ที่เขาเติบโตขึ้นมา” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจด้วยความสะเทือนใจ
“…ฉันเกือบจะเชื่ออยู่แล้วเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างขบขัน “นายเอาแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา แล้วก็ซากปรักบึงดำหมายเลข 1 จับมายำรวมกันใช่ไหมล่ะ”
“มันก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้นะ” ครั้งนี้หลงเยว่หงสนับสนุนซางเจี้ยนเย่า
เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า
“แต่มันบังเอิญเกินไปหน่อยนะสิ คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องทุกเรื่องที่เราเจอะเจอมาจะต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลเดียวกันใช่ไหมล่ะ”
เป็นเพราะมีเบาะแสไม่เพียงพอ หลงเยว่หงกับไป๋เฉินจึงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้
หลังจากหารือกันอย่างเคร่งเครียดจบไป ในที่สุด ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ตกลงปลงใจว่าจะรายงานเรื่องนี้กลับไปเพื่อดูว่าพวกนิกายใหญ่ๆ ทั้งหลายและ ‘สวรรค์จักรกล’ จะมีความเห็นเช่นไร
บางทีโจวเยว่เจ้าอารามหนานเคอ อาจจะสามารถวิเคราะห์อะไรออกมาได้ก็ได้
ผ่านไปอีกเนิ่นนาน ฟากฟ้าก็ค่อยๆ เรืองรอง รุ่งสางเดินทางมาถึงแล้ว
จากนั้นอีกสิบกว่านาทีก็มียามจักรกลหนึ่งกับมนุษย์อีกสองเดินทางมาจากทิศทางของทาร์นันพร้อมกับหุ่นยนต์ผู้ช่วย
จำนวนมากเพื่อมารับช่วงต่อ
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
“จัดการหน่อย”
* * * * *