รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 275 เยือนอารามหนานเคอครั้งที่สาม
- Home
- รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)
- ตอนที่ 275 เยือนอารามหนานเคอครั้งที่สาม
ด้านหลังประตูบานนั้นก็คือโลกแห่งจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่… เมื่อได้ฟังคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนจนจบ หลงเยว่หงก็พลันพบว่าการคาดเดาที่สุดจะไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้กลับกลายเป็นว่ามันสมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้แล้ว
เพราะสุดท้ายแล้วนี่เป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เชื่อมโยงระหว่าง ‘คนในสภาพผัก’ ซึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในภาคเหนือกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ซึ่งปรากฏตัวขึ้นทางใต้ของแดนธุลีเข้าด้วยกัน
แต่แน่นอนว่าประเด็นที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเกิดที่สถาบันวิจัยลึกลับ หรือว่าเจียงเสี่ยวเยว่จับคู่กับใครสักคนระหว่างที่ระหกระเหินอยู่บนแดนธุลีจนให้กำเนิดเด็กคนนี้ออกมา ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ไม่น้อยเช่นกัน ยังไม่สามารถตัดทิ้งไปได้
แล้วตอนนี้ไป๋เฉินก็เสริมในสิ่งที่คิดเอาไว้
“ซ่งเหอบอกว่าประตูที่สามารถเปิดออกได้ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ อาจจะเป็นความฝันของผู้ครองกาลก็ได้เช่นกัน หรืออาจจะเป็นผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งที่ได้เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ประตูที่เป็นโลกวิญญาณของผู้ตื่นรู้ธรรมดา โดยปกติไม่มีทางเปิดออกได้…
“ไม่เพียงแต่เจียงเสี่ยวเยว่จะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ยังกลายเป็นผู้ตื่นรู้แข็งแกร่งทรงพลังที่เข้าไปสำรวจส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ อย่างนั้นเหรอ
“สถาบันวิจัยแห่งนั้นกำลังศึกษาเรื่องการตื่นรู้ของมนุษย์อยู่หรือเปล่า
“พวกเขาตามหาอาสาสมัครที่อยู่ในสภาพผักก็เพราะว่าผู้ป่วยประเภทนั้นมีสภาพที่เหมาะสมกับการทดลองพวกนี้ใช่ไหม”
คำถามต่อเนื่องมาเป็นชุดเช่นนี้ทำเอาหัวสมองของหลงเยว่หงโป่งพองจนแทบระเบิด รู้สึกว่านี่มันเกี่ยวข้องกับความลับที่สั่นฟ้าสะเทือนดินเกินกว่าที่คนธรรมดาเช่นเขาจะแบกรับไหว
ถ้าการหารือนี้ยังคงดำเนินต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานเรื่องเลวร้ายที่น่าหวาดหวั่นคงจะบังเกิดต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว
“ก็ไม่แน่นะ บางทีแบบนี้อาจจะทำให้การแทรกแซงทางความคิดของมนุษย์ถูกขจัดออกไปได้ก็ได้…” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยกับการคาดเดาของไป๋เฉิน แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “พวกนายยังจำเนื้อหาในเวชระเบียนแผ่นนั้นได้ไหม ฟ่านเหวินซือมักจะเห็นร่างลูกชายมาปรากฏอยู่รอบๆ ตัวเอง แต่ที่จริงลูกเธอนั้นกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปตั้งนานแล้ว และถูกส่งไปรักษาด้วยวิธีใหม่ที่ไหนสักแห่งในภาคเหนือ ถ้าหากว่า… ถ้าหากว่าเราตัดเรื่องที่คนเป็นแม่อาจจะป่วยทางจิตทิ้งไป สิ่งที่เธอเห็นทั้งหมดคือเรื่องจริง งั้นนี่มันก็มีอะไรไม่ปรกติแล้วล่ะ
“ลูกเธออาจจะฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ ก็ได้ เพียงแต่ถูกขังอยู่ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ จึงทำได้เพียงแค่ใช้วิธีฉายภาพออกมาในโลกความเป็นจริงเพื่อแสดงความห่วงใยต่อแม่ออกมา…”
นี่สอดคล้องกับการคาดเดาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเสี่ยวเยว่กับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่หารือก่อนหน้านี้
แม้หลงเยว่หงจะรู้สึกว่าการคาดเดาของหัวหน้ากับไป๋เฉินจะฟังดูแล้วค่อนข้างมีเหตุมีผล แต่ก็ยังตั้งคำถามขึ้นมา
“งั้นทำไม ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นถึงยึดมั่นอยู่กับทาร์นันล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็โพล่งออกมาคำหนึ่ง
“มังกร!”
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงยังคงงุนงง เธอจึงถอนใจแล้วอธิบายอย่างยิ้มแย้ม
“มังกรที่จางเก้าเห็นในภาพหลอนน่ะ!
“ถ้าหากว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเข้าไปใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก่อนที่จะป่วย อย่างนั้นเขาน่าจะเคยอยู่กับกองกำลังฝ่ายไหนมาก่อน”
นี่มีความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วน แต่เมื่อรวมเข้ากับ ‘มังกร’ ในภาพหลอนแล้ว เช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเหลือเพียงแค่คำตอบเดียวเท่านั้น
ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยปากตอบ
“เขาเป็นคนระดับสูงของ ‘นิกายมังกรพยับ’”
เป็น ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ หรือไม่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
หลงเยว่หงตระหนักได้ในทันที
“มิน่าล่ะ เจ้าอารามโจวถึงได้บอกว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นอันตรายมาก ให้รอจนกว่า ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ ของนิกายเธอเป็นคนจัดการจะดีที่สุด”
“แต่… แต่ว่า…” หลงเยว่หงเกิดข้อสงสัยใหม่ขึ้นมาอีก “ที่เขายึดมั่นอยู่กับทาร์นันก็เพราะว่าที่นี่มีอารามเต๋าของ ‘นิกายมังกรพยับ’ อยู่งั้นเหรอ แล้วทำไมเขาถึงต้องยึดมั่นอยู่กับเรื่องนี้ด้วยล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนตกในห้วงภวังค์ ใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
แล้วในตอนนี้หลงเยว่หงก็เห็นซางเจี้ยนเย่าใช้มือขวาแตะริมฝีปาก เผยรอยยิ้มออกมา
“เรื่องที่พวกเราพูดกันเมื่อครู่นี้ ยังคงมีความเป็นไปได้อีกหน่อย”
“เรื่องไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่ามองดูทุกคนรอบๆ แล้วยิ้มเล็กน้อย
“ประตูที่สอดคล้องกับโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ไม่จำเป็นต้องเป็นของผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็ได้ ยังจะมี…”
เขาหยุดไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่อ
“ความฝันของผู้ครองกาล”
ในขณะที่หลงเยว่หงรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมาหนึ่งคำ
“ล้อเล่นหรอกน่า
“อาจจะเป็นของผู้ตื่นรู้ทั่วไป หรือแม้แต่คนธรรมดาก็ได้”
หลงเยว่หงแย้งทันที
“แต่ผู้แจ้งเตือนซ่งก็บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นสถานการณ์ตามปกติก็ไม่มีทางเปิดประตูจากอีกฝั่งออกมาได้ นอกเสียจากว่าจะไปถึงระดับของพยัคฆ์ยมราช…”
“เขาบอกด้วยว่าไม่มีทางเปิดได้ในสถานการณ์ปกติไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นจะป่วย เขาดันไปเปิดประตูบานที่เป็นตัวแทนของเจียงเสี่ยวเยว่เข้า เดิมทีเขาคิดว่านั่นเป็นประตูของผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็เลยคิดว่าจะเข้าไปสำรวจเผื่อว่าอาจจะเก็บฤทธิภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ติดไม้ติดมือกลับมา
“แต่ที่ไหนได้ ยิ่งเขาเข้าไปสำรวจในโลกแห่งจิตลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นของผู้ตื่นรู้ทั่วไป หรืออาจจะเป็นของคนธรรมดาด้วยซ้ำ ตัวเองสามารถเปิดเข้ามาได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ
“แล้วสุดท้ายก็พบว่ามีเรื่องที่น่าหวาดกลัวเกิดขึ้น อย่างเช่นว่า…”
ซางเจี้ยนเย่าเจตนาหยุดเล่าไปกลางคันเสียอย่างนั้น ทำให้หลงเยว่หงทั้งกังวลทั้งสงสัยไปในเวลาเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดต่อด้วยเสียงต่ำ
“อย่างเช่น เขาติด ‘โรคไร้ใจ’”
“…” หลงเยว่หงได้ยินแล้วรู้สึกขวัญผวาอย่างบอกไม่ถูก
เขารู้ว่าหัวหน้าทีมนั้นมักจะเชื่อมโยงเรื่องประหลาดบางอย่างเข้ากับแหล่งที่มาของ ‘โรคไร้ใจ’ แล้วนำมาวิเคราะห์จนกลายเป็นนิสัยประจำตัวของเธอไปเสียแล้ว
ทว่าในตอนนี้… การคาดเดาเช่นนี้มันลงล็อกพอดี!
นั่นคือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ จริงๆ!
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือ
ในครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถลึงตาใส่เขา แต่กลับพูดพึมพำกับตัวเอง
“ดังนั้นความยึดมั่นของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นก็คือต้องการนำเรื่องการค้นพบที่แปลกประหลาดและอันตรายอย่างยิ่งยวดนี้ไปแจ้งให้ ‘นิกายมังกรพยับ’ ได้รับรู้ เพื่อเตือนให้คนรุ่นหลังคอยใส่ใจระวังเอาไว้
“ที่เขาเข้าไปในทาร์นัน เป้าหมายก็คืออารามหนานเคอ การออกล่าและกินคนนั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณของ ‘คนไร้ใจ’ แค่นั้น…”
ทั่วทั้งห้อง 221 ตกอยู่ในความเงียบงันทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ไป๋เฉินถึงได้พูดขึ้น
“นี่มันสามารถเชื่อมโยงรายละเอียดทุกอย่างเข้าด้วยกันได้จริงๆ
“ถึงแม้ว่าฟังแล้วจะดูเหลือเชื่อไปบ้าง…”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ
“เราต้องแวะไปเยือนเจ้าอารามโจวอีกครั้งแล้วล่ะ ครั้งนี้หวังว่าเธอจะไม่ปิดบังอะไรไว้อีก
“ไม่อย่างนั้นละก็…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับมองไปยังซางเจี้ยนเย่า
“ผมคิดว่าถึงจะไม่ใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็ทำให้เธอพูดออกมาได้” ซางเจี้ยนเย่าขบคิดแล้วตอบออกมา
เจ้าอารามโจว คุณโดนผู้ป่วยจิตเวชดูหมิ่นสติปัญญาซะแล้ว… หลงเยว่หงไม่ทราบว่าควรจะเห็นใจโจวเยว่ดีหรือไม่
แต่เขาก็รู้สึกว่าเจ้าอารามโจว โจวเยว่นั้นเป็นพวกสติสตังไม่เต็มร้อย เรื่องความฉลาดน่ะไม่ใช่ปัญหา ส่วนปัญหาก็คือถูกหลอกได้ง่าย
ซางเจี้ยนเย่าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเงียบๆ
บนกระดาษแผ่นนั้นมีภาพเด็กทารกแบบง่ายๆ ภาพหน้าคนที่ไม่มีใบหน้า ภาพผู้หญิงที่ซ่อนอยู่ในเงามืดหลังประตู และภาพสัญลักษณ์อื่นๆ
* * * * *
ณ อารามหนานเคอ
มีเบาะนั่งวางอยู่เรียงราย และ ‘ผู้ชักจูงฝัน’ กับ ‘ผู้หลงทางฝัน’ กำลังก้มหน้าตั้งใจสวดอธิษฐาน
โจวเยว่สวมชุดคลุมยาวสีขาวผูกเชือกป่านยืนอยู่หน้าหิ้งสักการะ มองดูพวกเจี่ยงไป๋เหมียน
“พวกคุณมานี่เพื่อเข้าร่วมกับ ‘นิกายมังกรพยับ’ หรือว่ามาเพื่อตรวจสอบล่ะ คุณทีมเซวียสือเยว่”
ในครั้งนี้เธอระมัดระวังมาก ไม่ได้จำผิดจำถูกอีก
และหลังจากที่ได้สนทนาทางโทรศัพท์กันไป ทำให้เธอนั้นจดจำเซวียสือเยว่ได้มากกว่าเฉียนไป๋หัวหน้าทีม
“เจ้าอารามโจว ครั้งนี้คุณจำเราได้จริงๆ ด้วย” ผู้ที่พูดไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน แต่เป็นซางเจี้ยนเย่า
โจวเยว่มองดูเขาสองสามรอบก่อนจะพูด
“อ้าว คุณไม่ใช่ผู้หญิงหรอกเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบยกมือห้ามซางเจี้ยนเย่าไม่ให้เขาพูดคำขวัญติดปากอะไรทำนองนั้นออกมา
“ถูกต้อง ฉันก็คือเซวียสือเยว่เองแหละ
“ครั้งนี้มีเรื่องที่อยากจะถามเจ้าอารามโจวหน่อยน่ะ”
“เชิญว่ามาเลย” โจวเยว่ยิ้มจนตาหยี
เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาตรงๆ ทันที
“ก่อนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะเป็นโรค เขาเป็นคนของ ‘นิกายมังกรพยับ’ หรือเปล่า”
“แค่ก แค่ก…” โจวเยว่ที่กำลังยินดีกับตัวเองอยู่นั้นถึงกับสำลักน้ำลายขึ้นมาทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงจะสงบลงได้ พลางถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อพวกคุณรู้เรื่องแล้ว งั้นฉันก็จะพูดตามตรงล่ะนะ
“เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะเป็น ‘ผู้พิทักษ์มายาฝัน’ ของเราหรือเปล่า คือเขาหลงทางไปเกินครึ่งปีแล้วน่ะ พวกเราพยายามตามหาแล้วแต่ก็ไม่เจอเสียที ตอนนั้นพวกเราเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน นอกจากนั้น สิ่งที่เขาสละไปก็ไม่ใช่การหลงทิศ… แค่ก…”
โจวเยว่พบว่าตนเองพลั้งปากไปเสียแล้ว ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
จริงด้วย… ในใจของสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทุกคนเกิดคำนี้ผุดขึ้นมาพร้อมกัน
ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“คุณรู้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าเขากลัวกระจก”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่ฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นเขาหรือเปล่า ดังนั้นก็เลยเตรียมเอาไว้ก่อน…” โจวเยว่พูดๆ ไปแล้วก็ชะงัก
หลุดปากอีกแล้ว!
เธอรีบเอนร่างท่อนบน ยกสองมือขึ้นเล็กน้อย สวดภาวนา
“มังกรพยับผู้อยู่เหนือใดๆ!”
โดยไม่เปิดโอกาสให้ทีมเฉียนไป๋ถามอะไรต่ออีก เธอจึงรีบใช้กลยุทธ์ ‘สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน ’ เอ่ยถามขึ้นทันที
“เรื่องพวกนี้พวกคุณรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก
“ถึงยังไงก็ไม่ต้องให้พวกเราไปแก้ปัญหานี้เสียหน่อย แค่คอยป้องกันเอาไว้แล้วรอให้คนจากเบื้องบนมาถึงก็พอ”
เมื่อเห็นว่าเจ้าอารามโจวนั้น ‘ตรงไปตรงมา’ สิ่งใดพูดได้ก็พูด สิ่งใดพูดไม่ได้ก็เงียบ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเล่าเรื่องที่ได้หารือกับซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หงตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทางมา
“คือเรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะ ตอนที่พวกเรากำลังสืบสวนเรื่องเจียงเสี่ยวเยว่อยู่ก็พบเบาะแสบางอย่างที่เชื่อมโยงกับเวชระเบียนที่เจอมาก่อนหน้านี้…”
เธอเล่าทุกเรื่องที่สามารถพูดได้ เพียงแค่ปกปิดขั้นตอนการวิเคราะห์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เท่านั้น
“ความหมายของคุณก็คือ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลายมาเป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะปัญหาที่ซ่อนอยู่ในร่างของเจียงเสี่ยวเยว่ ส่วนที่เขาดึงดันจะเข้ามาในทาร์นันให้ได้ก็เพราะต้องการจะมาอารามหนานเคอเพื่อ ‘รายงาน’ ให้พวกเรารู้อย่างนั้นนะเหรอ”
เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ของโจวเยว่นั้นมีอยู่พอสมควร ภายใต้การชี้นำอย่างแนบเนียนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ โดยไม่จำเป็นต้องให้เจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างละเอียด เธอก็สามารถใคร่ครวญจนได้ข้อสรุปออกมา
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือทันที
“ถูกต้อง”
โจวเยว่รู้สึกพอใจในตัวเองอยู่บ้าง
“พวกคุณต้องการตรวจสอบสมมติฐานนี้สินะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นพวกคุณต่างหาก
“พวกคุณไม่อยากตรวจสอบปัญหานี้ให้เร็วที่สุดหรอกเหรอ จะได้ดูว่ามีข้อมูลสำคัญจริงหรือเปล่า”
โจวเยว่ครุ่นคิดเงียบงัน
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยปากพูดอย่างลังเล
“แต่รอไว้ให้ ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ ของนิกายเรามาถึง ก็ตรวจสอบเรื่องนี้ได้แล้วไม่ใช่หรือไง”
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จะไม่รู้คำตอบนะสิ… เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าเจ้าอารามผู้นี้กลับไม่หลงกลที่วางไว้
* * * * *