รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 276 อยู่รักษาการณ์
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็กล่าวอย่างจริงจัง
“ถ้าแบบนั้นจะมีปัญหาสองเรื่อง
“เรื่องแรก กว่าที่ ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ ของนิกายคุณจะมาถึงก็อีกตั้งสองสามวัน ในระหว่างนี้อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ตลอดเวลาจนทำให้การป้องกันของพวกเราล้มเหลว
“เรื่องสอง เราไม่รู้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า และบางทีชีวิตเขาอาจจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก็ได้ ก็เลยดึงดันที่จะเข้าไปในทาร์นันให้ได้ เพื่อไปหาอารามหนานเคอ แจ้งข้อมูลสำคัญนี้ให้ทราบ
โจวเยว่ผงกศีรษะเล็กน้อยแต่ยังไม่แสดงเจตนารมณ์
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงพูดต่อ
“นอกจากนั้นพวกเราเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยงเกินไป เพียงแค่ลดพื้นที่การป้องกันลงก็พอ
“แบบนี้ต่อให้พวกเราเดาผิดก็ไม่ส่งผลต่อการดำเนินการใดๆ ในภายหลัง”
ในที่สุดโจวเยว่ก็เอ่ยปากขึ้นมา
“แล้วพวกคุณคิดจะทำยังไง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลงเยว่หงก็อดเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าไม่ได้
เขาเริ่มสงสัยว่าหัวหน้าทีมตนเองไปหัดเรียนวิชา ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่ามา!
เพียงแค่แป๊บเดียวก็เกลี้ยกล่อมเจ้าอารามโจวเสียอยู่หมัด!
ซางเจี้ยนเย่าเผยใบหน้าหนักแน่นพร้อมกับพยักหน้าให้หลงเยว่หงราวกับกำลังตอบว่า ‘ก็ตามนั้นแหละ นายเดาไม่ผิดหรอก’
เจี่ยงไป๋เหมียนฉวยโอกาสตีเหล็กเมื่อแดงกินแกงเมื่อร้อน รีบเล่าแผนการของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ให้ฟัง
“หลังฟ้าสาง อพยพผู้คนในทาร์นันไปที่ริมน้ำตะวันตก จัดวางกำลังป้องกันขึ้นมาใหม่ที่นั่น
“ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ขอเพียงให้ทุกคนนำวัตถุปัจจัยที่สำคัญติดตัวไปด้วย ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเสียอะไรไป ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่ถล่มบ้านทำลายข้าวของหรอก พวกพื้นที่เพาะปลูกก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ทางริมน้ำตะวันตกเองก็มีบ้านว่างมากมายที่อยู่ในสภาพดี
“ส่วนทางริมน้ำตะวันออก เราก็ทิ้งคนคอยสังเกตการณ์เอาไว้สักสองสามคนให้อยู่ภายใต้การปกป้องของกระจก แบบนี้ก็จะยืนยันได้ว่าเป้าหมายของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเป็นสถานที่ในทาร์นัน หรือว่าเป็นคนในทาร์นันกันแน่
“สรุปคือ ถึงแม้ว่าการตรวจสอบยืนยันจะล้มเหลว แต่ก็ไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของทาร์นันแม้แต่น้อย จากนั้นก็รอจนกว่า ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ ของนิกายคุณจะเดินทางมาถึง”
เธอเองก็ไม่ได้มั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นมุ่งเป้ามายังอารามหนานเคอเหมือนกัน ถ้าหากว่าเจียงเสี่ยวเยว่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ และซ่อนตัวอยู่ในทาร์นันล่ะ
เวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ รูปลักษณ์เธอย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ไม่มีทางจำแนกแบบทั่วไปได้แน่
โจวเยว่ฟังอย่างเงียบๆ จนจบก็ผงกศีรษะเบาๆ
“เรื่องนี้ต้องได้รับอนุญาตจากผู้การเกอนาวาเสียก่อน”
“เราจะพยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบโดยไม่ลังเล
“เขาเป็นเพื่อนเรา” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวเสริม
“เพื่อน…” โจวเยว่ทวนคำด้วยความสงสัย
แต่เธอก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น
“ฉันจะรายงานเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่ก่อน ดูว่าทางเบื้องบนจะว่าไงบ้าง”
“เชิญได้เลย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างจริงใจ
“ระวังด้วยว่าเนื้อหาในโทรเลขอาจจะถูกบิดเบือน” ซางเจี้ยนเย่าเตือนขึ้นโดยเจตนา
หากเกิดสถานการณ์ที่เนื้อหาโทรเลขถูกบิดเบือนขึ้นมา เช่นนั้น ‘นิกายมังกรพยับ’ ย่อมไม่สนับสนุนแผนการของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แน่นอน
โจวเยว่ได้ยินก็คลี่ยิ้มออกมา
“วางใจเถอะ นิกายเรามีวิธีการตรวจสอบความถูกต้อง”
พูดจบเธอก็หมุนตัวกลับหลังหัน เดินเข้าไปในประตูข้างห้องโถง
‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนรอคอยด้วยความอดทน
“จริงๆ เลย จะแสดงมารยาทหน่อยไม่ได้หรือไงกัน” ผ่านไปสองสามนาที ซางเจี้ยนเย่าก็ ‘บ่น’ งึมงำ “เวลาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าควรจะต้องเอาน้ำผึ้งสักแก้ว บิสกิตสักสองสามชิ้น มาเสิร์ฟให้แขกหรือไง”
หลงเยว่หงกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แล้วเกิดความคิดวาบขึ้นมาจึงพูดออกไปทันที
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปทำไม”
โอ้… เสี่ยวหงรู้จักสวนกลับแล้วเหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วก็รู้สึกขบขัน
จากหางตาของเธอก็เห็นไป๋เฉินผงกศีรษะจนแทบมองไม่เห็นราวกับว่าโล่งใจอยู่บ้าง
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแสดงความเห็นพ้อง
“นั่นสินะ”
แล้วเขาก็หันหน้ามาพูด
“ก่อนหน้านี้ฉันใช้ชื่อกู้จือหย่งแทนนาย ไปกินปีกไก่ทอดของ ‘คันชั่งทองคำ’ หลังจากเสร็จงานแล้วก็อย่าลืมไปเข้าร่วมกับพวกเขาด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวนะ ทำไมฉันต้องไปเข้าร่วมล่ะ” หลงเยว่หงตาโต
ก็คนที่ฟาดปีกไก่ทอดไปน่ะ เป็นนายต่างหาก!
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มให้ในขณะที่กวาดตามองเขา
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปทำไม”
ไอ้คนใจแคบ นี่เป็นการเอาคืนสินะ เจ้าหมอนี่… หลงเยว่หงสงบปากสงบคำ เลิกยั่วยุซางเจี้ยนเย่าอีก
รอไปอีกไม่กี่นาที โจวเยว่ก็กลับมายังห้องโถงใหญ่ พูดกับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คน
“เบื้องบนตอบมาว่าให้ลองดูได้”
ดูแล้วพวก ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ ของ ‘นิกายมังกรพยับ’ เองก็อยากรู้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นต้องการจะแจ้งข่าวอะไรมาเหมือนกันสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก แล้วพูดเจือรอยยิ้ม
“งั้นพวกเราจะไปหาผู้การเกอนาวาด้วยกันไหม”
เธอค่อนข้างกระตือรือร้นในเรื่องนี้ก็เพราะนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ อีกทั้งยังเป็นความฝันของเธอด้วยเช่นกัน นั่นคือการค้นหาต้นตอและกลไกการแพร่กระจายของ ‘โรคไร้ใจ’ เพื่อปลดดาบแห่งวิบัติภัยที่แขวนไว้เหนือศีรษะของมนุษยชาติลงมา
ยิ่งกว่านั้นก็คืออาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในครั้งนี้ขจัดภัยซ่อนเร้นของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ทำให้ภารกิจที่รับมาจากเกอนาวาลุล่วงไปได้จนได้รับคุณสมบัติในการพูดคุยกับ ‘ซอร์สเบรน’
เมื่อถึงตอนนั้น การสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าซึ่งเป็นเป้าหมาย ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็จะคืบหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง
โจวเยว่พูดอย่างครุ่นคิด
“อย่าเพิ่งรีบร้อน ดูกันก่อนว่าจะให้ใครอยู่ที่ริมน้ำตะวันออกเพื่อรับหน้าที่สังเกตการณ์”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ก็เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จากทีมที่อยู่เบื้องหน้าเธอตอบมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมเอง”
ท่าทางมั่นใจมาก… โจวเยว่ถามออกมาโดยอัตโนมัติ
“คุณไม่กลัวเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะด้วยท่าทางจริงจัง
“เขาเป็นเพื่อนผม”
“หือ” โจวเยว่งุนงง “คุณรู้จักกับเขามาก่อนงั้นเหรอ”
“เพิ่งเป็นเพื่อนกันน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบาย
โจวเยว่ยิ่งฟังก็ยิ่งมึน จึงตัดสินใจว่าเลิกถามต่อดีกว่า ถึงอย่างไร ‘สรรพสิ่งก็ล้วนเป็นมายา จะจริงจังไปทำไม’
เธอใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันก็จะอยู่ด้วย ในอารามหนานเคอ ฉันได้รับการอำนวยพรจากผู้ครองกาล ได้รับการปกป้องจากกระจก ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ ‘ประสบการณ์เผชิญความตาย’”
เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองแขนซ้ายตนเองก่อนจะพูดออกมา
“ฉันด้วย”
จากนั้นเธอก็พูดกับหลงเยวห่งและไป๋เฉินต่อทันที
“พวกนายเป็นทีมสำรอง เตรียมพร้อมสนับสนุนตลอดเวลา”
นี่ถือเป็นการปลอบหลงเยว่หงด้วย หลักการรับมือกับภาพหลอนขนาดใหญ่ที่สร้างโดย ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นก็คือ ‘ถ้าไม่ลงมือได้ งั้นก็ไม่ต้องลงมือ’
ซึ่งนี่ก็เทียบเท่ากับแนวคิด ‘ทำมากก็ผิดมาก ทำน้อยก็ผิดน้อย’ ของโจวเยว่นั่นเอง
* * * * *
ณ บ้านของเกอนาวา ริมฝั่งตะวันตก
เจี่ยงไป๋เหมียนกับโจวเยว่ช่วยกันอธิบาย ‘แผนสังเกตการณ์’ อีกครั้งโดยใช้เหตุผลเดิม
เกอนาวาซึ่งยังคงสวมเครื่องแบบทหารลุกขึ้นยืนเดินกลับไปกลับมา
“ก็จริงนะ ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ โอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
“แต่การอพยพคนจำนวนมากไปริมฝั่งตะวันตกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ระหว่างทางอาจมีเหตุพลิกผันได้…”
หุ่นสมองกลสีดำเงินใช้ความคิด เดินกลับไปกลับมาอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“ผมจะรายงานไปยัง ‘ซอร์สเบรน’ ก่อน”
พูดจบเขาก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง
เมื่อเวลาล่วงเลยไปหนึ่งถึงสองนาที เกอนาวาก็เปิดปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงผู้ชายที่นุ่มทุ้มเจือความรู้สึกของเสียงสังเคราะห์
“‘ซอร์สเบรน’ ให้คำตอบมาว่าจะลองดูก็ได้ แต่ผมต้องเป็นคนรับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมด”
เจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมจะเกลี้ยกล่อมต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เธอชำเลืองมองซางเจี้ยนเย่า พบว่าสหายผู้นี้เองก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน
เรื่องแบบนี้ ปล่อยให้เกอนาวาเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่า
เกอนาวาเหลียวไปรอบๆ มองออกไปยังสนามหญ้านอกหน้าต่างที่อาบไล้ด้วยม่านรัตติกาล จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ
“พวกคุณลองดูเถอะ”
ในตอนนี้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนหลงเยว่หงต่างก็รับรู้ได้ถึงความเชื่อมั่นที่หุ่นสมองกลตนนี้มีให้กับพวกเขา
ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้นอย่างไม่ลังเล ตอบเขากลับไป
“วางใจได้เลย”
* * * * *
หลังจากพักผ่อนมาหนึ่งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ประชากรชาวทาร์นัน นักล่าต่างถิ่น รวมถึงชาวคาราวานทั้งหลาย ต่างก็นำวัตถุปัจจัยที่จำเป็นเคลื่อนย้ายไปยังที่พักชั่วคราวที่จัดสรรไว้ให้ โดยมีหุ่นจักรกลจำนวนมากช่วยจัดการ
เรื่องนี้ดำเนินการจนกระทั่งเที่ยงวันจึงเสร็จสิ้น
หลังจากนั้นทีมที่รับผิดชอบด่านป้องกันของพื้นที่ต่างๆ ก็ถอนตัวกลับมา และใช้เวลาไปอีกช่วงหนึ่งเพื่อจัดสร้างด่านป้องกันขึ้นมาใหม่
ณ ทางเข้าอารามหนานเคอ โจวเยว่ทอดสายตามองดูถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน พูดออกมาอย่างสะท้อนใจ
“เมื่อเทียบกับเวลาปกติแล้ว ตอนนี้มันเหมือนกับภาพลวงตาเลย”
ริมน้ำตะวันออกของทาร์นันก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าจะมีบริเวณที่ไร้ผู้คนอยู่ไม่น้อย ดูว่างเปล่าเงียบสงัด แต่ก็ยังดูคึกคักมีชีวิตชีวา มีผู้คนไปๆ มาๆ หลั่งไหลไม่ขาดสาย
ทว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นใบไม้ร่วงหล่นล่องลอยไปตามลม หลงเหลือตนเองเพียงลำพัง
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่แน่ว่าในตอนนี้ต่างหากที่เป็นความจริง” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง
โจวเยว่ขมวดคิ้ว
“นั่นสินะ”
เธอแก้คำพูดของซางเจี้ยนเย่า
“ทุกสิ่งคือความฝัน ทุกอย่างคือภาพมายา”
เจี่ยงไป๋เหมียนขยับกวัดแกว่งแขนซ้ายพลางพูดขึ้น
“พวกเราเข้าไปรอกันข้างในเถอะ”
เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้แล้ว อีกไม่นาน ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็จะมาถึง
เมื่ออาทิตย์ส่องแสงในตอนกลางวัน ทาร์นันมีอาคารมากมายที่ก่อให้เกิดผลเฉกเช่นกระจกเงา ดังนั้นโจวเยว่จึงเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องรอโอกาสที่ดีกว่า เว้นเสียแต่จะไม่มีทางเลือกอีก
หลังจากเข้าไปในอารามหนานเคอ เนื่องจากไม่มีเก้าอี้มีพนักสีดำที่ตั้งไว้เรียงรายอีก ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าจึงหาเบาะรองนั่งแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป
“เจ้าอารามโจว ที่จริงแล้วสภาพในตอนนี้ก็นับว่าค่อนข้างดี ทำไมก่อนหน้านี้ถึงต้องสร้างภาพลวงตาด้วยล่ะ ของบางอย่างนั่นไม่ค่อยเข้ากับสถานที่เท่าไหร่” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้โจวเยว่แล้วถามขึ้นอย่างไม่จริงจัง
อารามหนานเคอในขณะนี้มีเพียงเสาค้ำ หิ้งสักการะ เบาะรองนั่ง และคนอีกสามคน ความเงียบสงัดสุดขีดเช่นนี้ทำให้เกิดบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่ง
โจวเยว่ถอนใจเอ่ยตอบ
“ด้านหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนพลังของตัวเอง ในระหว่างนั้นจะได้ค้นพบกลเม็ดเคล็ดลับ ส่วนอีกด้านก็คือ เอ่อ… สาวกส่วนใหญ่ในตอนนี้ยังไม่ค่อยเกิดจิตศรัทธามากนัก ฉันก็เลยต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่า ‘นิกายมังกรพยับ’ มีคนอยู่มากมาย คุ้มค่าที่ได้เข้าร่วมน่ะ”
เธอดูราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด
ซางเจี้ยนเย่าให้คำแนะนำออกมา
“ผมว่าสิ่งที่ควรต้องปรับเปลี่ยนก็คือศีลมหาสนิท น้ำผสมน้ำผึ้งกับบิสกิตน่ะใช้ได้ แต่มันก็เป็นแค่ขนมเท่านั้นเอง…”
โจวเยว่ไม่รู้สึกแปลกที่ได้ยินคำแนะนำ เธอพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ตอนที่ ‘คันชั่งเกียรติยศ’ ทอดปีกไก่อยู่ข้างทาง ฉันเองก็ยังอยากจะไปต่อแถวด้วยเลย แต่กลัวถูกคนจำได้”
“สวมหน้ากากไว้ก็ได้นี่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดตัดหน้าซางเจี้ยนเย่า
“ไม่ได้หรอก แบบนั้นก็เหมือนอุดหูขโมยกระดิ่ง นั่นแหละ” โจวเยว่สั่นศีรษะ
ระหว่างที่ทั้งสามพูดคุยกัน ฟ้าเริ่มมืดลงทีละน้อย ลมค่อยๆ เย็นมากขึ้นทุกขณะ
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า โจวเยว่ หยุดการพูดคุยสนทนา เริ่มใส่ใจจดจ่อมากขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่งท้องฟ้าก็ดำมืด ลมกระโชกแรง แม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะมีความกล้าหาญแต่สมาธิจิตใจก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา
โจวเยว่เอนร่างท่อนบน ยกสองแขนเล็กน้อย พูดกับความว่างเปล่า
“มังกรพยับผู้อยู่เหนือใดๆ”
หลังจากสวดอธิษฐานเสร็จ เธอก็เห็นซางเจี้ยนเย่ามองไปรอบๆ และได้ยินเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
“ร้องเพลงได้ไหม”
“ได้แหละ แต่…” โจวเยว่ยังพูดไม่ทันจบ ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็เคาะต้นขาฮัมเพลงออกมา
ท่ามกลางเสียงลมกระโชกแรงและท้องฟ้าอันมืดมิด ข้างหูเจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้ยินเสียงดนตรีกระจ่างเบิกบานใจดังขึ้น
“หัวเราะข้ามทะเลคราม น้ำสองฝั่งไหลหลาก ”
* * * * *