รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 283 เส้นทางในอนาคต
ตอนที่ 283 เส้นทางในอนาคต
ถึงแม้ว่าตอนที่ไป๋เฉินถามว่าเป็นออเรย์ของ ‘ปฐมนคร’ หรือไม่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนจะรู้สึกเอะใจขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ยิน ‘ซอร์สเบรน’ เปิดเผยตัวตนออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
ไป๋เฉินรู้สึกเหมือนว่านี่เป็นโชคชะตา… เป็นชะตาชีวิตของตน
ไม่ว่าตนเองจะพยายามหลีกเลี่ยงเพียงใด ก็ยังคงไม่พ้น ‘ปฐมนคร’ อยู่ดี
‘ซอร์สเบรน’ ไม่รอให้พวกเขาสงบใจก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมีระดับสูงๆ ต่ำๆ มากนัก
“ถ้าหากพวกคุณต้องการสืบสวนเรื่องสถาบันวิจัยแห่งอื่นๆ และค้นหาต้นตอของ ‘โรคไร้ใจ’ ให้กระจ่าง ก็ลองไปที่ ‘ปฐมนคร’ เพื่อตามหาทายาทของเขา ดูว่ามีเบาะแสอะไรเหลือทิ้งไว้บ้างหรือไม่
“ในฐานะหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยที่สาม ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย เขาย่อมมีระดับสิทธิ์ที่สูงมาก สามารถเข้าถึงข้อมูลลับได้มากกว่าผม”
ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่าน จากนั้นก็ตอบอย่างจริงใจ
“ขอบคุณ”
นับจากนี้เป็นต้นไป เธอมีตัวเลือกให้เลือกอยู่สามเส้นทางด้วยกัน
ทางแรกคือไปที่ปฐมนคร ค้นหาออเรย์ อูบิส หรือก็คือตามหาทายาทของแม็กซิเมียน ดูว่าหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยที่สาม ผู้ซึ่งเป็นประชาชนคนแรก ผู้ปกครองเผด็จการคนแรกของ ‘ปฐมนคร’ ได้หลงเหลือข้อความอะไรทิ้งไว้หรือไม่
ในช่วงสองสามปีสุดท้ายของชีวิต ออเรย์ อูบิสผู้ซึ่งถือครองอำนาจของ ‘ปฐมนคร’ ไว้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิชั่วคราว ในช่วงเวลานั้นวุฒิสภามีอำนาจเพียงปลายเล็บ เทียบเท่ากับสภาเมืองปฐมนครที่รับผิดชอบเฉพาะการดำเนินงานประจำวันของเมืองแค่นั้น
ทางที่สองคือตามรอยเฉียวชู เพื่อหาเบาะแสจากเจ้าหน้าที่พิเศษของสถาบันวิจัยที่แปดผู้นี้
ทางที่สามคือยกระดับสิทธิ์ของตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อดูว่าจะสามารถขุดค้นอะไรที่มีค่าจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ได้บ้างหรือเปล่า
เจี่ยงไป๋เหมียนสงสัยว่าตัวตนดั้งเดิมของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยเช่นกัน เช่นเดียวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ซึ่งแต่เดิมก็คือสถาบันวิจัยที่สามนั่นเอง
แน่นอนว่าทั้งสามเส้นทางนี้ไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง สามารถทำไปด้วยกันได้ทั้งหมด
‘ซอร์สเบรน’ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น น้ำเสียงสูงๆ ต่ำๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของวังวนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“พวกคุณยังมีอะไรอยากถามอีกไหม”
ทันทีที่พูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็สืบเท้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว นำกระดาษที่ค่อนข้างแข็งและหนาเล็กน้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระชั้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“คุณเคยเห็นผู้ชายคนนี้บ้างไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองข้ามบ่าเขาไป เห็นว่าสิ่งที่ซางเจี้ยนเย่าถืออยู่ในมือก็คือภาพถ่ายใบหนึ่ง
ภาพถ่ายนั้นเหมือนว่านำมาจากข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กันใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มันดูปกติธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
บนภาพถ่ายเป็นชายคนหนึ่ง อายุสามสิบเศษ ดูมีการศึกษา เรือนผมสีดำไม่ได้สั้นมาก หวีอย่างประณีต หน้าตาคล้ายคลึงกับซางเจี้ยนเย่าหลายส่วน
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจขึ้นมาทันที เธอจึงไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร
‘ซอร์สเบรน’ ใช้กล้องจำนวนมากสแกนภาพถ่ายแล้วตอบกลับมา
“ไม่เคย”
เมื่อมันบอกว่าไม่เคย นั่นย่อมหมายความว่าไม่เคยอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่มันจะลืมหรือมองข้ามเด็ดขาด
ซางเจี้ยนเย่ามองดูวังวนบนหน้าจอขนาดใหญ่ เขานิ่งเงียบงันไปสองสามวินาทีก่อนจะเก็บภาพถ่ายกลับไป
“ขอบคุณ” เขาพูดเสียงต่ำแล้วถอยกลับไปตำแหน่งเดิมทีละก้าว
เสียงผู้ใหญ่ของ ‘ซอร์สเบรน’ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ใกล้หมดเวลาแล้ว
“ผมมีสองสามประโยคจะเตือนพวกคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
“เชิญพูดมาเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตอบ
วังวนบนหน้าจอขนาดใหญ่นั้นค่อยๆ ย่อขยายอย่างช้าๆ
“การสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่านั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเคยทำมาก่อน แต่เป็นเพราะพวกเขานั้นถ้าไม่ตายก็หายสาบสูญไปหมด ไม่มีใครลงเอยด้วยดี
“พวกคุณคงเข้าใจได้ว่านี่หมายถึงอะไร… นี่หมายความว่ามีคนคอยลอบสังหารคนที่พยายามค้นหาความจริง
“ก่อนหน้านี้พวกคุณอาจจะทำอะไรๆ ได้ราบรื่นไร้อุปสรรคขัดขวาง แต่เมื่อมุ่งเป้าว่าจะสืบสวนจากสาเหตุของ ‘โรคไร้ใจ’ เป็นแนวทางหลัก เช่นนั้นภัยในเงามืดก็จะค่อยๆ คืบคลานมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อถึงตอนนั้น พวกคุณอาจไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว
“โปรดเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไว้ด้วย อย่าได้ประมาทเลินเล่อเด็ดขาด”
เจี่ยงไป๋เหมียนย่อมเตรียมใจในจุดนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่ก่อตั้ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีใครระบุถึงระดับความอันตรายโดยตรงเหมือน ‘ซอร์สเบรน’
‘ทีมสำรวจเก่า’ อาจต้องเผชิญหน้ากับพลังที่เคยทำลายล้างโลกเก่ามาแล้ว!
นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินรู้สึกหายใจติดขัดไปชั่วขณะหนึ่ง ส่วนหลงเยว่หงก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ
“แล้วไม่ใช่เรื่องดีหรือไง” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม “การที่พวกเขากระโดดออกมาเองแบบนี้ เมื่อเทียบกับที่พวกเราต้องงมตรวจสอบเรื่องในอดีตเอาเองไปเรื่อยๆ แล้ว แบบนี้มันก็ตัดปัญหาไปได้เยอะเลย”
นั่นสินะ… ขอเพียงพวกเราหลบเลี่ยงจากการจู่โจมระลอกแรกได้ จับคนที่ถูกส่งมาจากกองกำลังนั้นไว้ได้ เท่านี้ก็จะสามารถเก็บแตงตามเครือ[1] ทำให้เรื่องทั้งหมดกระจ่าง เมื่อถึงตอนนั้นทางบริษัทก็สามารถร่วมมือกับกองกำลังใหญ่อย่าง ‘ปฐมนคร’ เพื่อโอบล้อมทำลายเป้าหมายได้… เมื่อได้ฟังคำพูดของซางเจี้ยนเย่าแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองในแง่ดีมากขึ้น
แน่นอนว่าเธอเองก็รู้ดีว่าผลสุดท้ายอาจไม่เป็นไปอย่างที่เธอหวัง ถ้าเกิดกลายเป็นว่ากองกำลังใหญ่เหล่านั้นจับมือกันมาโอบล้อมทำลาย ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แทนล่ะ จะทำยังไง
นอกจากนี้เธอก็ยังพิจารณาเรื่องอื่นด้วย นั่นคือเมื่อกลับไปถึงบริษัทเพื่อหยุดพักผ่อนแล้ว ต้องถามไป๋เฉินกับหลงเยว่หงดูว่าพวกเขายังคิดจะอยู่ใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่อไปอีกหรือไม่
หากไม่อยากอยู่ งั้นเธอก็จะพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้พวกเขามีโอกาสย้ายงานอีกครั้งให้ได้
‘ซอร์สเบรน’ ไม่ได้หักล้างคำพูดซางเจี้ยนเย่า มันพูดต่อด้วยเสียงไร้อารมณ์
“ขอให้พวกคุณรักษาความคิดเช่นนี้ไว้จนถึงภายภาคหน้าก็แล้วกัน
“เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ขอบคุณมากสำหรับคำตอบ”
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้หารือเรื่องมารยาทกันมาแล้ว และตกลงกันไว้ว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แต่เรื่องความเคารพย่อมไม่อาจไม่มี
วังวนบนหน้าจอขนาดใหญ่ย่อขยายตัวสองครั้งแล้วค่อยๆ นิ่งไป ไม่ส่องแสงอีก
“กลับกันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองทุกคนแล้วเดินนำไปยังประตูห้องประชุม
หลังจากออกจากที่นี่ไปและกล่าวอำลากับเกอนาวาเสร็จ พวกเขาก็ลงลิฟต์ไปที่ชั้นล่างของศาลาว่าการ
เมื่อไป๋เฉินขึ้นไปนั่งในตำแหน่งพลขับก็มองเห็นรถยนต์เจ็ดที่นั่งสีดำซึ่งมีโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อนเลี้ยวเข้ามาทางนี้ ก่อนจะจอดอยู่หน้าอาคาร
ประตูรถเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง มีหุ่นยนต์ซึ่งมีดวงตาเป็นสีน้ำเงินห้าตัวเดินลงมา
เครื่องแบบของพวกมันเป็นสีดำสนิท ต่างจากพวกหุ่นสมองกลที่อยู่ในเมือง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูหุ่นยนต์กลุ่มนี้เดินเข้าไปในอาคารศาลาว่าการแล้วก็พูดขึ้นอย่างครุ่นคิด
“หรือว่าพวกนี้จะเป็นกำลังเสริมที่ส่งมาจาก ‘สวรรค์จักรกล’ นะ”
ในตอนที่ปัญหาเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข เกอนาวาได้ขอกำลังเสริมจากสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’ ให้มาช่วยเหลือ
“ไม่ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์กันมา” ซางเจี้ยนเย่ากำลังบอกว่ากำลังเสริมนั้นดูไม่เป็นมืออาชีพมากพอ
พวกเขาเคยเห็นมาก่อนว่าทาร์นันมีโรงเก็บเครื่องบินโดยเฉพาะ จึงรู้ว่าที่ ‘สวรรค์จักรกล’ นั้นมีเครื่องบินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ในอนาคตอาจไม่จำเป็นต้องใช้แล้วก็ได้” หลงเยว่หงพูดตามความเข้าใจของตนเอง
สำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าสนใจ จึงไม่ได้คุยกันต่อ พากันเดินทางกลับไปยังริมฝั่งตะวันออก
* * * * *
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนส่งข้อมูลที่ได้รับมาจาก ‘ซอร์สเบรน’ กลับไปที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เสร็จ เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“เรื่องต่อไปก็คือซื้ออาหารเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ”
‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่มีตัวแทนการค้าอยู่ในทาร์นัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจให้บริษัทรวบรวมวัตถุปัจจัยให้ได้ ทำได้เพียงแค่ต้องขวนขวายหาเอาเองเท่านั้น
และเมื่อกลับไปถึงบริษัทแล้วพวกเขาจะได้รับเงินส่วนนี้กลับคืนมาตามมูลค่า บริษัทไม่ปล่อยให้พวกเขาลงแรงไปอย่างเสียเปล่าแน่นอน
“ผมกลัวว่า…” ทันทีที่หลงเยว่หงพูดสามคำนี้ขึ้นมา ก็พลันเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน ต่างก็มองมาที่ตนเองเป็นตาเดียว
เขาร้อง “เอ่อ” ออกมาคำหนึ่ง แล้วหุบปากตามสัญชาตญาณทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะคาดเดาในสิ่งที่เขาเป็นกังวลได้ จึงยิ้มปลอบใจเขา
“พวกเรายังไม่ถูกส่งไป ‘ปฐมนคร’ ตอนนี้หรอกน่า ยังไงก็ต้องให้พักหายใจหายคอเสียหน่อย
“พวกเราออกมากันนานขนาดนี้ ถ้าไม่กลับไปพักผ่อนสักระยะ ถึงแม้จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพจิต แต่ก็ยังส่งผลต่อขวัญกำลังใจอยู่บ้าง
“ในเมื่อบริษัทบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าให้เรากลับไปพักได้ งั้นก็หมายความว่าเรื่องราวภายในได้รับการสะสางไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรอีก”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี” หลงเยว่หงน่าจะเป็นคนที่คิดถึงบ้านมากที่สุดในกลุ่มแล้ว
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูดเย้าแหย่หลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสริมขึ้นอีกสองประโยค
“และนอกจากนี้พวกเราก็ไม่ควรเชื่อที่ ‘ซอร์สเบรน’ พูดมาทุกเรื่อง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้โกหก แต่ก็อาจจะไม่ได้เล่าสถานการณ์ออกมาทั้งหมดเพื่อกระตุ้นให้พวกเราออกไปสืบเสาะสถาบันวิจัยแห่งอื่นๆ ก็ได้
“ดังนั้นจึงต้องกลับบริษัทกันก่อน ดูว่าพอจะยื่นคำร้องขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมให้เต็มร้อยที่สุดได้หรือเปล่า ถึงยังไงพวกเราก็มีคนหนุนหลังอยู่นะ”
“อืมอื้อ ใช่ ใช่” หลงเยว่หงแสดงท่าทีว่าการกลับบริษัทก่อนนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ
“ใช่แล้ว นายไม่ควรเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา” ซางเจี้ยนเย่าแปลงร่างกลับมาเป็นสาวกกิตติมศักดิ์ของ ‘นิกายตื่นตัว’ แต่ฝ่ายเดียวอีกครั้ง
ไป๋เฉินไม่ได้พูดอะไร มองดูพวกเขาปรึกษาหารือกันไป
จนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องที่ว่าหลังจากกลับบริษัทไปแล้วจะกินอะไรเป็นเมนูแรกดี เธอจึงอดร่วมแสดงความเห็นออกมาไม่ได้
เนื่องจากจะมีการเลี้ยงฉลองเพื่อขอบคุณโดยชาวเมืองทาร์นัน รวมทั้งพิธีบัพติศมาของ ‘นิกายเตาหลอม’ ด้วย ดังนั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงยังไม่รีบร้อนรวบรวมอาหารสำหรับการเดินทางขากลับ พวกเขาหยิบหนังสือจากโลกเก่าที่ซื้อมาพลิกเปิดๆ ดู รวมถึงสื่อบันเทิงโลกเก่าจำนวนหนึ่งซึ่งซางเจี้ยนเย่าทำหน้าหนาไปขอคัดลอกมาจากมาดามไอนอร์เจ้าของโรงแรม
ไป๋เฉินนั้นยังกลัวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เกรงว่าสมาชิกทีมอาจจะตกต่ำเสื่อมถอย เธอจึงไม่เพียงแต่จะจำกัดจำนวน ทั้งยังตรวจสอบเนื้อหาที่เลือกอีกด้วย
เธอกลัวมากว่านี่จะทำให้ซางเจี้ยนเย่ากลายเป็นพยัคฆ์ติดปีก
จนกระทั่งตกเย็น พวกเขาจึงได้ออกไปเดินเล่นกันที่ถนนเลียบน้ำ เดินดูร้านรวง เลือกหาอาหาร ซื้อวัตถุปัจจัย
เมื่อเลี้ยวเข้ามายังถนนที่คึกคักที่สุด เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
จำนวนของหุ่นยนต์ลาดตระเวนเพิ่มขึ้นจนหนาตา!
ไม่ว่าจะเป็นหุ่นสมองกลหรือหุ่นยนต์ผู้ช่วย ต่างก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าปกติมาก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง
เธอกำลังจะไปหาคนท้องถิ่นที่คุ้นเคยเพื่อถามไถ่เรื่องราว ก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไปหาหุ่นยามจักรกลตนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวเข้มแล้วเอ่ยปากถาม
อัลฟ่า… อัลฟ่า สจ๊วต… หุ่นสมองกลที่เป็นเพื่อนกับซางเจี้ยนเย่าตัวนั้นน่ะเหรอ ซางเจี้ยนเย่าจำเขาได้จริงๆ เหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง
สำหรับหุ่นสมองกลพวกนี้ ถ้าหากเธอไม่มีชิปเสริมเพื่อช่วยบันทึกลักษณะเด่นในการแยกแยะพวกมัน ก็คงไม่มีทางจำมันได้แน่นอน
อัลฟ่าตอบคำถามซางเจี้ยนเย่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“โถงควบคุมระเบียบส่งทีมมาตรวจสอบระดับความเป็นมนุษย์ของกัปตันเกอนาวาน่ะ”
หือ… เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ทุกคนต่างพากันงุนงงสับสนเมื่อได้ยินเช่นนั้น
[1] เก็บแตงตามเครือ (顺藤摸瓜) ตามเถาแตงไปเพื่อเก็บแตง หมายถึงตามหาเบาะแสจากบางสิ่ง