รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 289 หุ่นสมองกลที่สับสน
ตอนที่ 289 หุ่นสมองกลที่สับสน
ไม่มี… หลงเยว่หงเกือบจะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
ไม่มีมนุษย์อยู่ในสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’ เลยงั้นเหรอ
อย่างนั้นที่นั่นก็เป็นเมืองที่ปกครองโดย ‘ซอร์สเบรน’ และหุ่นสมองกลอย่างสมบูรณ์เลยเหรอเนี่ย
และที่เหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้นก็คือภายในเมืองเช่นนั้น หุ่นสมองกลกลับยังต้องมีการวัดระดับความเป็นมนุษย์เพื่อจะรับใช้มนุษย์ให้ดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายมนุษย์ และจะต้องไม่คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ด้วย
พวกมันโดยส่วนใหญ่ ตั้งแต่เกิดออกมาจากโรงงานจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ไปจนถึงอนาคตกาลที่มองเห็นได้ ล้วนแต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสใกล้ชิดติดต่อกับมนุษย์ด้วยซ้ำ คำว่า ‘มนุษย์’ สำหรับพวกมันแล้วอาจเป็นเพียงแค่ข้อความที่ปรากฏให้เห็น เป็นรหัสโปรแกรม เป็นรูปภาพ เป็นสัญลักษณ์ เป็นอะไรได้เพียงเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเงียบงันไปครู่ใหญ่ก่อนจะทอดถอนใจ
“มิน่าล่ะ ‘ซอร์สเบรน’ ถึงไม่ยอมให้พวกเราไปพบที่สำนักงานใหญ่ของพวกคุณ ยอมเพียงแค่ให้สื่อสารผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น”
ก่อนหน้านี้เธอก็สังหรณ์ใจอยู่เลือนลางว่าจะมีมนุษย์อยู่ใน ‘สวรรค์จักรกล’ หรือไม่
“ที่จริงก็ยังมีเหตุผลอื่นด้วย” เกอนาวาอธิบายในสิ่งที่ตนเองรู้ “อย่างเช่นพวกสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทดลองที่สำคัญ และหุ่นสมองกลที่พยายามสร้างสังคม ซึ่งพวกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับ ผมจึงไม่อาจพูดถึงได้”
คุณยังคิดว่าตัวเองยังเป็นสมาชิกของ ‘สวรรค์จักรกล’ อยู่อีกสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เอ่ยปากเตือนอีกฝ่ายไปว่าตอนนี้คุณกลายเป็นของชำรุดที่ถูกปลดระวางแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความลับใดๆ ทั้งสิ้น
แต่เธอเองก็ไม่มั่นใจว่าพวกหุ่นสมองกลนั้นจะมีระบบทำลายตัวเองหากทำให้ความลับรั่วไหลหรือไม่
เกอนาวาไม่ได้สานต่อหัวข้อสนทนานี้ เขาถามกลับไปในระหว่างที่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินยังคงตกตะลึงกับสถานะที่เป็นอยู่ของ ‘สวรรค์จักรกล’
“พวกคุณมาจากที่ไหนกัน?
“ ไม่เพียงแต่จะมีมันสมองอันโดดเด่น ยังมีแม้กระทั่งชุดเกราะเสริมแรงทางทหารอีกด้วย”
ถึงขนาดที่สามารถโค่นหุ่นสมองกลในการต่อสู้ลุยเดี่ยวได้ นี่มันออกจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!
เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับไปมองพวกซางเจี้ยนเย่าก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย
“พวกเรามาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ น่ะ
“ว่าไง สนใจมาเข้าร่วมกับพวกเราไหม”
แม้ว่าเธอยังไม่ได้รายงานกลับไปที่บริษัท และทาง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็อาจจะไม่เห็นด้วย ทว่าเรื่องมารยาทนั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
“‘ผานกู่ชีวภาพ’ งั้นเหรอ…” หุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวาทวนคำ หลังจากนิ่งเงียบงันไปหลายวินาทีก็เอ่ยปากขึ้น “ตอนนี้ผมคิดเพียงแค่อยากจะไปตามหาทายาทของท่านผู้สร้าง ดูว่าเขาได้ทิ้งอะไรไว้ให้กับพวกเราชาวหุ่นสมองกลบ้างหรือเปล่า”
“เข้าใจแล้ว”
“นั่นสินะ”
ทั้งซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็ตอบคำ ไม่ได้ยืนกรานเกลี้ยกล่อม
ว่ากันตามตรงแล้ว ใจจริงของเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่คิดจะรายงานเรื่องของเกอนาวาให้กับบริษัทหรอก เพราะนั่นจะหมายความว่าการจัดการเรื่องต่างๆ ในอนาคตของเกอนาวานั้น เธอจะไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงหรือช่วยเหลืออะไรได้เลย
แต่ถ้าหากยังคงรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็จะมีสมาชิกภายนอกที่แข็งแกร่งทรงพลังเพิ่มเข้ามา ทำให้เรื่องราวต่างๆ ในภายภาคหน้านั้นสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสำหรับหุ่นสมองกลเฉกเช่นเกอนาวาแล้ว การเข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแทบไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์สักเท่าใดนัก
เขาไม่หวั่นเกรง ‘โรคไร้ใจ’ ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ไม่อาจติดเชื้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวโหย อีกทั้งยังไม่ต้องกลัวการจู่โจมของสัตว์กลายพันธุ์และสัตว์ร้ายนานาชนิด
เขาต้องการเพียงแค่พลังงาน ชิ้นส่วนอะไหล่ น้ำมันหล่อลื่น โมดูลสำหรับอัปเกรด การบำรุงรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ และอะไรอื่นๆ จำพวกนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนพลันจินตนาการถึงฉากที่มีหุ่นยนต์สีดำเงินถือกล่องข้าวเดินไปที่เคาน์เตอร์ในโรงอาหาร เอ่ยปากบอกพนักงานหญิงว่า “คุณน้าครับ ขอแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง U-32 ของ ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ กับน้ำมันหล่อลื่นรสกาแฟหน่อย”
และถ้าหากว่าหุ่นสมองกลนั่นพูดด้วยน้ำเสียงที่มีสำเนียงท้องถิ่นเจือด้วยก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
และแน่นอนว่าเธอเองก็รู้ว่าถ้าหากเกอนาวานั้นต้องการเข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จริงๆ ชั้นที่เขาพักอาศัยและแผนกที่เข้าร่วมย่อมต้องแตกต่างไปจากพนักงานทั่วไปอยู่แล้ว แต่ตนเองก็ยังอดจินตนาการไปในทิศทางนั้นไม่ได้อยู่ดี
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเก็บเอาความคิดพวกนั้นกลับลงไป จากนั้นก็พูดอย่างใคร่ครวญ
“ตอนนี้พวกเราต้องกลับไปบริษัทเพื่อรายงานและพักผ่อนสักระยะหนึ่งก่อน ถึงจะเดินทางไป ‘ปฐมนคร’
“คุณจะไปหาที่หาทางระหว่างรอพวกเราออกมาแล้วไปพร้อมกัน หรือว่าจะเดินทางไปเองล่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็ช่วยแนะนำจากใจจริง
“ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งมีความแข็งแกร่ง ยิ่งมีกำลังมากขึ้นนะ”
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะคำว่า ‘คน’ ก็เลยทำให้เกอนาวารู้สึกหวั่นไหว หรือเป็นเพราะคิดว่าการลงมือเพียงลำพังนั้นมันอันตรายเกินไปกันแน่ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้น
“ผมจะไปหาสถานที่เพื่อรอพวกคุณแล้วเดินทางไปด้วยกันก็แล้วกัน อ้อ ยังต้องไปหาที่ชาร์จด้วยน่ะ”
ในฐานะที่เป็นมนุษย์โลหะ หากไม่มีไฟฟ้าก็หมายถึงต้องนิ่งเป็นหุ่นรูปปั้น
“งั้นไปรอที่เมืองหญ้าไพรก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนได้คิดวางแผนเอาไว้แล้ว “แต่คุณต้องปลอมตัวสักหน่อย อย่างเช่นติดตั้งแผ่นกรองแสงที่เป็นสีแดง ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นหุ่นยนต์ธรรมดา คุณก็รู้นี่ว่าเมืองหญ้าไพรมีสัมพันธภาพกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ถ้าเกิดมีใครพบหุ่นสมองกลเข้า ก็ต้องแจ้งไปยัง ‘ซอร์สเบรน’ แหง”
เมื่อเห็นเกอนาวานิ่งเงียบไปไม่ได้ตอบคำ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ตอนพวกเราออกไปข้างนอกก็ปลอมตัวตลอดเหมือนกัน คุณดูสิ…”
เนื่องเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกอนาวาจึงล้มเลิกวิธีคิดที่จะตอบสนองในลักษณะเดียวกับมนุษย์ เขาเปิดใช้งานดวงตาเสริมที่อยู่ด้านหลังศีรษะเพื่อมองดูซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่ากำลังสวมหน้ากากที่มีขนดกและปากยื่น
“ตกลง” เกอนาวายอมรับคำอธิบายของเขา
ซางเจี้ยนเย่าปลดหน้ากากออกแล้วเอ่ยตักเตือนเกอนาวาด้วยท่าทางกังวล
“พอไปถึงเมืองหญ้าไพรแล้ว เวลาเดินบนท้องถนนถ้ามีคนเข้ามาหาก็ต้องระวังไว้ให้มากๆ นะ หุ่นยนต์ไปไหนมาไหนตัวคนเดียวเนี่ย เป็นขุมทรัพย์เดินได้เลยล่ะ ไม่รู้ว่านักล่ากี่คนต่อกี่คนที่จ้องกันตาเป็นมัน อยากจะตีหัวลากกลับบ้านไป…”
ณ เวลานี้ สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับแข็งทื่อไป ในหัวมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ไม่น่าปล่อยให้เจ้าหมอนี่ดูซีรีส์จากโลกเก่าเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ!
หลงเยว่หงได้ยินแล้วก็มุมปากกระตุก
จากหางตาของเขา เห็นว่าไป๋เฉินผงกศีรษะเล็กน้อย
พยักหน้าเนี่ยนะ!
นี่เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย!
เจี่ยงไป๋เหมียนสติคืนสู่ร่าง กลั้นใจรีบขัดจังหวะคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใยของซางเจี้ยนเย่า
“สรุปก็คือในหมู่มนุษย์ก็มีคนนิสัยไม่ดีอยู่ไม่น้อย คุณต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ อย่าเชื่อใครสุ่มสี่สุ่มห้า”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
“ผมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาแล้วไม่น้อย” เกอนาวาพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน
ใช่ไหมล่ะ… หลงเยว่หงมองสลับไปมาระหว่างเกอนาวา เจี่ยงไป๋เหมียน และซางเจี้ยนเย่าอยู่หลายตลบ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สนทนาต่อในหัวข้อนี้ เธอถามขึ้นอย่างครุ่นคิด
“ที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกคุณ บันทึกเรื่องของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไว้ว่ายังไงบ้างเหรอ”
เธอรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่ากองกำลังของหุ่นสมองกลนั้นประเมินบริษัทของตนเอาไว้เช่นไร
หลงเยว่หงเองก็เฉกเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปตักน้ำ เขามีหน้าที่รับผิดชอบด้านการคุ้มกัน ในเวลานี้จึงรู้สึกกระหายขึ้นมาเล็กน้อย ระหว่างที่รอคำตอบจากเกอนาวาเขาก็หยิบถุงน้ำขึ้นมาคลายเกลียวเปิดฝาแล้วยกขึ้นมาดื่ม
เกอนาวาจ้องมองตรงไปด้านหน้าด้วยดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงิน ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ
“คาดว่าน่าจะเป็นองค์กรลับที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของ ‘โรคไร้ใจ’”
พรวด!
น้ำในปากหลงเยว่หงพุ่งพรวดกระจายเต็มที่วางแขนและคอนโซลกลาง
“แค่ก แค่ก โอย สำลักน่ะ” หลังจากสูดหายใจแล้วเขาก็รีบอธิบายให้รู้
เกอนาวาไม่ได้ใส่ใจเขา เอ่ยปากพูดต่อ
“‘โรคไร้ใจ’ นั้นเป็นการถดถอยในระดับชีวภาพ พวกคุณเป็นกองกำลังที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพมากที่สุด อีกทั้งยังลึกลับมากด้วย ไม่มีใครรู้ว่าศูนย์บัญชาการพวกคุณตั้งอยู่ที่ไหน”
ที่แท้ก็ใช้การอนุมานนี่เอง หลงคิดว่าจะมีหลักฐานอะไรเสียอีก… หลงเยว่หงโล่งอกขึ้นมาทันที
ทว่าเรื่องที่เจี่ยงไป๋เหมียนใส่ใจนั้นกลับเป็นปัญหาอื่น นั่นคือ ดูเหมือน ‘ซอร์สเบรน’ จะเชื่อว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เป็นสถาบันวิจัยสักแห่ง
“ที่จริงแล้วทางพวกเราเองก็ประสบกับสถานการณ์ ‘โรคไร้ใจ’ ระบาดอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน และยังไม่มีทางรักษาอีกด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายแบบรวบรัดออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ “พอออกจากภูชีลาร์แล้วพวกเราจะไปที่ชุมชนศิลาแดง”
เดิมทีเธอเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะกลับไปชุมชนศิลาแดงเร็วขนาดนี้ จะว่าไปแล้วความขัดแย้งจนนองเลือดระหว่างมนุษย์ชั้นรองกับชาวชุมชนก็เพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าไร ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุตามวัตถุประสงค์ของซางเจี้ยนเย่า ยังคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย อีกทั้งยังต้องรอมุขนายกคนใหม่ของโบสถ์นิกายตื่นตัวเดินทางมาถึง
ทว่าในตอนนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านพลังงาน!
พวกเขามีแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับชาร์จเพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น แต่ทั้งรถจี๊ป ชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร และเกอนาวา ต่างต้องบริโภคพลังงานจากแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงทั้งสิ้น
รถจี๊ปมีแบตสองชุดสลับผัดเปลี่ยน ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารมีแบตสองแพ็ค ส่วนเกอนาวามีแบตสำรองสิบก้อนถ้วน
พูดให้ชัดเจนก็คืออาศัยเพียงแค่แผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์หนึ่งแผงย่อมไม่มีทางชาร์จแบตเตอรี่ได้ครบหมดทุกก้อน
แน่นอน
ด้วยเหตุนี้เจี่ยงไป๋เหมียนจึงตั้งใจว่าจะไปหาแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงมาเพิ่มอีกเพื่อสำรองไว้ในตอนที่หาสถานที่สำหรับ
ชาร์จไฟได้ จะได้ใช้งานให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชุมชนศิลาแดงนั้นเป็นจุดขนถ่ายสินค้าเถื่อนที่สำคัญที่สุดในย่านนี้เพราะฝั่งตะวันตกติดกับ ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ จึงทำให้เป็นสถานที่สะดวกสุดสำหรับการหาซื้อแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และระยะทางก็ถือว่าเหมาะสม ไม่ไกลจนเกินไป
ของพวกนี้ไม่ใช่หัวผักกาดที่จะหาซื้อได้ง่ายๆ ตามตลาดผัก
* * * * *
แม้บอกว่าจะไปชุมชนศิลาแดงก็ตาม แต่เส้นทางที่เลือกใช้นั้นกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากเส้นทางที่เดินทางไปทาร์นัน
เพื่อเป็นการป้องกันการไล่ล่าของยามจักรกล เกอนาวาจึงเลือกใช้ทางที่ออกจากภูชีลาร์ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ว่าจะต้องอ้อมค่อนข้างไกลและใช้เวลามากกว่าจะไปถึงชุมชนศิลาแดง แต่นี่ก็เพื่อความปลอดภัย
ระหว่างการเดินทางนี้ เป็นเพราะต้องการให้เกอนาวาประหยัดพลังงาน สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กับตัวเขาจึงสลับผลัดเปลี่ยนกันขับและพักผ่อน
ยามเที่ยงของวันหนึ่ง ดวงตะวันสาดแสงจ้า รถจี๊ปจอดอยู่ริมลำธาร
ขณะที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แบ่งงานกันตักน้ำเตรียมอาหาร เกอนาวาซึ่งว่างงานกำลังยืนอยู่หน้ารถมองแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเลื่อนลอย ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร
“กำลังสับสนอยู่งั้นเหรอ” เสียงซางเจี้ยนเย่าดังขึ้นใน ‘หู’ ของเขา
เกอนาวายังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบคำ
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมกางเกงผ้าหนาสีน้ำเงินลายทแยงมุมเดินเข้ามาที่หน้ารถจี๊ปพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังสับสนลังเลใจอยู่นะ”
เกอนาวาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณมองออกด้วยเหรอ”
“ผมเดาเอาน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าล้วงสองมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “อยากถามอะไรหรือเปล่า ผมอาจจะช่วยตอบให้ก็ได้นะ ถ้าเรื่องไหนผมตอบไม่ได้ ก็ยังมีพวกเขาช่วยตอบให้”
‘พวกเขา’ หมายถึง เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ที่เพิ่งจะกรอกน้ำและกินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จนั่นเอง
เกอนาวาที่ยังคงจ้องมองแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ พูดขึ้นอย่างลังเล
“ขอบอกตามตรงนะ ผมไม่ได้มั่นใจอีกแล้วว่าหุ่นสมองกลน่ะเท่าเทียมกับมนุษย์
“ในตอนนั้นคุณก็ได้เห็นแล้ว คนจากโถงควบคุมระเบียบเพียงแค่ปรับเปลี่ยนโปรแกรมไปนิดหน่อยพร้อมกับปิดกั้นข้อมูล เพียงแค่นั้นกลับทำให้ซูซานน่ากับเรสต์จำผมไม่ได้แล้ว ทำเหมือนผมเป็นคนแปลกหน้า
“ในตอนนั้นพวกเธอดูเหมือนเป็นแค่ชุดข้อมูลที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ไม่ใช่มนุษย์…”
ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะขึ้นมา
“มนุษย์เองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน คุณดูสิ…”
ในระหว่างที่พูด สายตาเขาก็จับจ้องไปที่หลงเยว่หง
หลงเยว่หงถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
“นายจะทำอะไรน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาพลางส่ายหน้า
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ แบบนั้นมันเป็นการดูหมิ่นกันไปหน่อย”
จากนั้นเขาก็หันกลับมาทางเกอนาวาแล้วอธิบายอย่างละเอียด
“ผมเป็นผู้ตื่นรู้ มีพลังพิเศษที่สามารถสร้างสถานการณ์ลักษณะนั้นให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ได้เหมือนกัน
“เฮ้อ นี่ถ้าตอนนี้มีโจรโผล่มาสักคนก็ดีสิ ผมจะได้ทำให้ตอนเช้าผมเป็นเพื่อนกับเขา ตอนบ่ายผมกลายเป็นพ่อเขา พอถัดไปวันรุ่งขึ้นผมกับเขาเราต่างก็ไม่รู้จักกัน กลายเป็นคนแปลกหน้าไปเลย”