รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 29 รำลึกอดีต
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงกวาดสายตามองดูรอบๆ สิ่งที่ชาวเมืองน้ำล้อมสร้างภาพจำลึกซึ้งให้พวกเขามากที่สุดมีสองเรื่อง
เรื่องแรกคือทุกคนสวมเสื้อผ้าหลากหลายราวกับว่ามาจากคนละที่กัน เสื้อผ้ามีรอยปะหลายแห่ง เรื่องที่สองคือร่างกายพวกเขา ทั้งมือไม้ใบหน้า ผมเผ้าและเสื้อผ้าล้วนสกปรกมอมแมม
ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากสองเรื่องนี้ เช่น เรื่องความเหนื่อยล้า ความซูบผอม ความสูง ล้วนเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว
ชาวเมืองเพิ่งจะมองดูผู้มาเยือนจากภายนอกได้เพียงไม่กี่ครั้ง ครั้นเมื่อเห็นว่าเถียนเอ้อร์เหอก็อยู่ที่นั่นด้วยจึงเลิกสนใจเลิกกังวล ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน ไม่ก็ยกเตาออกมา ก่อกองไฟ เตรียมทำมื้อเย็น พวกเขาค่อยๆ ใช้ชามตักเมล็ดธัญพืชผสมและรำข้าวเทลงไปในหม้ออย่างระมัดระวัง บางคนก็เพียงแค่ดื่มน้ำเย็น กินขนมปังข้าวโพดที่เย็นแล้วที่เหลือครึ่งหนึ่งจากมื้อเที่ยง… ตลอดทั้งเมืองน้ำล้อมเต็มไปด้วยกลิ่นควันและกลิ่นอาหาร
เถียนเอ้อร์เหอเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงกำลังนั่งสังเกตชาวเมืองอยู่ จึงถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้าง เห็นอะไรไหม”
หลงเยว่หงอ้าปาก แต่ก็รู้สึกว่าการจะพูดถึงภาพจำที่มีต่อชาวเมืองออกมาตรงๆ มันก็ไม่ค่อยมีมารยาทสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงหุบปากแล้วไตร่ตรองคำพูดเสียก่อน
ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้นละสายตากลับมาแล้วพูดออกมาตรงๆ
“ไม่สะอาด”
“ไม่สะอาด เฮ้อ” เถียนเอ้อร์เหอหัวเราะเบาๆ “ถ้าเอาไปเทียบกับพวกเธอ ก็ต้องไม่สะอาดอยู่แล้วล่ะ”
แม้ว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน และคนอื่นๆ จะล้มลุกคลุกคลานจนร่างกายเลอะเทอะมอมแมม แต่พวกเขาต่างเคยชินที่จะล้างหน้าล้างตาให้สะอาดในช่วงที่พักเติมน้ำระหว่างทาง
โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินพูดแทรก เถียนเอ้อร์เหอก็บุ้ยปากไปที่กลางลานคอนกรีต
“ถึงแม้ว่าเมืองน้ำล้อมจะไม่ขาดแคลนแหล่งน้ำสะอาด แต่ยังไงก็ต้องประหยัดถ่านไม้ไว้หน่อย ฉันเคยอ่านหนังสือมาว่าการโค่นไม้ทำลายป่ามากเกินไปจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินน้อยลง ก็เลยไม่ไห้พวกเขาตัดต้นไม้ในละแวกนี้ ต้องออกไปไกลๆ
“บางครั้งบางคราวถ้าเกิดได้ถ่านหินมาจากพวกลักลอบค้าของเถื่อนล่ะก็ นั่นเหมือนได้ฉลองปีใหม่เลยล่ะ พวกคุณก็รู้ว่า ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ น่ะมีถ่านหินอยู่เหลือเฟือเลย
“เฮ้อ ตอนหน้าร้อนนี่ยังดีหน่อย ยังอาบน้ำเย็นได้อยู่ แต่พอเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็ทำได้แค่ต้องทน สกปรกหน่อยก็ดีกว่าล้มป่วย ถ้าใครทนไม่ไหวก็ต้มน้ำซักกาแล้วก็เช็ดตัวเอา”
พูดถึงตรงนี้เถียนเอ้อร์เหอก็หยุดชั่วครู่ รอยยิ้มแฝงไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
“นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็ยุ่งเรื่องงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กว่าจะถึงเวลาพักผ่อน ยังจะเหลือแรงทำอะไรได้อีก”
หลงเยว่หงพลันนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาสองเดือนแห่งการฝึกหนักได้ทันที เจี่ยงไป๋เหมียนฝึกเขากับซางเจี้ยนเย่าจนหมดสภาพทุกวัน พอกลับไปถึงบ้านก็อยากนอนแผ่ ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว
แต่ว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นมีโรงอาหารพนักงาน เขากับซางเจี้ยนเย่าจะพกเอากล่องอาหารไปด้วยก็ได้หรือจะไปตัวเปล่าก็ได้ เมื่อไปถึงโรงอาหารพวกเขาก็สามารถกินอาหารที่จัดเตรียมสำเร็จไว้แล้วได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำกินเอง
“มิน่าล่ะ” เขาแสดงสีหน้าบอกว่าเข้าใจ
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เขาพยักหน้าเงียบๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้เขา
“คิดว่านายจะถามซะอีกว่าทำไมตอนหน้าหนาวพวกเขาถึงไม่อาบน้ำเย็นกัน มันช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้อีกด้วย”
“สภาพร่างกายแย่เกินไป” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
ตอนนี้เอง ยามที่มีชื่อเล่นว่า ‘ลูกหมา’ ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับเตาจากบ้านของเถียนเอ้อร์เหอ ที่แผ่นหลังของเขาก็ยังมีถ่านไม้ถุงเล็กๆ อยู่ด้วย
เขากระวีกระวาดช่วยจุดเตาให้ก่อนจะไปร่วมกับทีมลาดตระเวนที่รับผิดชอบบริเวณนี้ ไม่อยากจากไปไหน
นี่ไม่ใช่เพราะเขาอยากได้ส่วนแบ่งของเนื้อย่างแดงกระป๋องหรอก แต่เป็นเพราะเมื่อเทียบกับผู้หญิงส่วนใหญ่ในเมืองแล้ว ไป๋เฉินกับเจี่ยงไป๋เหมียนที่ใบหน้าผมเผ้าสะอาดสะอ้านนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาชายหนุ่มมากกว่า โดยเฉพาะเจี่ยงไป๋เหมียนที่สูงยาวเข่าดี เธอได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ ดังนั้นในสายตาของบรรดายามเมืองหนุ่มน้อยพวกนี้แล้ว เธอจึงงดงามราวเทพธิดาก็ไม่ปาน ทำให้พวกเขาอยากป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ไม่ไปไหน
บนแดนธุลีนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงไม่ได้เป็นเรื่องหัวโบราณอีกแล้ว เพียงแค่ได้พบสบตาถ้าถูกใจก็ชวนกันไปปูที่นอนได้ทันที ด้วยเหตุนี้ทั้งยามลาดตระเวนและยามเมืองต่างพากันเชิดหน้ายืดอกโฆษณาตัวเองกันอย่างเต็มที่
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบตามองดู พอเห็นท่าทางพวกเขาก็ทำเอาเกือบหลุดหัวเราะออกมา
เธอไม่ได้ใส่ใจพวกยาม เดินไปท้ายรถจี๊ปแล้วหยิบอาหารกระป๋องออกมาอีกสี่กระป๋อง
“เอาหม้อไหม จะใช้หม้อหรือเปล่า ถ้วยชามตะเกียบเอาด้วยไหม” เถียนเอ้อร์เหอถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ได้สิ สะดวกกว่าใช้กล่องอาหารของพวกเราเยอะเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย
“เจ้าลูกหมา! เร็วเข้า รีบไปเอาหม้อ เอาถ้วยชามตะเกียบของฉันมา นับคนด้วยว่ามีกี่คน!” เถียนเอ้อร์เหอส่งเสียงออกมาทันที
ยามเมืองที่ชื่อเล่นว่า ‘ลูกหมา’ รับคำทันที เพียงไม่นานก็ขนเอาหม้อเหล็กสีดำมาให้ ข้างในหม้อมีชามกับตะเกียบห้าชุด
หลังจากช่วยตั้งหม้อแล้ว เขาลอบชำเลืองมองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดเสียงอ่อยกับเถียนเอ้อร์เหอ
“เจ้าเมือง ช่วยเลิกเรียกชื่อเล่นผมสักทีได้ไหม ผมอายุ 20 แล้วนะ…”
“แล้วไง ฉันเห็นพ่อแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนป่านนี้ฉันก็ยังเรียกชื่อเล่นเขาอยู่เลย!” เถียนเอ้อร์เหอตอบอย่างมีน้ำโห ก่อนจะโบกมือไล่ “ไป ไป ไป๊ อย่ามากวน ผู้ใหญ่เขาจะกิน เอ้ย จะคุยกัน”
ซางเจี้ยนเย่าจ้องเขม็งมองปากหม้ออย่างไม่วางตา เห็นชามในหม้อเป็นสีเขียวอ่อนและมีลวดลายวิจิตรงดงาม ตะเกียบเป็นสีขาวนวลไร้ซึ่งตำหนิใดๆ
นี่มันดีกว่าชามกับตะเกียบที่พนักงาน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ใช้ตั้งเยอะ
เถียนเอ้อร์เหอมองเขาชั่วแวบแล้วก็หัวเราะฮาฮา
“ทำไมล่ะ คิดว่าชามเล็กไปหรือไง”
“เขาคิดว่ามันดูดีและประณีตเกินไปน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบช่วยตอบแทนซางเจี้ยนเย่า ราวกับกลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่เสียมารยาท
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถือสา พยักหน้ารับว่าเขากำลังคิดเช่นนั้นจริงๆ
วินาทีถัดมาเขามองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วปิดปากส่งเสียงฮึมฮัมอยู่ชั่วขณะ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังอึ้งและงุนงงอยู่นั้น เขาก็ถามเจี่ยงไป๋เหมียน
“คุณลองเดาดูซิว่าเมื่อกี้ผมพูดอะไร”
“…ฉันจะไปรู้ได้ไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับมึน เกือบจะรักษารอยยิ้มไว้ไม่ได้
“ก่อนหน้านี้คุณยังเดาได้ตรงเผ็งเลยไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าหน้าจ๋อย
เจี่ยงไป๋เหมียนสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา
“นี่ถ้าไม่ใช่นายนะ ฉันคงคิดว่าที่ทำแบบนี้เป็นเพราะไม่พอใจเรื่องที่พูดตัดหน้าเมื่อตะกี้นี้แหงๆ”
ขณะที่พูด เธอไม่ได้มองตาซางเจี้ยนเย่าแต่จับจ้องไปที่หัวเขา ราวกับว่าอยากจะฟาดลงไปซักเผียะ
เถียนเอ้อร์เหอมีสีหน้าแปลกใจเมื่อมองเห็นการพูดคุยโต้ตอบกันของพวกเขา สุดท้ายก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“กลุ่มของเธอนี่ รู้สึก… รู้สึกว่า… ผ่อนคลายและครึกครื้นกันดีเนอะ”
“สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะว่าสมองเขามีอาการน็อตหลวมเป็นพักๆ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเน้นย้ำด้วยท่าทางหนักแน่นจริงจัง ไป๋เฉินเองก็ผงกศีรษะอย่างเศร้าใจ
ซางเจี้ยนเย่ารีบพูดขึ้นทันที
“ทำไมถึงไม่คิดว่าผมจงใจทำเพื่อสร้างบรรยากาศล่ะ”
“…งั้นก็พยายามรักษาไว้ให้ดีละกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันพูด
เถียนเอ้อร์เหอหัวเราะพลางหยิบชามตะเกียบขึ้นมา
“ของพวกนี้เอากลับมาจากซากปรักของโลกเก่าน่ะ ยังมีอะไรแบบนี้อีกเยอะ ไม่ค่อยมีราคาค่างวดอะไรนักหรอก
“จะมีนักล่าซากอารยะคนไหนที่ขึ้นเขาลงห้วยถ่อมาถึงนี่แล้วขนชามขนตะเกียบพวกนี้ใส่เป้ใส่ท้ายรถกลับไปล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งใจฟัง พูดออกมาอย่างสะท้อนใจ
“ก็จริงแหละ ซากเมืองของโลกเก่ายังมีข้าวของอีกมากมายที่ถูกฝังไว้ อื้อ ตอนนี้มันไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไร้ค่าเสียหน่อย”
ขณะที่พูดไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็เทอาหารทั้งห้ากระป๋องลงไปในหม้อ
“เจ้าเมือง ระหว่างรอให้อาหารร้อน คุณช่วยเล่าเรื่องโลกเก่าและเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณในตอนนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนโยนกระป๋องเปล่าทิ้งไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ยื่นบุหรี่ใบยาสูบสีดำปนเหลืองให้กับเถียนเอ้อร์เหอด้วยไมตรีจิต
เถียนเอ้อร์เหอรับบุหรี่มาแล้วจุดไฟด้วยถ่านในเตา
หลังจากสูดเข้าไปก็ปรือตาลงครึ่งหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ความปรารถนาสูงสุดของฉันในตอนนี้ก็คือได้สูบบุหรี่ปีละสามครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองของปีนี้ล่ะ”
เขาถอนใจแล้วก็พลางมองไปรอบๆ แสดงสีหน้ารำลึกความหลัง
“ตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย ฉันเพิ่งจะแค่สิบขวบเอง ยังเป็น… เอ่อ… เป็นนักเรียนประถมอยู่
“แม่ฉันเป็นครูชั้นมัธยมต้นในตัวอำเภอ พ่อเป็นลูกจ้างของหน่วยงานรัฐบาล ตอนนั้นเพิ่งปิดเทอมหน้าหนาว อากาศเหมือนจะเย็นกว่าตอนนี้นิดหน่อย หรืออาจจะไม่หน่อยก็ได้ ไม่รู้สิ
“ฉันจำไม่ได้แล้วว่าทำไม แต่น่าจะเป็นเพราะว่าโรงเรียนมัธยมปิดเทอมช้ากว่า แล้วตอนช่วงสิ้นปีพ่อก็งานยุ่งมาก ที่บ้านเลยไม่มีคนว่างมาดูแลฉัน ดังนั้นพอถึงสุดสัปดาห์ พ่อแม่ก็เลยส่งฉันไปอยู่ที่บ้านปู่ เป็นหมู่บ้านที่ไม่ไกลจากเมืองน้ำล้อมเท่าไหร่
“ฉันจำได้แม่นเลยล่ะ พวกเขาบอกว่าเดี๋ยวไว้อีกแปดวันจะมารับฉันกับปู่ย่ากลับไปฉลองปีใหม่ในตัวอำเภอ
“อา… ตอนนั้นฉันวิ่งเล่นไปรอบหมู่บ้านอย่างสนุกสนาน แต่ก็ยังคิดถึงบ้านทุกคืน คอยดูปฏิทินนับวันเวลาที่พ่อแม่จะมารับ
“สองวันสุดท้าย ช่วงสายๆ ฉันกับเพื่อนสองสามคนอยากไปตกปลาที่แม่น้ำ แต่ถูกผู้ใหญ่ห้ามไว้ พวกเราก็เลยได้แต่ไปเล่นแถวลำธารเล็กๆ ละแวกนั้น หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังลั่น รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนไปหมด
“ฉันกลัวมาก คิดแต่ว่าอยากกลับไปบ้านปู่ ไม่อยากออกนอกบ้านแล้ว
“มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกหลายครั้ง ยิ่งทีก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แค่ก แค่ก ฉันคิดว่ามีแผ่นดินไหวรุนแรงมากตามมาด้วย”
ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียน และคนอื่นๆ ต่างก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เถียนเอ้อร์เหอยื่นมือออกมาอังไฟแล้วเล่าความหลังต่อ
“ตอนเกิดเหตุนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงหมดสติไป อาจเป็นเพราะถูกคลื่นระเบิดเข้าล่ะมั้ง แต่ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา พอดูแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน
“พอฟื้นขึ้นมาฉันก็รีบวิ่งกลับบ้านทันที แล้วก็เห็นบ้านของปู่พังหมดแล้ว… พวกเขาหนีออกมาไม่ทัน…
“ตอนนั้นปู่ย่ายังอายุน้อยกว่าฉันในตอนนี้มาก พวกเขาเลี้ยงไก่ปลูกผัก และทำอีกสารพัด
“เฮ้อ อย่าพูดเรื่องนี้เลย ตอนนั้นในหมู่บ้านยังมีคนที่รอดมาได้อยู่หลายคน ฉันเดินตามพวกอาๆ น้าๆ พวกคุณปู่คุณย่าเข้าไปในเมือง ที่นั่นยังมีบ้านหลายหลังที่สภาพยังดีอยู่ แต่เราไม่ได้เลือกบ้านพวกนั้น เราเลือกที่นี่เพราะว่ามันเป็นที่โล่ง เรากางเต็นท์อยู่กันชั่วคราว เพราะจะได้ไม่ต้องคอยกลัวว่าบ้านจะพังลงมาทับ
“ตอนนั้นการสื่อสารถูกตัดขาด ไม่มีสัญญาณ ทุกคนรอความช่วยเหลืออยู่ที่นี่ แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าจะรอยังไง ความช่วยเหลือก็ไม่เคยมาถึงเลย…”
เสียงของเถียนเอ้อร์เหอค่อยๆ เบาลง ราวกับเขายังจดจำความหวาดผวาตื่นตระหนกและความสิ้นหวังในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
“มีพวกอาๆ น้าๆ สองสามคนทนรอไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาเข้าไปเก็บรวบรวมอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตและตามบ้านเรือน พยายามออกจากเมืองน้ำล้อมเข้าไปในตัวอำเภอ ฉัน… ฉันก็ตามไปด้วย อยากจะกลับไปหากับพ่อแม่ อย่าหัวเราะฉันเลย มันเป็นสัญชาตญาณของเด็กน่ะ
“พวกเราขับรถกันไปได้ซักพัก ปีนข้ามถนนที่ทรุดถล่ม เดินต่อกันไปอีกไกลมาก จนในที่สุดก็ไปถึงตัวอำเภอ
“ที่นั่น… ที่นั่น… ยิ่งน่ากลัวกว่าซะอีก…”
เถียนเอ้อร์เหอดวงตาเลื่อนลอย
ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้ายที่ไม่อาจสลัดทิ้งได้จนชั่วชีวิต
* * * * *