รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 290 กลับมาอีกครั้ง
ตอนที่ 290 กลับมาอีกครั้ง
ทาร์นันมีนิกายอยู่มากมาย ผู้ตื่นรู้ก็มีไม่น้อย เกอนาวาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรในเรื่องนี้ แต่บางทีคงเป็นเพราะเขาสามารถจัดการรับมือเรื่องความปลอดภัยสาธารณะในทาร์นันได้เป็นอย่างดี ยกเว้นเฉพาะเรื่องภาพลวงตาของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสได้ประสบพบเจอกับพลังพิเศษต่างๆ พวกนั้นเลย ได้แต่อาศัยข้อมูลจากเว็บไซต์สาธารณะของ ‘สวรรค์จักรกล’ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องพวกนี้เท่านั้น
เขาจึงเอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“เป็นอย่างนั้นเหรอ”
“คุณถามพวกเขาดูก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาเขามองไปที่หลงเยว่หง
หลงเยว่หงพลันขนลุกเกรียวอย่างบอกไม่ถูก
“ชะ… ใช่แล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนช่วยเสริมอีกประโยค
“ในแง่หนึ่งนั้น ทั้งจิตสำนึก ความทรงจำ และการตระหนักรู้ในตนเองของมนุษย์ก็ถือว่าเปราะบางมากเหมือนกัน”
เกอนาวาผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วพูดต่อ
“ที่จริงก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ไหนๆ ออกมาแล้วก็อย่าไปเอามุมมองที่ถูกกำหนดไว้มาใช้จะเป็นการดีที่สุด ให้ใช้ใจในการฟัง ในการดู ในการรับรู้ ไว้รอจนเมื่อไหร่ที่คุณมีประสบการณ์มากพอก็อาจจะได้รับคำตอบที่ต้องการก็ได้ พอถึงตอนนั้นก็จะมองอะไรๆ ได้ชัดเจน มองภูเขาก็เห็นภูเขา มองแม่น้ำก็เห็นแม่น้ำ”
แม้ว่าเกอนาวาไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายมากนัก แต่เขาก็ยังเข้าใจความหมายของประโยคก่อนหน้าได้ หลังจากไตร่ตรองก็พูดขึ้น
“ผมจะพยายามหาคำตอบให้ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เธอหันไปบอกซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ
“ขึ้นรถกันเถอะ”
หลังจากเข้าใจแล้วว่าเกอนาวาสับสนเรื่องอะไร เธอก็เข้าใจเหตุผลได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ได้ห่วงพะวงเรื่องการช่วยเหลือซูซานน่ากับเรสต์
* * * * *
เมื่อถึงวันถัดมา ยานพาหนะก็อยู่ไม่ไกลจากชุมชนศิลาแดงเท่าใดแล้ว ใกล้จะเข้าไปในอาณาเขตทะเลสาบพิโรธเต็มที คาดว่าล่วงไปอีกวันก็น่าจะไปถึงที่หมาย
หลงเยว่หงมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าตามซอกหินและบริเวณที่อยู่ห่างจากถนนมีสีเขียวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“หมดฤดูหนาวแล้วเหรอเนี่ย” จากประสบการณ์ของเขา นี่ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิเลยนี่นา
เจี่ยงไป๋เหมียนที่สลับมาเป็นคนขับรถพูดอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ที่นี่อยู่ทางตอนใต้น่ะ มันเลยต่างไปจากแดนร้างบึงดำ อากาศจะอุ่นขึ้นมาเร็วกว่า”
“นอกจากนั้นบริเวณนี้ก็ยังล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน อากาศเย็นถูกขวางไว้ ทำให้พื้นที่แถบนี้ค่อนข้างอบอุ่น…” เกอนาวากล่าวเสริมด้วยมุมมองทางภูมิศาสตร์
หลงเยว่หงถามอย่างครุ่นคิด
“ถ้างั้นในพื้นที่แถบนี้ก็คือหมดฤดูหนาวไปแล้วน่ะสิ”
ฤดูกาลที่ยากลำบากที่สุดบนแดนธุลีสิ้นสุดลงไปแล้วสินะ…
“ถูกแล้วล่ะ” ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับชี้ไปข้างหน้าในแนวทแยง “พวกคนเร่ร่อนเริ่มออกมาหาอาหารกันแล้ว”
ช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลินั้นเป็นเวลาที่อาหารที่เก็บตุนไว้ถูกบริโภคจนหมดสิ้นและยังไม่ได้เพาะปลูกเมล็ดพืช
ในฤดูกาลใหม่ บรรดาคนเร่ร่อนในแต่ละนิคมจึงต้องออกมาหาอาหารประทังชีวิต ขึ้นเขาก็หาของบนเขา ลงห้วยก็หาของในห้วย
พวกคนที่ไม่มีอาหารมากพอจะยืนหยัดได้จนถึงเวลานี้ ก็คงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนที่อพยพไปเมืองหญ้าไพรตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อมองตามที่ไป๋เฉินชี้ไป หลงเยว่หงก็เห็นรถบรรทุกเล็กสองสามคัน
รถพวกนั้นต่างก็เก่าและทรุดโทรม กระบะท้ายรถมีคนถือปืนยืนอยู่หลายคน
คนเหล่านั้นมีใบหน้าสกปรกมอมแมม เสื้อผ้ามีรอยปะชุนอย่างเห็นได้ชัด อาวุธส่วนใหญ่เป็นปืนลูกซองทำมือ มีปืนไรเฟิลกับปืนพกคละรวมอยู่ด้วย
เมื่อเห็นว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ มีรถจี๊ปเพียงคันเดียว คนกลุ่มนั้นก็เปลี่ยนทิศแล้วมุ่งตรงเข้ามาหา
“พวกเขาจะ… จะมาปล้นงั้นเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกขบขันอยู่บ้าง
“ในฤดูกาลนี้ การปล้นได้ผลกว่าการออกไปล่าน่ะ” ไป๋เฉินเอ่ยแนะนำอย่างใจเย็น
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็หยิบโทรโข่งสีน้ำเงินขาวขึ้นมาแล้วเปิดกระจกหน้าต่างฝั่งตัวเอง
เสียงเขาดังขึ้นมาทันที
“เลิกฝันเถอะ ยอมรับความจริงได้แล้ว
“หันกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ
“พวกคุณเห็นไหมว่าเรามีปืนบาซูก้า…”
หลังจากพูดซ้ำอีกครั้งด้วยภาษาแม่น้ำแดง เขาก็หันหน้าไปมองหลงเยว่หง
หลงเยว่หงเข้าใจได้โดยปริยายและรู้ว่าต้องทำเช่นไร เขาหยิบปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ขึ้นมาแล้วยื่นออกมานอกหน้าต่างฝั่งตัวเองเพื่อให้คนเร่ร่อนแดนร้างกลุ่มนี้มองเห็นได้ชัดเจนเต็มตา
ซางเจี้ยนเย่ายังคงตะโกนต่อไป
“พวกเรายังมีหุ่นยนต์ต่อสู้เป็นผู้ช่วยด้วย…”
เขาตะโกนโดยใช้สองภาษาสลับกัน ระหว่างนั้นก็ขยิบตาให้เกอนาวาที่ถูกนั่งขนาบอยู่ตรงกลางเบาะหลังไปด้วย
เกอนาวาเอ่ยถามอย่างลังเล
“คุณจะให้ผมข่มขวัญพวกเขางั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเพื่อแสดงว่าเป็นเช่นนั้น
เกอนาวาใช้มือหนึ่งยันด้านหลังไว้ ดันร่างผ่านหน้าซางเจี้ยนเย่า พยายามชะโงกหัวออกนอกหน้าต่าง
แล้วตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังขับรถอยู่ก็ยื่นสิ่งของบางอย่างไปทางด้านหลัง
มันคือแว่นกันแดด
เกอนาวาวิเคราะห์สถานการณ์ เมื่อเข้าใจความหมายของเธอจึงรับแว่นกันแดดอันนั้นมาวางไว้บนสันจมูกของตน
ด้วยวิธีนี้ ลำแสงสีน้ำเงินจากดวงตาเขาก็จะถูกปกปิดเอาไว้ หากไม่ได้สังเกตอย่างจริงจังก็คงไม่มีใครทราบว่าเขาเป็นหุ่นสมองกล
หลังจากที่ใช้เวลาร่วมกันมาระยะหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องหนึ่งได้กระจ่าง
ชื่อที่แท้จริงของทีมเฉียนไป๋นั้นคือ ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และหัวหน้าทีมก็ไม่ใช่เฉียนไป๋ ทว่าเป็นหญิงสาวผู้ใช้ชื่อปลอมว่าเซวียสือเยว่ มีชื่อจริงว่าเจี่ยงไป๋เหมียน
หญิงสาวที่สามารถจัดการโค่นหุ่นสมองกลลงได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการลอบโจมตี แต่มันก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจนน่าตระหนกอยู่ดี
เกอนาวาชะโงกศีรษะที่สวมแว่นกันแดดออกไปนอกหน้าต่างรถเพียงแค่ไม่กี่วินาที รถบรรทุกเล็กที่สภาพน่าอเนจอนาถบรรทุกคนคันนั้นก็รีบบึ่ง ‘เผ่น’ หนีจากไปโดยเร็ว
เพียงไม่นานพวกเขาก็หายลับไปในเนินเขา
เกอนาวาหดร่างกลับเข้ามา ถอดแว่นกันแดดออกแล้วมองไปที่ซางเจี้ยนเย่าพร้อมกับถามออกมาตามตรง
“คุณใช้พลังพิเศษผู้ตื่นรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของพวกเขาอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ เขาสามารถใช้โทรโข่งเพื่อขยายระยะทางของพลังพิเศษของตัวเองได้ แต่ว่าในตอนนี้ยังส่งพลังไปได้แบบตัวต่อตัวเท่านั้น” หลงเยว่หงรู้สึกว่าตนเองสามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ จึงช่วยอธิบายแทนซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขากับเกอนาวาตามลำดับแล้วถามด้วยความสงสัย
“นี่นายเห็นภาพหลอนตั้งแต่ตอนไหนว่าฉันใช้พลังพิเศษน่ะ”
“เอ่อ…” หลงเยว่หงชะงักไปเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มออกมา
“ฉันเพียงแค่ขู่พวกเขาเท่านั้นเอง
“นายลองคิดดูสิ หุ่นยนต์ผู้ช่วยประเภทต่อสู้หนึ่งตัวกับบาซูก้าอีกหนึ่งกระบอกก็สามารถกวาดพวกเขายกทีมได้สบายๆ ถ้าเห็นแบบนี้แล้วพวกเขายังกล้าเข้ามาหาพวกเราอีก สงสัยว่าสมองพวกเขาคงถูก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กินไปหมดแล้วล่ะ”
ต่อให้เป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่หลงเหลือเพียงแค่สัญชาตญาณของสัตว์ป่า ถ้ามาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามพุ่งเข้ามาอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าจะหิวโซจนหน้ามืดตามัวเท่านั้น
เกอนาวาผงกศีรษะ
“นั่นสินะ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังพิเศษจริงๆ”
เพียงแค่ข่มขู่กับแสดงความแข็งแกร่ง เท่านี้ก็ได้ผลเกินพอแล้ว
จากนั้นเขาก็แก้ไขคำพูดของซางเจี้ยนเย่า
“ก่อนหน้านี้คุณบอกออกไปว่าหุ่นยนต์ผู้ช่วยประเภทต่อสู้”
“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องไปสนใจรายละเอียดหรอกน่า” ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะแล้วยื่นมือซ้ายออกไปโอบไหล่ซ้ายของเกอนาวา “เป็นคนก็อย่าไปยึดมั่นตายตัวนัก”
เขาดูราวกับเป็นพี่น้องที่กอดคอเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
“เป็นคนก็อย่าไปยึดมั่นตายตัวนัก…” เกอนาวาทวนประโยคด้วยน้ำเสียงว่าจะจำไว้เป็นบทเรียน
เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังขับรถอยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้
เจ้าซางเจี้ยนเย่านี่ คงไม่ใช่ว่าจะทำให้หุ่นสมองกลเพี้ยนไปเหมือนตัวเองหรอกนะ…
มีคำกล่าวว่าใกล้ชาดติดแดงใกล้หมึกติดดำ[1] นอกจากนั้นพวกหุ่นสมองกลก็อาศัยอัลกอริทึมธึมการเรียนรู้พิเศษเพื่อดูดซับ ‘สารอาหาร’ จากสิ่งรอบตัวเพื่อสร้างระบบความรู้ความเข้าใจของตนเอง จึงยิ่งจะส่งผลต่อระบบความคิดมากยิ่งขึ้น
“อะแฮ่ม” เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอม “เกอนาวา พวกมนุษย์เราน่ะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก คุณจะใช้ตัวอย่างจาก
คนคนๆ เดียวมาอ้างอิงไม่ได้ ไม่งั้นก็เท่ากับว่ามีมุมมองเพียงแค่ด้านเดียว คุณต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ให้มากกว่านี้ หลากหลายกว่านี้”
“ผมเข้าใจแล้ว” เกอนาวาแสดงสีหน้าว่าเข้าใจพร้อมกับยื่นแว่นกันแดดกลับคืนไปให้ “ตอนอยู่ที่ทาร์นัน ผมก็พยายามจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกชาวเมืองและคนต่างถิ่น แต่พวกเขามักจะสงวนท่าที ไม่กล้าแสดงอะไรออกมาเท่าไหร่”
พูดจบเขาก็แนะนำอย่างจริงใจ
“พวกคุณเรียกผมว่าเหล่าเกอก็ได้ เรียกชื่อจริงมันทำให้รู้สึกห่างเหินไปหน่อย”
“มีใครสอนให้คุณใช้ชื่อนี้เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งรู้สึกแปลกใจและขบขันไปในเวลาเดียวกัน
เกอนาวาอธิบายอย่างจริงจัง
“ผมวิเคราะห์การเรียกชื่อเล่นของพวกคุณแล้วก็ประมวลรูปแบบออกมาน่ะ จากนั้นก็เลือกชื่อนี้ด้วยตัวเอง
“อ้อ ในระหว่างกระบวนการนี้ผมยังไม่สามารถหาความคล้ายคลึงกันระหว่างชื่อเล่นของเขากับของคุณได้ จึงต้องตัดทิ้งไปก่อน ไม่ได้นำมาอ้างอิงด้วย”
เขาหมายถึงชื่อ ‘เฮ้’ ของซางเจี้ยนเย่า
เขาเพิ่งจะพูดจบ ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับก็หัวเราะเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน
เจี่ยงไป๋เหมียนอดยกมุมปากขึ้นไม่ได้
“ก็ตามที่ฉันเพิ่งบอกไปเมื่อกี้น่ะ แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน วิธีคิดของเขาไม่เหมือนกับพวกเรา คุณไม่ต้องไปคิดมากหรอก”
เกอนาวาร้อง “อืม” คำหนึ่งแล้วพูดกับตัวเอง
“จากมุมมองของพวกเราชาวหุ่นสมองกล ชื่อเล่นไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบตายตัว ยังสามารถใช้นิสัยความเคยชินของตัวเองหรือเรื่องราวบางอย่างมาใช้ได้ด้วย ผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจเขาดีนักก็เลยยังไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้”
ในขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่าด้วยดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินราวกับต้องการสร้างตัวอย่างสังเกตการณ์แบบพิเศษเพิ่มเข้าไปในฐานข้อมูลของตน
ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาชักมือซ้ายที่โอบไหล่ไว้กลับมาแล้วจับมือเกอนาวาเขย่าอย่างแรง
“ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนกัน ไว้กลับมาเจอกันก็มาเต้นด้วยกันนะ”
เกอนาวานั้นเหมือนจะต่อต้านการเต้นอยู่บ้าง ทว่าเมื่อนึกถึงการกลมกลืนกับกลุ่ม สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับ
“ตกลง”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองทางข้างหน้าพลางถอนหายใจอย่างระอาใจ
* * * * *
ณ ซากปรักเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนศิลาแดงนั้น ความเงียบสงัดยังคงเป็นบรรยากาศหลักของที่นี่
รถจี๊ปขับไปยังชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นทางเข้าชุมชนศิลาแดงด้วย จากนั้นก็มีปืนกับปืนใหญ่ยื่นออกจากที่ซ่อนในผนังหิน เล็งมาตามที่คาดเอาไว้
“จะให้ผมไปเจรจาไหม” เกอนาวาวิเคราะห์สถานการณ์แล้วรู้สึกว่าการให้ตนเองออกไปนั้นน่าจะปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด
เขายังพูดไม่ทันจบ ซางเจี้ยนเย่าก็เปิดประตูรถก้าวลงไปอย่างไม่ใส่ใจ
ซางเจี้ยนเย่าชูสองแขนขึ้นโบกมือให้กับผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณทางเข้าชุมชนศิลาแดงพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างร่าเริง
“พวกเรากลับมาแล้ว!”
ไม่ทราบว่าเขานำหน้ากากขนดกปากยื่นออกมาสวมไว้ตั้งแต่เมื่อใด
________________________________________
[1] ใกล้ชาดติดแดงใกล้หมึกติดดำ (近朱者赤近墨者黑) เปรียบดั่งผู้ที่อยู่กับหมึกแดงที่ใช้ประทับตราและหมึกดำที่ใช้เขียนหนังสือ ย่อมต้องเปื้อนสีแดงสีดำ อุปมาถึงคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นไรก็จะติดนิสัยความเคยชินเช่นนั้นมาด้วย