รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 300 คนขี้ขลาด
ตอนที่ 300 คนขี้ขลาด
แม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะรู้สึกอิดหนาระอาใจเป็นสองเท่า แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อสภาวะของเธอ เธอเพียงแค่ถอนหายใจเล็กน้อยเท่านั้น
เป็นเพราะจิตใจเธอถูกกระทบกระเทือนมากเสียจนแข็งแกร่งด้านชาไปเสียแล้ว
“เก็บกระดาษแผ่นนั้นมาด้วยละกัน กลับไปค่อยเอาไปตรวจสอบเพิ่ม” หลังจากนั้นเธอก็สั่งเกอนาวา
พูดจบเธอก็ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ
“ใกล้หมดเวลาแล้ว เร่งมือกันหน่อย”
ความหมายของเธอก็คือให้รีบตรวจสอบสิ่งของอีกสองสามชิ้นที่เหลือในห้องว่าคุ้มค่ามากพอที่จะเสี่ยงเอากลับไปด้วยหรือไม่
เกอนาวาไม่รอช้า เขารีบสะบัดผ้าห่มผืนบาง ตบหมอน พลิกฟูกขึ้น แต่ก็ไม่พบอะไรอย่างอื่นอีก
ในระหว่างนี้ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าต่างก็พยายามตรวจจับเต็มที่ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น
จนกระทั่งเกอนาวาหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา เอื้อมมือโลหะสีดำเงินไปยังมุกราตรีเม็ดเล็กที่เรืองแสงสีเขียวเหลือง ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากขึ้นมาทันที
“ขยับ มีการขยับ ทารกขยับตัว”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าที่แท้แล้วจิตใจตัวเองยังไม่แข็งแกร่งด้านชามากพอ
เธออดทอดถอนใจกับตัวเองไม่ได้…
ไม่เสียทีที่นิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ เป็นองค์กรศาสนาองค์กรแรกที่ซางเจี้ยนเย่าเข้าร่วมด้วยจริงๆ เห็นได้ชัดว่ามันฝังความประทับใจไว้ให้ซางเจี้ยนเย่าอย่างลึกซึ้ง
แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนทราบว่าทำไมซางเจี้ยนเย่าถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น นั่นเป็นเพราะในขณะที่นิ้วของเกอนาวาสัมผัสถูกไข่มุกเรืองแสงที่มีขนาดเท่าตาปลา แสงเรืองรองของสิ่งนั้นก็กะพริบเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น และยิ่งกว่านั้นก็คือสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพที่ตรวจจับยากยิ่งซึ่งอยู่ภายในนั้นก็กะพริบวูบก่อนจะอันตรธานหายไป
ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ
“มีจิตสำนึกของมนุษย์ที่เลือนรางสุดๆ เคลื่อนไหวอยู่ข้างในไข่มุกนั่น
“แต่ตอนนี้หายไปแล้ว”
นี่เป็นการผสานออร่าที่หลงเหลือของผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปสำรวจด้านในของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ เข้ากับวัตถุอย่างนั้นเหรอ… มันอาจมาจากร่างของพยัคฆ์ยมราชเองก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นของที่เขาเก็บมาจากห้องใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็ได้เหมือนกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนใส่ใจเรื่องของเวลา จึงยังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา
“เก็บมาก่อน กลับไปค่อยศึกษาดู พวกเราควรออกไปได้แล้ว”
เกอนาวาหยิบถุงมือยางที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วยัดมุกเรืองแสงสีเขียวเหลืองลงไปก่อนจะห่อเอาไว้
หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ถอยกลับออกมาจากห้องนั้นอย่างว่องไวและเป็นระเบียบ ปิดไฟฉาย
รอจนเกอนาวาผลักโลงศพกลับคืนตำแหน่งเดิมขวางทางเข้าออกห้องใต้ดินเสร็จเรียบร้อย ซางเจี้ยนเย่าก็ยกฝาโลงขึ้นมาอีกครั้ง วางปิดโลงไว้สนิท
“ฉันคิดว่าพยัคฆ์ยมราชอาจไม่ชอบให้นายทำแบบนี้ก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนด้านหนึ่งก็คอยใส่ใจระวังเวลา อีกด้านหนึ่งก็มองดูซางเจี้ยนเย่าที่กำลังทำเรื่องวุ่นวาย
ซางเจี้ยนเย่ายกสองมือขึ้นเล็กน้อย เอนร่างท่อนบนมองไปในอากาศ
“สรรพสิ่งล้วนเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะแย้งเขาไปสองสามประโยค แต่เวลาไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้เพียงแค่พาพวกเขาออกจากสถานที่ที่ชื่อว่า ‘วิหารยมราช’ แห่งนั้น
* * * * *
ภายในห้องพักที่มีแสงสลัวสีเขียวเหลือง ณ ย่านที่พักแรม
สมาชิกทั้งหมดของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ มานั่งล้อมรอบโต๊ะวางถ้วยชาที่ทำหน้าที่เป็นโต๊ะอาหาร มองดูมุกราตรีสีเขียวเหลือง
“ต้องลองทดสอบดูว่ามันทำให้เกิดผลอะไรได้บ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
สายตาเธอมุ่งไปที่เกอนาวา
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จพวกเขาก็ศึกษากระดาษแผ่นนั้นไปแล้ว ไม่พบว่ามีอะไรเป็นพิเศษ
เกอนาวาเอื้อมมือโลหะสีดำเงินไปหยิบมุกราตรีขนาดลูกตาปลาขึ้นมาพลิกดูสองสามรอบ
“จะให้ทำยังไงเหรอ”
ตอนที่เขาหยิบมุกราตรีขึ้นมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็สัมผัสสัญญาณไฟฟ้าเลือนลางนั่นได้อีกครั้ง แต่นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก
“ลองส่งพลังวิญญาณเข้าไป…” เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ทันพูดจบก็หุบปากลงเสียก่อน
ต่อให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็เห็นได้ชัดว่าหุ่นสมองกลมีอะไรแบบนั้นที่ไหนกัน ขนาดมนุษย์เองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีหรือเปล่า!
เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าลองใช้กระแสไฟฟ้าดูจะได้ไหมนะ”
คิดแล้วก็ลงมือทำ เธอจึงพูดกับเกอนาวาทันที
“คุณถือเอาไว้ ฉันจะลองดู”
หลงเยว่หงหดตัวโดยไม่รู้ตัวทันที พยายามจะกระถดขยับตัวถอยห่าง
ทว่าเมื่อเห็นว่าไป๋เฉินกับซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ขยับเขยื้อนก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นทำตัวขี้ขลาดเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงพยายามข่มใจให้กลับมานั่งในท่าเดิม
เจี่ยงไป๋เหมียนจ้องมองมุกราตรีสีเขียวเหลืองในมือเกอนาวา จากนั้นยกมือซ้ายขึ้นมากดลงไป
กระแสไฟฟ้าสีเงินพุ่งออกมา พุ่งข้ามผ่านระยะทางสั้นๆ ชำแรกเข้าสู่เป้าหมาย
แสงสีเขียวเหลืองที่เปล่งออกมาจากมุกราตรีสั่นกระเพื่อมอย่างชัดเจน สัญญาณไฟฟ้าอ่อนๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง มีลักษณะปั่นป่วนยุ่งเหยิง
แต่ทุกอย่างก็กลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ได้ผลสินะ…” ไม่ทราบว่าหลงเยว่หงพูดเพราะโล่งอกหรือผิดหวังกันแน่
เขาไม่รู้สึกว่าตนเองได้รับผลจากพลังใดๆ ทั้งสิ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น ครุ่นคิดถึงแผนใหม่
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากขึ้น
“ให้ผมลองดูหน่อย”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วอึดใจ
“งั้นก็ระวังหน่อย อ้อ สวมถุงมือยางก่อน”
จากนั้นเธอก็พูดกับเกอนาวาต่อทันที
“คุณช่วยดูเขาด้วยนะ ถ้าหากมีอะไรผิดปกติก็รีบทำให้เขาแยกออกจากมุกราตรีทันที”
“ไม่ต้องหรอก พวกเราเป็นรักแท้!” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยน้ำเสียงที่คนอื่นฟังไม่ออกว่าเขาพูดเล่นอยู่หรือเปล่า
ว่าแล้วเขาก็หยิบถุงมือยางขึ้นมาสวมในมือซ้ายทันที
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคีบมุกราตรีสีเขียวเหลืองในอุ้งมือเกอนาวา
และเฉกเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เจี่ยงไป๋เหมียนรับรู้ถึงสัญญาณไฟฟ้าอ่อนๆ วูบวาบขึ้นมา
ซางเจี้ยนเย่ามองดูไข่มุกราตรีในมือ ตั้งใจใช้เหตุผลพูดกับมันอย่างจริงจัง
“เธอน่าจะเคยได้ยินคำพูดที่บอกว่า ‘ไข่มุกถูกฝุ่นบัง’ สินะ ในฐานะที่เธอเป็นไข่มุกราตรีที่อยู่ในห้องใต้ดินไม่รู้ตั้งกี่สิบปีมาแล้ว ไม่มีใครมาชื่นชมยินดี อย่าบอกนะว่าไม่รู้สึกเหงาน่ะ
“ตอนนี้เธอมีโอกาสได้เปล่งประกายเฉิดฉายแล้ว…”
เมื่อได้ยินคำพูดจ้อยๆ ของซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หงทั้งรู้สึกขบขันและหวาดกลัวไปในเวลาเดียวกัน
ที่น่าขบขันก็คือเจ้าหมอนี่เหมือนจะคิดว่าตัวเองสามารถสื่อสารกับไข่มุกราตรีได้จริงๆ ส่วนที่น่าหวาดกลัวก็คือนี่เหมือนกับว่าเขาสามารถสื่อสารกับไข่มุกราตรีได้สำเร็จเสียด้วย
ไป๋เฉินซึ่งเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบก็รู้สึกตกตะลึงกับการกระทำของซางเจี้ยนเย่าเช่นกัน มันทำให้เธอหวนนึกถึงคนเร่ร่อนแดนร้างบางคนที่มีปัญหาทางจิตซึ่งเธอได้เคยพบพานมาก่อนหน้านี้
แน่นอนว่าซางเจี้ยนเย่านั้นไม่ได้แตกต่างจากคนพวกนั้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกเสียจากว่าเขามีใบรับรองแพทย์เพิ่มมาด้วย
หลังจากการพูดคุยผ่านไปนานกว่าหนึ่งนาที ซางเจี้ยนเย่าก็อดทอดถอนใจไม่ได้
“มันไม่ยอมพูดน่ะ”
มันพูดไม่ได้ต่างหากย่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะกระแนะกระแหนอยู่ในใจเสร็จ ก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่าเอามุกราตรีสีเขียวเหลืองมาวางไว้บนที่มือขวา
มือข้างนั้นไม่ได้สวมถุงมือยาง
เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปากค้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้หยุดเขา เพียงแค่ส่งสายตาบอกให้เกอนาวาเตรียมพร้อมไว้
เกอนาวาใช้เวลากว่าสองวินาทีถึงจะวิเคราะห์เข้าใจได้ว่าสายตาที่ส่งมานั้นมีความหมายเช่นไร
ซางเจี้ยนเย่าถือมุกราตรีสีเขียวเหลืองด้วยมือข้างขวา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีดำมืดทันที
วินาทีถัดมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ ภายในมุกราตรีได้ มันแผ่กระจายออกมาและเปลี่ยนแปลงกลายเป็นซับซ้อนขึ้นอย่างมากมายราวกับได้รับความนึกคิดบางประการ
หลงเยว่หงลุกพรวดขึ้นมาแล้วรีบวิ่งออกจากห้องทันทีด้วยอาการตัวสั่นเทา เขารีบไปที่ห้องถัดไปแล้วกระโดดผลุงขึ้นเตียง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงนอนตัวสั่นงันงก
“นี่มัน…” ตอนแรกเจี่ยงไป๋เหมียนบังเกิดความงุนงงสับสนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นถึงได้กระจ่างขึ้นมา
มุกราตรีเม็ดนั้นบังเกิดผลแล้ว!
ซางเจี้ยนเย่าก้มศีรษะเล็กน้อยมองดูมุกราตรีที่อยู่ในมือ พูดด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่ามันจะทำให้คนอื่นกลัวได้น่ะ งั้นก็เรียกว่า ‘คนขี้ขลาด’ ก็แล้วกัน
“สามารถส่งผลได้หนึ่งคน แต่ก็สามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในระยะรัศมีได้รับผลกระทบทั้งหมดได้เหมือนกัน เพียงแต่ประสิทธิภาพจะลดลงไปเยอะมาก”
ดวงตาของเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“พลังนี้แข็งแกร่งมาก เหมาะกับปฏิบัติการครั้งนี้มาก”
สิ่งที่ ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ นั้นกลัวที่สุดก็คือการถูกสกัดกั้นไว้กลางคันหรือหาตัวเป้าหมายไม่พบ แต่ถ้ามีมุกราตรีเม็ดนี้ ขอเพียงแค่ได้เป็นฝ่ายลงมือก่อน การป้องกันรายรอบดิมาร์โก้ก็เท่ากับว่าไร้ประโยชน์ทันที แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะได้รับอิทธิพลไปด้วยเหมือนกัน
ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ
“ระยะทางสูงสุดประมาณ 120 เมตร ในตอนนี้สามารถส่งผลไปถึงอีกฝั่งของย่านที่พักและห้างสรรพสินค้าใต้ดินในชุมชนศิลาแดง”
“อืม… นี่ก็ยังเทียบกับผู้แข็งแกร่งระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ของจริงไม่ได้ล่ะเนอะ แต่ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาได้อยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนอนุมานโดยอ้างอิงจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เธอทราบ
แต่แล้วในตอนนี้เธอก็พลันพบปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมา
“แสงของมุกราตรีเหมือนจะหม่นลงไปนิดหน่อยหรือเปล่า”
“ใช่” เกอนาวาเปรียบเทียบชุดข้อมูลทั้งสองแล้วให้คำตอบยืนยัน
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ก็เหมือนกินลูกอมน่ะ ใช้ไปครั้งหนึ่งก็น้อยลงไปหน่อย ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ และถ้าหากว่าให้ระเบิดพลังทั้งหมดออกมาทีเดียวก็จะเกิดผลที่รุนแรงมากขึ้นด้วย”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ หลงเยว่หงที่อยู่ห้องถัดไปก็เริ่มฟื้นกลับมาได้ในที่สุด เขาลุกจากเตียงด้วยความโมโหสุดขีด เดินตรงรี่กลับเข้ามาทางฝั่งนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลวนี่ หลังจากถูกอิทธิพลของวัตถุในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ เข้าไปก็ยังฟื้นตัวกลับมาได้เร็วแบบนี้”
“ไม่ได้เป็นเด็กน้อยที่กลัวจนอั้นไม่อยู่อีกแล้ว” ไป๋เฉินเสริมมาอีกประโยค
เดิมทีเธอจะพูดว่า ‘กลัวจนฉี่ราด’ แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นการกรีดแผลเก่าของหลงเยว่หง ดังนั้นเธอจึงเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทน
จิตใจหลงเยว่หงพลันสงบลงทันที เขานั่งลงแล้วสอบถามถึงพลังพิเศษของมุกราตรี
จนกระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนพูดจบ เขาก็มองดูที่มือขวาของซางเจี้ยนเย่าด้วยความสงสัย
“คนธรรมดาอย่างพวกเราที่ไม่ใช่ผู้ตื่นรู้สามารถใช้งานได้หรือเปล่า”
“ลองดูก็รู้เองแหละ” ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะ
หลงเยว่หงคิดว่าตนเองเพิ่งจะแสดงความขี้ขลาดไปเมื่อครู่ จึงรวบรวมความกล้าพูดขึ้น
“งั้นให้ฉันลองดูหน่อย”
ซางเจี้ยนเย่ายื่นมุกราตรีสีเขียวเหลืองให้เขาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็อยากรู้คำตอบนี้เช่นกัน เธอรีบพูดกับเกอนาวา
“คอยป้องกันเรื่องไม่คาดคิดด้วย”
“ไม่มีปัญหา” ดวงตาสีน้ำเงินของเกอนาวาจับจ้องไปยังหลงเยว่หง
หลงเยว่หงรับไข่มุกราตรีมา พบว่าสัมผัสของมันไม่ได้เย็นเฉียบอย่างที่คิดเอาไว้ ค่อนข้างใกล้เคียงกับอุณหภูมิของมนุษย์
เขาพยายามตั้งสมาธิจดจ่อ แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจกระตุ้นผลของ ‘คนขี้ขลาด’ ออกมาได้
“ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแฮะ…” สุดท้ายเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
แล้วในตอนนี้ ภายในย่านที่พักก็มีลมพัดโชยทำให้เกิดเสียงดังหวีดหวิว
หลงเยว่หงใบหูกระตุก ร่างกายสั่นเทิ้ม รีบโยนมุกราตรีทิ้งแล้ววิ่งไปขดตัวแอบหลังโซฟาทันที ซึ่งก็คือด้านหลังของไป๋เฉินกับเจี่ยงไป๋เหมียนนั่นเอง
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ผ่อนลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ มองมาที่ตนเองเป็นตาเดียว หลงเยว่หงก็หน้าแดงระเรื่อทันที
“ผม… ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตะกี้จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวมาก รู้สึกเหมือนลมมีอะไรผิดปกติ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด
“คนธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ตื่นรู้ ไม่เพียงแต่จะใช้ ‘ฤทธิภัณฑ์’ ไม่ได้แล้ว กลับยังได้รับผลกระทบมานิดหน่อยด้วยสินะ”