รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 33 ที่หมายแรก
ท่ามกลางเสียงท่องบทกวีที่ดังก้องภายในเมืองน้ำล้อม หลงเยว่หงอ้าปากจะพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะความรู้สึกของเขานั้นมันซับซ้อนมากจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทั้งสี่คนไม่มีใครพูดอะไรออกมาราวกับว่ากำลังตั้งใจฟัง จนกระทั่งรถจี๊ปขับพ้นจากประตูเมืองแล่นห่างออกไป
“พวกเขาท่องอะไรกันเหรอ ฉันฟังไม่ค่อยชัดน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองกระจกหลังพูดด้วยน้ำเสียงที่ขัดใจเล็กน้อย
“แสงจันทร์สาดส่องสู่หน้าเตียง” ซางเจี้ยนเย่าท่องบทกวี ‘คำนึงในคืนสงัด’ ซ้ำตั้งแต่เริ่มต้น
“อย่างนั้นนั่นเอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เธอตั้งใจขับรถอย่างจริงจัง ขับเคลื่อนรถจี๊ปแล่นไปอย่างเงียบๆ ตามเส้นทางสลับซับซ้อนยากแยกแยะของพื้นที่ในบึงน้ำ
จนกระทั่งออกมาจากบริเวณบึงน้ำแล้ว ไป๋เฉินจึงค่อยมองไปด้านหน้าแล้วพูดพึมพำกับตนเอง
“หนึ่งในเหตุผลที่ฉันอยากเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของบริษัทก็เพราะจะได้ยืมหนังสือได้หลายๆ เล่ม”
“อย่างงั้นเองเหรอ…” หลงเยว่หงที่อาศัยอยู่ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาตั้งแต่เด็กทำให้ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรเป็นพิเศษ “แล้วในซากเมืองของโลกเก่าเนี่ย ไม่มีหนังสือหรือห้องสมุดบ้างเลยเหรอ”
สายตาของไป๋เฉินทอดออกไปไกลแสนไกล
“ก็มีแหละ ตอนแรกสุดนี่มีเพียบเลย แต่ตอนนั้นฉันยังไม่เกิด
“ต่อมาพวกกองกำลังใหญ่กับคนอื่นๆ มาขนกันไปจนเกือบหมด ส่วนที่เหลือก็ถูกพวกนักล่าซากอารยะกับพวกคนเร่ร่อนแดนร้างเอาไปทำเชื้อก่อไฟ บ้างก็ถูกหนูหรือสัตว์อื่นแทะขาดจนไม่เหลือสภาพ มีเพียงหนังสือส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และอ่านได้
“ซากเมืองที่ไม่ค่อยมีคนสำรวจมากนักอาจจะยังมีหนังสืออยู่อีกเยอะก็ได้ แต่สถานที่พวกนั้นมันอันตรายเกินไป”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามด้วยความคิดที่กระโดดไปคนละเรื่อง
“เธออ่านหนังสือออกไหม”
“อื้อ พ่อแม่ฉันเคยสอนให้น่ะ และหลังจากพวกเขาตายก็ยังเหลือครูที่ดีมากไว้ให้คนนึงด้วย” สีหน้าของไป๋เฉินค่อยๆ อ่อนโยนลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
ดวงตาเหม่อลอยราวกับว่าเธอเพิ่งตื่นจากความฝันกลางดึก ลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองไป๋เฉิน แล้วก็หันกลับไปดูทางข้างหน้าดังเดิม
เธอพูดพลางยิ้ม
“พวกนายพูดกันดังหน่อยได้ไหม
“นี่เห็นว่าฉันหูไม่ค่อยดีเลยแกล้งนินทาลับหลังกันหรือไง”
หลงเยว่หงใจเต้นวูบ พูดพึมพำเบาๆ
“พวกเราคุยกันต่อหน้าต่างหาก”
“พวกเราคุยกันต่อหน้าต่างหาก” ซางเจี้ยนเย่าแย้ง ‘คำกล่าวหา’ ของเจี่ยงไป๋เหมียนขึ้นมาในเวลาเดียวกับที่หลงเยว่หงพูดพึมพำ
หลงเยว่หงแอบดีใจเล็กน้อย “ฮ่าฮ่า ไงล่ะ คิดแล้วเชียวว่านายต้องพูดแบบนี้! ฉันรู้จักนายดีใช่ไหม”
“แล้วนายรู้ได้ไงว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะฉันตั้งใจให้นายคิดตามได้ทันน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อย
“ไม่เลวนี่ ออกมาฝึกภาคสนามก็ต้องใส่ใจกับบรรยากาศของทีมด้วย ต้องมีทั้งจริงจังมีทั้งผ่อนคลายไปด้วยกัน ไม่งั้นถ้าปล่อยให้ตึงเครียดเกินไป เดี๋ยวไม่นานสภาพจิตใจก็จะทนไม่ไหว” เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินอย่างไม่เป็นทางการออกมาประโยคหนึ่ง
“เอาละ เลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว มาคุยกันเรื่องประสบการณ์ของเจ้าเมืองเถียนกันเถอะ จากเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟัง ดูว่าพวกเราจะสรุปข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง อ้อ หลักๆ คือเรื่องเกี่ยวกับการทำลายล้างโลกเก่าน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าเหมือนจะคิดเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เขาพูดขึ้นทันที
“พวก ‘คนไร้ใจ’ โดยมากจะปรากฏขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ส่วนในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ นี่แทบไม่มีเลย”
“ที่พวกหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ ถูกทำลายเนี่ย เหมือนจะเป็นเพราะสงครามและภัยพิบัติทางธรณีวิทยามากกว่า” ไป๋เฉินเสริม
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย
“สาเหตุจากสงครามกับภัยพิบัติทางธรณีวิทยาน่าจะพอๆ กัน
“เป็นไปได้ว่าอาจมีอาวุธทางธรณีวิทยาปรากฏขึ้นก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลง แต่แน่นอนว่าต้องรอให้ยืนยันเรื่องนี้ได้ซะก่อน เราต้องไปสำรวจซากเมืองเพิ่มเติมเพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง”
พอได้ยินเช่นนี้ หลงเยว่หงก็คิดแล้วถามขึ้น
“การปรากฏตัวของ ‘คนไร้ใจ’ กับสงครามที่เกิดขึ้น มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่านะ
“การปรากฏตัวของพวกมันทำให้เกิดสงคราม หรือว่าเป็นเพราะสงครามเลยทำให้พวกมันเกิดขึ้นมากันแน่”
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้หรอก พวกเราไม่มีข้อมูลกับข่าวสารความรู้มากพอ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเจือรอยยิ้ม “นี่แหละคือหน้าที่หลักของทีมสำรวจเก่าอย่างพวกเรา”
เธอมองไปตามถนนหนทาง ควบคุมพวงมาลัยแล้วถามคำถามต่อ ชี้นำให้สมาชิกในทีมได้ครุ่นคิด
“พวกนายคิดว่าเพราะอะไร ‘คนไร้ใจ’ ส่วนใหญ่ถึงปรากฏขึ้นในเมืองใหญ่มากกว่า แต่แทบไม่ปรากฏในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ เลย”
“เป็นเพราะว่าจำนวนประชากรในเมืองใหญ่หนาแน่นกว่าหรือเปล่า ก็เลยเป็นเงื่อนไขสำคัญของการแพร่ระบาด” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยใช้นิยามของคำว่าเมืองใหญ่จากในตำราเรียน
ไป๋เฉินตอบโดยมองจากมุมอื่น
“เมืองใหญ่มีความสำคัญกว่าก็เลยตกเป็นเป้าหมายหลัก”
“ก็เป็นไปได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสี่คนพูดคุยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามนี้อยู่ครู่ใหญ่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถสรุปได้แต่ก็ช่วยเปิดโลก ทำให้มีแนวคิดที่ชัดเจนขึ้นสำหรับการสำรวจและรวบรวมข้อมูลในอนาคต
ในระหว่างที่รถจี๊ปแล่นด้วยความเร็วที่ไม่เร็วหรือช้าเกินไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตั้งคำถามขึ้นมาอีก
“พวกนายคิดยังไงกับผู้ชายคนที่พวกนักล่าซากอารยะกำลังหาตัวอยู่
“หมายถึงคนที่ผมดำตาสีทองที่ชาวเมืองน้ำล้อมเจอน่ะ”
หลงเยว่หงสูดปาก
“นี่มันแปลกมาก ไม่เพียงแต่ที่มาที่ไปลึกลับ แต่ตัวเขาก็ยังแปลกอีกด้วย
“ตามปกติแล้วเพียงแค่เจอกันครั้งแรก ไม่มีทางที่จะมีใครจะได้รับความชื่นชมจากคนทั้งกลุ่มหรอก แถมยังมีทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิงอีกด้วย!”
“จะว่าไปแล้วฉันก็สงสัยนิดหน่อย สงสัยว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง มีเสน่ห์มากขนาดไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ที่นายพูดมาก็ถูก นี่มันแปลกมากจริงๆ คนที่สามารถสร้างปรากฏการณ์แปลกๆ ได้ ที่ฉันนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือพวกผู้ตื่นรู้นั่นแหละ”
“ทำไมเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามโพล่งขึ้นมา
ไป๋เฉินไม่ได้แสดงอาการสงสัยเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้ แสดงว่าเธอรู้ว่ามีคนแบบนี้อยู่แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงเล็กน้อย
“ผู้ตื่นรู้นั้นนอกจากจะมีความสามารถประหลาดพิสดารและน่ากลัวแล้ว ยังอาจมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปด้วย ฮื่อ พฤติกรรมจำพวกนี้บางทีก็เป็นพลังพิเศษของพวกเขานั่นแหละ แต่มีความเป็นไปได้ไม่สูงมากนัก”
“ผู้ตื่นรู้แบบนั้นปรากฏตัวขึ้นที่แดนร้างบึงดำ… นั่นต้องไม่ใช่เพื่อการดิ้นรนเอาชีวิตรอดแน่นอน” ไป๋เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างจ้องไปยังส่วนลึกของบึงน้ำ “เขาอาจกำลังตามหาอะไรอยู่… ที่ส่วนลึกของบึงอาจมีความลับสำคัญซ่อนอยู่ก็ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า
“ก็จริง เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว เส้นทางของเราไม่ได้ผ่านทางเหนือของสถานีเยว่หลู่สักหน่อย แล้วมันก็อันตรายเกินไปที่จะพามือใหม่อย่างพวกนายสองคนไปที่ที่ผิดปกติชัดเจนขนาดนั้น แค่หาโอกาสรายงานให้บริษัทรู้ก็พอแล้วล่ะ
“หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ทั้งสองคนนอนพักไปก่อนก็ได้
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ไป๋เฉินอย่าเพิ่งรีบหลับ บอกฉันก่อนว่าจะไปทางไหนต่อ…”
“…” ไป๋เฉินมองเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่านี่ยังใช่หัวหน้าที่พึ่งพาได้จนเกินขนาดคนนั้นหรือเปล่า
แล้วรถจี๊ปก็แล่นผ่านแดนร้างบึงดำออกมาในลักษณะเช่นนี้ พอใกล้เที่ยงก็หยุดอยู่ตรงปากทางแยกบนถนนคอนกรีตที่มีวัชพืชปกคลุมรก
“นี่คือที่หมายแรกของการฝึกภาคสนามครั้งนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนเปิดประตูเดินลงมา เธอชี้ไปทางด้านซ้ายของรถจี๊ปแล้วพูดขึ้น
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงลงจากรถแล้วมองไปตามทิศที่หัวหน้าทีมของพวกเขาชี้ไป
ตรงนั้นเป็นทางแยกที่ลาดลงไป พื้นคอนกรีตแตกออกเนื่องจากกอวัชพืช แทบจะไม่มีส่วนที่มีสภาพสมบูรณ์เลย
ด้านซ้ายมือของถนนเส้นนี้เดิมทีน่าจะเป็นทุ่งนาแต่ถูกบึงน้ำกลืนไปเกือบหมดแล้ว ส่วนที่ยังเหลือก็มีพืชหลากหลายชนิดงอกโตขึ้นมา ด้านขวาเป็นอาคารสามหลังตั้งล้อมรอบลานจัตุรัสกลางแจ้งเอาไว้ อาคารหลังหนึ่งพังถล่มลงมาแล้ว ส่วนอีกสองหลังนั้นถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยและพืชอื่นๆ
สุดถนนมีลานขนาดใหญ่ ทั้งสองข้างของลานกว้างนั้นเป็นตึกสูงกว่าสี่ชั้น ห้าชั้น และหกชั้น แต่ก็ยังมีอาคารชั้นเดียวที่สูงและใหญ่มากอยู่ด้วย
บางส่วนของอาคารเหล่านั้นพังถล่มลงมาแล้วเช่นกัน ส่วนที่เหลือก็ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวจนยากจะแยกแยะแต่ละหลังออกจากกัน
ที่ปลายสุดของลานกว้างมีประตูโลหะสีดำแบบบานคู่ที่กว้างจนให้รถจี๊ปสี่คันวิ่งตีคู่กันได้ ประตูเปิดออกจนสุดเผยให้เห็นอาคารเรียงกันเป็นแถวๆ ซึ่งเป็นอาคารที่ดูแล้วไม่เหมือนบ้านที่ใช้สำหรับพักอาศัย
ด้านหลังในบริเวณที่ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ของอาคารเหล่านี้ มี ‘ปล่องไฟ’ สีแดงหรือไม่ก็สีเทาแก่หลายปล่องสูงชันทะลุฟ้า ดูสง่างามอย่างยิ่ง
ผนังด้านนอกมีบันไดเหล็กสีดำแบบง่ายๆ ฝังติดอยู่ ยิ่งขึ้นไปสูงเพียงใดก็ยิ่งมีพืชสีเขียวในรอยแตกเบาบางลงเท่านั้น
หลังจากซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงสังเกตพิจารณาอยู่ชั่วครู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็อธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงหยุดที่นี่
“ในอนาคตทีมเราจะต้องเข้าไปสำรวจซากเมืองของโลกเก่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะซากปรักที่มีคนเข้าไปน้อย หรือซากปรักยังไม่ถูกค้นพบ ซึ่งสถานที่พวกนั้นค่อนข้างอันตรายพอสมควร
“ดังนั้นพวกนายจึงต้องปรับตัวให้คุ้นเคยและสั่งสมประสบการณ์เอาไว้ก่อน”
“แต่นี่ดูไม่ค่อยจะเหมือนเมืองซักเท่าไหร่นะ” หลงเยว่หงอดท้วงขึ้นไม่ได้
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“เราต้องเริ่มต้นด้วยความยากระดับต่ำสุดก่อนสิ
“ที่นี่เคยเป็นโรงงานเหล็กมาก่อน และภายในโรงงานก็มีโครงสร้างทางสังคมที่สมบูรณ์ เทียบได้กับเมืองเล็กๆ เลยล่ะ พวกนายดูสิ ตึกริมถนนนั่นมีทั้งโรงพยาบาลทั้งสถานีวิทยุ
“อ้อ ที่นี่มีพวกนักล่าซากอารยะแวะเข้ามาหลายครั้งแล้ว พวกข้าวของมีค่าโดยทั่วไปก็ถูกโกยไปหมดเกลี้ยงแล้วล่ะ
“วันนี้พวกนายมีภารกิจหลักสองเรื่อง
“อย่างแรกคือหาอาหารในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะเป็นของที่ยังไม่มีใครเจอ หรือจะไปล่าสัตว์ป่าที่โผล่ออกมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ก็ได้ทั้งนั้น
“อย่างที่สองคือวาดแผนที่ฉบับสมบูรณ์ของที่นี่ รวมทั้งเขียนกำกับสถานที่สำคัญทั้งหมดเอาไว้ด้วย
“เป็นไง… งานง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้ตอบ นั่นเป็นเพราะว่าจากประสบการณ์อ่อนด้อยที่ตนมีอยู่ พวกเขาจึงไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องง่ายหรือยากกันแน่
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปทางโรงงานเหล็กอีกครั้ง
“พวกนักล่าซากอารยะมาที่นี่กันบ่อย ถ้าหากพวกนายเจอเข้าก็ต้องเรียนรู้ว่าจะรับมือยังไง จะมีปฏิสัมพันธ์ยังไง จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและพวกข้าวของอื่นๆ ได้ยังไง”
“หัวหน้าเพิ่งบอกไปไม่ใช่เหรอว่าไม่มีข้าวของมีค่าทั่วไปเหลือแล้ว งั้นพวกนักล่าจะมาทำไมกันอีก” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“มีสุภาษิตบอกไว้ไม่ใช่หรือไง เรือพังยังมีตะปูสามจิน[1] นับประสาอะไรกับโรงงานเหล็กที่ใหญ่ขนาดนี้
“ถ้าหาอะไรจากที่อื่นไม่ได้ก็ลองมาหาที่นี่ดู ไม่แน่ว่าอาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างก็ได้
“ก่อนหน้านี้ก็มีนักล่ามาขุดดินแล้วขนเอาท่อประปาของระบบท่อหลักกลับไปแลกเป็นอาหารด้วย”
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าว่าไม่มีอะไรสงสัยแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปรอบๆ แล้วพูด
“งั้นก็เริ่มได้เลย
“ไป๋เฉินกับฉันจะเฝ้ารถรออยู่ที่นี่ ถ้าพวกนายเจอปัญหาที่จัดการไม่ได้ก็ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา ถ้าต้องการคำแนะนำอะไรก็กลับมาในรัศมีสองกิโลจากที่นี่แล้วใช้วิทยุสื่อสารติดต่อมาหา”
* * * * *
[1] เรือพังยังมีตะปูสามจิน (烂船还有三斤钉) เป็นสำนวนจีนเปรียบเทียบว่าแม้แต่เรือที่พังแล้วก็ยังมีตะปูให้เก็บ หมายถึง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนไร้ค่าแต่ก็อาจจะมีอะไรที่มีประโยชน์หรือข้อดีแฝงอยู่บ้าง