รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 34 “กระเบื้องหลังคา” ยังไม่มีเหลือ
- Home
- รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)
- ตอนที่ 34 “กระเบื้องหลังคา” ยังไม่มีเหลือ
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเย่วหงมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินกลับไปที่รถแล้วขับไปซ่อนในจุดที่ไม่ไกลนัก จากนั้นพวกเขาก็ตรวจสอบปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ กับ ‘ยูไนเต็ด 202’ ที่เข็มขัดตนเอง กับปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ที่สะพายไว้บนร่าง
หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วก็สลับกันนั่งยองผูกเชือกรองเท้าบูททหารอีกครั้งให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างก็สะพายปืนไรเฟิลจู่โจมเดินอย่างไม่เร็วไม่ช้าไปตามถนนคอนกรีตที่มีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ มุ่งหน้าไปยังลานจัตุรัส
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว แต่ก็ยังคงมียุงมากมายในกอวัชพืชรกชัฏ พวกมันส่งเสียงหึ่งๆ บินวนรอบซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
หลงเยว่หงทนได้แค่ครู่เดียว สุดท้ายก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้
“จะไล่ยุงนี่ต้องผลัดกันไล่ทีละคนด้วยไหม”
เขารู้สึกว่ายังไงก็ควรมีคนคอยสลับกันเฝ้าระวังไว้ตลอดเวลา
“ให้ช่วยตบไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามเมื่อมองเห็นยุงสีดำตอมอยู่บนใบหน้าของหลงเยว่หง
หลงเยว่หงถามอย่างระแวง
“นายอยากจะตบหน้าฉันหรือไง”
“คิดว่าฉันนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
ว่าแล้วเขาก็หยิบขวดพลาสติกใบเล็กขนาดนิ้วมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดฝาแล้วฉีดใส่ตัวเองสองสามครั้ง
“ลืมแล้วเหรอว่าบริษัทของเราชื่อ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ น่ะ
“ยากันยุงนี่ ประสิทธิภาพไม่เลวนะ”
หลงเยว่หงตาโต ถามขึ้นมา
“นะ… นายเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเก็บอยู่ในรถไม่ใช่เหรอ”
ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแทบจะไม่มียุงเลย ช่วงสองสามวันที่หลงเยว่หงออกมาสู่พื้นโลกเขาก็ไม่เจอปัญหาเรื่องยุง จึงลืมเสียสนิทว่ามีของจำพวกยากันยุงด้วย
“เอามาตั้งแต่ตอนเข้าเวรเฝ้ายามกลางคืนน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงเรียบ
“ละ… แล้วไหงเมื่อคืนฉันถึงไม่เจอยุงซักตัว” หลงเยว่หงรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา
“ลองใช้สมองคิดดูดีๆ แล้วนายก็จะรู้คำตอบเอง”
เมื่อเห็นหลงเยว่หงยังคงนิ่งงงอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็เลยเฉลยออกมา
“ช่วงสองวันมานี้ตอนที่หัวหน้ากับฉันอยู่เวรกลางคืน เธอก็ฉีดยากันยุงไปรอบๆ
“แล้วก็ตอนที่เริ่มก่อกองไฟเมื่อกี้เธอก็ฉีดด้วย นายไม่เห็นบ้างหรือไง”
“…” หลงเยว่หงไม่คิดว่าคำตอบจะง่ายดายเพียงนี้
เพื่อไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะเยาะ เขารีบชี้ไปทางขวาแล้วพูดขึ้นทันที
“ไปดูตึกพวกนั้นกันก่อนละกัน หัวหน้าบอกว่าเป็นโรงพยาบาลกับสถานีวิทยุ”
เขาหมายถึงอาคารสามหลังที่อยู่รอบลานโล่งกลางแจ้งทางฝั่งขวาของถนน ซึ่งหนึ่งในนั้นพังถล่มไปแล้ว
“ได้” ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะเก็บขวดยากันยุงลงกระเป๋า
“เฮ้ย แล้วฉันล่ะ” หลงเยว่หงอ้าปากค้าง ทั้งตกใจ ทั้งตะลึงงัน ทั้งงุนงง
ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะแบบไร้เสียงออกมาสองคำ
“ก็ไม่เห็นนายบอกว่าจะฉีด ฉันจะไปรู้ได้ไงถ้านายไม่พูด…”
“พอ… พอเลย! ไม่ต้องมาพูดเลียนแบบในรายการวิทยุเลย” หลงเยว่หงรีบขัดซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แกล้งเขาต่อ รีบคลายเกลียวฝาขวดแล้วฉีดยากันยุงใส่หลงเยว่หง อย่างไรเสียที่นี่ก็คือแดนร้าง ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในซากโรงงานเหล็ก ล้อเล่นกันแค่พอหอมปากหอมคอก็พอ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เสียสมาธิและจิตใจคลายความระมัดระวังต่อสิ่งรอบข้างไป
หลังจากจัดการเรื่องยุงแล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เจี่ยงไป๋เหมียนเรียกว่าโรงพยาบาลกับสถานีวิทยุ สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาพวกเขาก็คือเสาที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่สองต้น
“นี่มัน… ประตูโดนฉกไปแล้ว” หลงเยว่หงรู้สึกอยากกุมขมับขึ้นมาทันที
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อื้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“นี่เรียกว่าอัตวิสัยของมนุษย์
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าปูนแตกอิฐหักเอาไปแลกอะไรไม่ได้แล้วละก็ เสาสองต้นนี้ก็คงหายไปนานแล้วล่ะ”
หลงเยว่หงถอนหายใจ “เฮ้อ เฮ้อ” มาสองคำแล้วเดินผ่านช่องระหว่างเสา
พอผ่านเข้ามาแล้วพวกเขาถึงเพิ่งจะเห็นว่าด้านหน้าของอาคารริมถนนนั้นมีบ้านชั้นเดียวแถวหนึ่งอยู่ชิดกำแพง เพียงแค่เลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว
ถ้าตรงไปก็จะเป็นทางลาดไปยังบ่อน้ำ สวนไม้ดอก และลานจอดรถเล็กๆ
ผ่านลานนี้ไปก็เหมือนว่าจะสามารถใช้ถนนทางด้านข้างเพื่อขึ้นไปชั้นสองได้เลย
หลงเยว่หงส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่า แล้วเดินนำไปยังทางเดินที่อยู่ระหว่างอาคารกับแถวของบ้านชั้นเดียว
มีคูระบายน้ำขนาดไม่กว้างนัก ด้านในมีตะไคร่กับวัชพืชขึ้นรกเต็มไปหมด
หลงเยว่หงหันซ้ายแลขวา มองเห็นว่าประตูแต่ละบานที่ชั้นล่างของอาคารทางฝั่งนี้ถูกเปิดคาไว้ พื้นที่ด้านในมีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง สองห้องที่อยู่ติดกับทางลาดนั้นเชื่อมเข้าด้วยกัน หน้าต่างที่เปิดออกข้างนอกถูกเปิดอ้าออกจนสุด ไม่มีปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย
บ้านชั้นเดียวที่เรียงเป็นแถวนั้นถูกกั้นเป็นห้องเล็กๆ อย่างเป็นระเบียบ แต่ละห้องมีขนาดใกล้เคียงกัน สิ่งที่มองเห็นในครรลองสายตาของคนทั้งคู่ก็มีโต๊ะที่ลิ้นชักถูกดึงเปิดออกมากับม้านั่งสูงที่ล้มตะแคงอยู่ที่พื้น
หลงเยว่หงรวมคำว่า ‘โรงพยาบาล’ กับ ‘สถานีวิทยุ’ เข้าด้วยกันเพื่อพยายามจำแนกว่าพื้นที่ส่วนไหนเป็นอะไร แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
“ที่นี่มันคือที่ไหนล่ะเนี่ย” เขาถามขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าซางเจี้ยนเย่าจะรู้คำตอบ
ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมา ลดข้อศอกขวาลง แล้วยกปากกระบอกปืนไรเฟิล ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นเล็กน้อยเพื่อชี้
“แผนกผู้ป่วยนอก”
เขาพูดด้วยเสียงต่ำ น้ำเสียงหนักแน่น
“หือ” หลงเยว่หงแปลกใจและสงสัย
ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามว่ารู้ได้ยังไง เขาก็พลันนึกขึ้นมาได้
ในแต่ละชั้นของ ‘เขตพักอาศัย’ ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นมีคลินิกเล็กๆ สำหรับรักษาอาการป่วยทั่วไปอย่างเช่นปวดหัวหรือเป็นไข้ ด้านในคลินิกจะแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน พื้นที่ส่วนภายนอกด้านหนึ่งเป็นห้องจ่ายยา อีกด้านหนึ่งเป็นห้องพบแพทย์ พื้นที่ส่วนภายในจะมีห้องให้น้ำเกลือและห้องฉีดยา
นอกจากนั้น ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ยังมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่อีกสามแห่ง แยกกันอยู่คนละชั้น มีไว้สำหรับรักษาพนักงานที่คลินิกไม่สามารถรักษาได้
หลงเยว่หงนั้นสุขภาพแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่และผู้สูงอายุที่บ้านก็ไม่เคยป่วยหนัก ดังนั้นเขาจึงเคยไปแค่เพียงคลินิกแถวบ้านกับคลินิกของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่เคยไปโรงพยาบาลมาก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับแผนกผู้ป่วยนอกเลยแม้แต่น้อย
แม่ของซางเจี้ยนเย่าเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย เธอจึงต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานก่อนจะสิ้นลม ในเวลานั้นทุกๆ วันซางเจี้ยนเย่าจะต้องไปกลับระหว่างโรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านตนเอง
พอนึกถึงสาเหตุที่มาที่ไปได้ หลงเยว่หงก็ปิดปากสนิท
ซางเจี้ยนเย่าใช้ปากบุ้ยไปทางขวาที่อาคารชั้นเดียว
“ด้านนี้น่าจะเป็นแผนกผู้ป่วยนอก ห้องฉีดยา แล้วก็ห้องให้น้ำเกลือ แต่ละห้องมีมากกว่าหนึ่งห้อง”
แล้วเขาก็หันหน้าไปทางอาคาร
“สองห้องที่ติดกับด้านนอกน่าจะเป็นห้องจ่ายยา ที่จริงตรงหน้าต่างควรจะมีตะแกรงเหล็กและช่องว่างสำหรับยื่นยาส่งออกมา แต่โดนฉกไปหมดแล้ว ส่วนห้องที่เหลือน่าจะเป็นห้องเครื่อง ห้องการเงิน ห้องปฏิบัติการ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน”
“อืม อืม” หลงเยว่หงไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองถือปืนไรเฟิลเดินสำรวจทีละห้อง แต่ก็ไม่เจออะไรที่มีประโยชน์ แม้แต่โต๊ะเก้าอี้ก็กระจัดกระจายหลุดเป็นชิ้นๆ ไม่มีที่สภาพสมบูรณ์อยู่เลย เห็นได้ชัดว่าถูกนำไปใช้ก่อไฟอย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงห้องสุดท้ายของแถวอาคารชั้นเดียว พอหลงเยว่หงเตะประตูไม้ที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งให้เปิดออกก็พลันมองเห็นหัวกะโหลกสีขาว เขาจ้องมองช่องกลวงโบ๋สีดำที่เบ้าตาทั้งสองช่องอยู่หนึ่งวินาทีเต็ม
แล้วก็สะดุ้งโหยง ยกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาเตรียมยิง
ซางเจี้ยนเย่ามองดูรอบๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ
“ตายมานานแล้วล่ะ”
หลงเยว่หงผ่อนคลายลงเล็กน้อย สังเกตสถานการณ์ในห้องอย่างระแวดระวัง
โต๊ะไม้ล้มลงกองอยู่ที่พื้น กระดาษสีเหลืองขาดๆ สองสามแผ่นหล่นอยู่ โครงกระดูกสีขาวเอนพิงโต๊ะ ไม่มีเลือดเนื้อหลงเหลืออยู่ เสื้อผ้าก็ไม่มีเช่นกัน ชิ้นส่วนกระดูกก็ได้หายไปหลายชิ้น
“พวกนักล่าที่มาก่อนหน้านี้ลอกคราบศพซะเกลี้ยง แม้กระทั่งกางเกงใน… แถวนี้มีสัตว์ป่าผ่านเข้ามาไม่น้อย…” ถึงอย่างไรหลงเยว่หงก็ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาแล้ว ดังนั้นจึงสามารถประเมินหลายๆ อย่างได้จากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่
เพิ่งจะพูดขาดคำก็มีเงาดำโผล่ออกมาจากมุมห้อง วิ่งไปข้างผนังห้องแล้วมุดเข้าไปในรูที่ไม่สะดุดตา
“…หนู” หลงเยว่หงเกือบส่งลูกตะกั่วให้มันแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“กินได้หรือเปล่านะ”
“…ในทางทฤษฎีก็ได้อยู่แหละ แต่เชื้อโรคเพียบ ทั้งไวรัสเอย แบคทีเรียเอย กินแล้วอาจต้องพาส่งโรงพยาบาลน่ะสิ” หลงเยว่หงพยายามอธิบายอย่างละเอียด กลัวว่าเพื่อนสนิทจะเกิดความคิดพิลึกพิลั่นขึ้นมา “นี่ถ้าหัวหน้าอยู่นี่ด้วยก็คงจะพูดว่า ‘ถ้ายังไม่ถึงกับหาอะไรกินไม่ได้จริงๆ ก็อย่าไปกินของพวกนี้เลย’”
ซางเจี้ยนเย่าถอนใจราวกับกำลังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
“นายคอยดูรอบๆ ไว้นะ” เขาก้าวออกไปแล้วนั่งยองลงข้างกระดาษสีเหลืองสองสามแผ่นที่ถูกฉีกออก ร่วงอยู่บนพื้น
น่าเสียดาย ไม่มีอะไรเขียนไว้
แต่ซางเจี้ยนเย่าก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทั้งลักษณะและขนาดของกระดาษนั้นเป็นแบบเดียวกัน แสดงว่าถูกฉีกออกมาจากสมุดเล่มเดียวกัน
“ถ้ามีข้อมูลสำคัญอะไรเขียนอยู่ก็คงจะมีคนเอาไปนานแล้วแหละ” หลงเยว่หงพูดสิ่งที่คิด
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แย้งอะไร
“เก็บไปก่อนละกัน แล้วไว้ให้หัวหน้าไปตรวจดูอีกที”
พูดเสร็จเขาก็หยิบถุงกับแหนบพลาสติกออกมา แล้วคีบแผ่นกระดาษมาใส่ไว้ในถุง
ทั้งคู่ค้นหาด้านข้างอาคารอีกครั้งแต่ก็ยังคงไม่พบอะไร
หลังจากย้อนกลับมาที่ทางลาด ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็เดินมาที่ลานเล็กๆ พวกเขาเห็นตึกฝั่งตรงข้ามพังลงมา อาคารสี่ชั้นด้านขวาถูกปกคลุมด้วยพืชสีเขียว
เหนือบานประตูชั้นล่างมีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่สามตัว ตัวหนังสือนั้นซีดจนด่าง ส่วนที่เป็นสีเขียวออกเลอะเลือน
“แผนก-ผู้ป่วย-ใน”
“เป็นโรงพยาบาลจริงๆ ด้วย” หลงเยว่หงหันไปมองอาคารข้างทางลาด “ตรงนี้เป็นโรงพยาบาล งั้น ที่น่าจะเป็นสถานีวิทยุก็คงเป็นตึกที่ถล่มหลังนี้สินะ”
อิฐด้านบนของอาคารที่พังลงมาถูกขนไปหมดแล้ว แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความอดทนเป็นอย่างยิ่งของพวกนักล่าซากอารยะ
“เข้าไปดูกันเถอะ” ซางเจี้ยนเย่าเดินนำเข้าไปที่แผนกผู้ป่วยใน
ที่นี่มีเศษกระจกแตกกับมูลสัตว์เต็มไปหมด แต่สภาพยังนับได้ว่าค่อนข้างดี เพียงแต่ว่าในแต่ละห้องไม่เห็นเตียงผู้ป่วยเลยสักเตียง
“ไม่จริงน่า เตียงผู้ป่วยนี่มันโคตรจะหนักเลยนะ…” หลงเยว่หงค่อนข้างแปลกใจ
“ลากไปก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าตอบง่ายๆ “หรือไม่ก็พกเครื่องมือตัดมาด้วย”
“ขนไปซะเกลี้ยง ไม่เหลืออะไรเลย… นี่ก็คือนักล่าซากอารยะงั้นสินะ” หลงเยว่หงถอนใจแล้วเดินตามซางเจี้ยนเย่าขึ้นบันไดไปชั้นสอง ชั้นสาม และชั้นสี่
การเดินอยู่ที่แผนกผู้ป่วยในทำให้เขาเกิดความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว กลิ่นที่สูดหายใจเข้าไปก็รู้สึกแปลกๆ อธิบายไม่ถูก ไม่ค่อยเหมือนกลิ่นที่หลงเหลือจากการเน่ามานานสักเท่าไหร่
“พอกันหรือยัง ไม่มีอะไรให้ดูแล้วล่ะ” หลงเยว่หงเร่งให้ซางเจี้ยงเย่ากลับออกไป
“อืม” ซางเจี้ยนเย่ามองดูห้องน้ำใกล้บันได หยิบกระดาษปากกาออกมาวางทาบผนัง แล้วก็เริ่มวาดแผนผังโรงพยาบาล
“ออกไปวาดข้างนอกไม่ได้เหรอ” หลงเยว่หงเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ
“จะเสร็จแล้ว อีกนิดเดียว” ปากกาในมือซางเจี้ยนเย่าตวัดอยู่เหนือกระดาษ
ขั้นตอนสุดท้ายเขาก็วาดสัญลักษณ์แปลกๆ เหมือนคนนั่งยองตรงบริเวณแผนกผู้ป่วยใน
“สัญลักษณ์อะไรเนี่ย” หลงเยว่หงถามด้วยความอยากรู้
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบ เขาวาดสัญลักษณ์ที่เหมือนกันเพิ่มลงไปข้างๆ แล้วขีดเส้นแนวนอนก่อนจะเขียนกำกับไว้ว่า
“มีส้วม”
“…” หลงเยว่หงไม่อยากยุ่งกับซางเจี้ยนเย่าอีก
หลังจากวาดแผนที่ของบริเวณนี้เสร็จ ทั้งคู่ก็ออกจากแผนกผู้ป่วยในเดินลงไปตามทางลาด
พอมาถึงทางหลัก ก่อนที่จะเริ่มมองหาเป้าหมายใหม่ก็พลันเห็นเงาร่างสองร่างออกมาจากส่วนลึกของโรงงานเหล็ก แต่ละคนขี่จักรยานและสะพายปืนไรเฟิลไว้ด้วย