รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 42 “หลอกลวง”
การที่จิ้งฝ่าตอบสนองเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นจะไม่ถึงกับไม่ได้คิดเผื่อไว้ แต่พวกเขาไม่คิดว่าจิ้งฝ่าจะมองเจตนาของพวกเขาออกได้ตั้งแต่แรกเลยต่างหาก การใช้กลยุทธเกราะกระดูกเสริมแรงมาวิ่งเล่นซ่อนแอบกันแบบนี้ พวกเขามั่นใจว่าต้องวิ่งไล่เอาเถิดเอาล่อกันสักสองสามรอบก่อนที่จิ้งฝ่าจะเริ่มรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่กลายเป็นว่าหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่ากลับทำให้พวกเขาประหลาดใจ สามารถมองทะลุเจตนาแฝงของพวกเขาได้ในทันที ราวกับว่าพลังประสานใจของเขานั้นไม่จำกัดระยะทาง
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามไป๋เฉินว่าจะทำยังไงกันต่อ เขาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดตามที่คาดการณ์ไว้แล้ว
นั่นก็คือต้องไล่จิ้งฝ่าให้ออกไปจากเส้นทางวงในของรอยล้อรถ ให้ออกไปวงนอกแทน ซางเจี้ยนเย่าหวังว่าจะพอยื้อเวลาให้รถจี๊ปได้นานอีกสักหน่อยเพื่อมุ่งไปยังเส้นทางใช้บ่อยในแดนร้างบึงดำ
รัศมีของเส้นทางวงในนั้นย่อมต้องเล็กกว่าวงนอกแน่นอน ดังนั้นมันจะช่วยชดเชยเรื่องที่ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงมีปฏิกิริยาตอบสนองและความคล่องแคล่วด้อยกว่าหุ่นจักรกลที่มี ‘สมองกล’ ของจริง
ด้วยเหตุเช่นนี้ มนุษย์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะกระดูกเสริมแรงที่เป็นโลหะสีดำกับหลวงจีนจักรกลซึ่งสร้างจากโลหะสีดำ ก็วิ่งไล่กวดกันอย่างบ้าคลั่งในแดนร้าง ในป่า และริมหนองน้ำ ทั้งคู่ต่างก็วิ่งเผ่นโผนโจนทะยานกันโดยไม่คิดจะถนอมออมพลังงานแบตเตอรี่กันเลย
ในระหว่างนี้ซางเจี้ยนเย่าเองก็พยายามยิงระเบิดและอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าไปหลายครั้ง แต่จิ้งฝ่าก็สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ทันทุกครั้ง และทิ้งระยะห่างออกไปโดยไม่คิดที่จะเข้ามาต่อสู้ปะทะกันแม้แต่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าขับเคลื่อนชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอย่างเต็มประสิทธิภาพ มองเห็นแถบพลังงานค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง เขาประเมินระยะห่างระหว่างตัวเขากับรถจี๊ปที่ค่อยๆ หดสั้นลงทีละน้อย แต่ไม่ว่าจะกังวลยังไง ก็ไม่มีทางทำอะไรได้เลย
หากจิ้งฝ่าเลือกลดระยะห่างเข้ามาต่อสู้ประชิดกับเขาอย่างดุดัน ซางเจี้ยนเย่าก็พร้อมจะสนองกลับและยอมเอาชีวิตเข้าแลก แต่ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญกับโรคเรื้อรังที่ยาไม่อาจรักษาได้ ทำได้เพียงแต่มองดูตัวเองค่อยๆ ก้าวไปสู่ความตายทีละก้าว
“อย่าเพิ่งใจร้อน” ในสภาพที่ซางเจี้ยนเย่าทั้งวิ่งทั้งกระโดดด้วยความเร็วสูงแบบนี้ ไป๋เฉินเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ แต่เธอก็สามารถรับรู้ถึงสภาพจิตใจของซางเจี้ยนเย่าที่เปลี่ยนไป
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ส่งปืนยิงระเบิดให้เธอ และไป๋เฉินเองก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน จากมุมมองของเธอนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนต้องคอยป้องกันการจู่โจมของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าในกรณีที่เขาอ้อมหลบชุดเกราะกระดูกเสริมแรงและพุ่งเข้าหารถจี๊ป และอีกอย่างก็คือหน้าที่ของไป๋เฉินในครั้งนี้ก็คือนำทาง ไม่ใช่ลงมือต่อสู้
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็เห็นได้ว่าเขาลดจำนวนครั้งที่ออกจากเส้นทางวงใน และไม่ได้รู้สึกร้อนรนอีก
ขณะเดียวกันรอยล้อรถเองก็ยังคงเปลี่ยนเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เลี้ยวโค้งหลายต่อหลายครั้ง เพื่อทำให้จิ้งฝ่าไม่สามารถคาดการณ์เส้นทางล่วงหน้าจากรอยล้อรถได้ ต้องคอยเกาะเส้นทางวงในเพื่อตามรอยต่อไป
และนี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่าฉกฉวยโอกาสไว้ได้
เขายกแขนซ้ายขึ้นมายิงระเบิดไปยังทิศทางที่คำนวณจาก ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’
จิ้งฝ่าที่เพิ่งจะเปลี่ยนทิศทาง ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางหลบรอดการโจมตีครั้งนี้ไปได้แน่นอน
แสงสีแดงในดวงตาจิ้งฝ่าสว่างวาบ ข้อต่อโลหะที่ข้อเท้าและหัวเข่างอในลักษณะที่มนุษย์ไม่อาจทำได้ เขาฝืนตัวเองเพื่อเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง กระโดดพุ่งขึ้นไปบนอากาศ
ตูม!
ลูกระเบิดระเบิดออก ราวกับดอกไม้ไฟสีแดงบานสะพรั่ง
แต่ทว่าคลื่นกระแทกและแรงระเบิดนั้นช้ากว่าจิ้งฝ่าไปเล็กน้อย จึงไม่สามารถกลืนหลวงจีนจักรกลลงไปได้
ขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังรู้สึกหงุดหงิดที่ตนไม่สามารถคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ ทันใดนั้นเองก็มีระเบิดยิงออกมาจากต้นไม้ในบริเวณนั้น!
มันเล็งเป้าไปที่จิ้งฝ่าที่กำลังลอยค้างอยู่กลางอากาศจนสุดแรงเฉื่อยแล้ว
ดวงตากะพริบสีแดงของจิ้งฝ่ามองหันกลับไปโดยอัตโนมัติ และที่นั่น… เขาเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนที่มัดผมหางม้า แต่งกายด้วยเครื่องแบบสีเทาลายพราง กำลังถือปืนยิงระเบิดอยู่
หัวหน้าของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่ได้จากไปพร้อมกับรถจี๊ป แต่กลับซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้!
เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะหลบรอดจากระเบิดนี้พ้น แต่แล้วฝาโลหะที่แผ่นหลังและฝ่าเท้าเขาก็เปิดออกให้เห็นช่องลึกสีดำสนิทขนาดเท่ากำปั้น
มีเสียงดังฟู่ แล้วควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมาจากช่องพวกนั้น ผลักให้ร่างของจิ้งฝ่าพุ่งเคลื่อนตามแนวขวาง
ตูม!
ระเบิดกำลังสูงเกิดการระเบิดขึ้นในระยะไม่ห่างจากร่างหลวงจีนจักรกล คลื่นกระแทกปะทะเข้ากับร่างจิ้งฝ่าทำให้เขายากที่จะรักษาสมดุลไว้ได้
แม้ว่าซางเจี้ยนเย่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ หัวหน้าทีมถึงปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสเสียเปล่า ยกมือขวาขึ้นมาแล้วใช้ ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’ เล็งอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไปยังจิ้งฝ่าที่เสียสมดุลอยู่กลางอากาศและไม่สามารถปล่อยไอพ่นขับเคลื่อนได้ชั่วขณะ
แต่ในตอนที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะเหนี่ยวไก ตัวเขากับไป๋เฉินก็พลันเห็นเงาร่างมายาที่ท้องป่องปูดโปนปรากฏขึ้น และกลืนกินพื้นดินอย่างบ้าคลั่ง
นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหิวปานจะขาดใจขึ้นมาเช่นกัน
‘เปรตหิวโหย!’
ด้วยแรงกระโดดและการเคลื่อนที่แนวขวาง ทำให้ตอนนี้จิ้งฝ่าลดระยะห่างระหว่างตนเองกับชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจนเหลือเพียง 20 เมตรแล้ว!
ไป๋เฉินรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างตระหนก หยิบเอาบิสกิตอัดแข็งกับธัญพืชอัดแท่งออกมา
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเสียการทรงตัว กลิ้งหล่นจากกล่องพลังงานสะพายหลังของชุดเกราะกระดูกเสริมแรง ตกลงมากระแทกพื้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่อาจหยุดยั้งเธอจากการฉีกซองอาหารและยัดเข้าปากอย่างบ้าคลั่งได้
แต่ทว่าซางเจี้ยนเย่ากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
บริเวณตำแหน่งคางของเขานั้นไม่มีชิ้นส่วนของหมวกเกราะโลหะปกป้องไว้ จึงทำให้มองเห็นว่าด้านในกำลังเกิดอะไรขึ้น
บิสกิตอัดแข็งที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำลายพองอยู่เต็มปากของเขา
ซางเจี้ยนเย่ายังคงเคี้ยวและกลืนบิสกิตอัดแข็งเป็นจังหวะเพื่อบรรเทาความหิวโหย
นี่ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องลดมือไปล้วงควานหาอาหาร!
ก่อนจะออกจากรถ เขาอมบิสกิตอัดแข็งชิ้นเล็กๆ ไว้ในปากเพื่อเอาไว้กิน เพียงแต่ว่ายังไม่ได้กลืนลงไปในทันที นี่เป็นกลยุทธ์สำหรับการรับมือเมื่อต้องเผชิญกับ ‘เปรตหิวโหย’ ซึ่งจะทำให้เขาประหยัดเวลาไปได้หนึ่งถึงสองวินาที!
ซางเจี้ยนเย่ารีบเกาะกุมโอกาสเพียงชั่วพริบตานี้ เขารีบกลืนบิสกิตในปากอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแสยะขณะที่เหนี่ยวไกยิงออกไป
เสียงกระแสไฟฟ้าดังฉี่ฉ่า กระสุนที่หุ้มไว้ด้วยกระแสไฟฟ้าสีเงินยวงพุ่งข้ามระยะทางกว่า 20 เมตรด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจบรรยาย แล้วพุ่งกระแทกกับหน้าอกโลหะสีดำของจิ้งฝ่าอย่างแม่นยำ
เสียงปังและแกร๊งดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ร่างกายด้านหน้าของจิ้งฝ่าปรากกฏรอยบุบขนาดเท่ากำปั้น
ในรอยบุบนั้น โลหะสีดำแตกหลุดออก เผยให้เห็นวงจรและชิ้นส่วนภายใน
รอบๆ รอยบุบ มีรอยร้าวแผ่รัศมีออกไปเหมือนใยแมงมุม
นอกเหนือจากบาดแผลเช่นนั้นแล้ว พลังงานจลน์ของอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าก็ยังกระแทกจิ้งฝ่าลอยปลิวไปเหมือนว่าวสายป่านขาด
ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนบนต้นไม้ได้วางปืนยิงระเบิดลงแล้ว จากนั้นก็ง้างแขนซ้ายแล้วขว้างแท่งโลหะที่ห่อหุ้มด้วยกระแสไฟฟ้าสีเงินยวงจำนวนนับไม่ถ้วนออกไป
แคร้ง!
แท่งโลหะที่ราวกับเป็นมังกรสายฟ้าพุ่งตรงไปยังรอยบุบด้านหน้าของร่างจิ้งฝ่า ทำให้หลวงจีนจักรกลร่วงจากกลางอากาศและถูก ‘เสียบ’ ปักติดกับพื้นดิน
เสียงดังเปรี๊ยะ กระแสไฟฟ้าที่โค้งราวกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานแผ่ออกไปตามชิ้นส่วนและสายไฟข้างในร่างของจิ้งฝ่า
ร่างของหลวงจีนจักรกลแข็งทื่อโดยพลัน แสงเรืองสีแดงในดวงตาดับวูบลงราวกับว่ากลายสภาพเป็นก้อนหินไปแล้ว
ผลจาก ‘เปรตหิวโหย’ ที่ปกคลุมไปทั่วพลันอันตรธานไป
เมื่อซางเจี้ยนเย่าเห็นเช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งของอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าย้ายไปเล็งที่หัวของจิ้งฝ่า
แต่ก่อนจะทันได้เล็ง ดวงตาสีแดงของจิ้งฝ่าพลันเรืองสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
จู่ๆ โครงกระดูกโลหะตลอดทั้งร่างของจิ้งฝ่าก็ขยับเขยื้อน กระโดดออกจากตำแหน่งที่แท่งโลหะซึ่งมีกระแสไฟฟ้าสีเงินยวงจำนวนนับไม่ถ้วนพันรอบปักอยู่
หลวงจีนจักรกลเปลี่ยนทิศทางอย่างต่อเนื่อง แล้ววิ่งหายลับตาไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ซึ่งในขณะนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะหยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมา
เธออดพูดด้วยความผิดหวังไม่ได้
“บ้าชะมัด มันยังมีระบบกู้ชีพฉุกเฉินกับโครงสร้างร่างสำรองอยู่อีก!”
เดิมทีซางเจี้ยนเย่าอยากจะตอบหัวหน้าทีม แต่ในปากยังเต็มไปด้วย ‘เศษ’ บิสกิตแห้งอยู่เต็มปาก เลยทำให้สำลักจนแทบตาเหลือก ไม่สามารถพูดออกมาได้
ส่วนทางด้านไป๋เฉินนั้น เธอไม่ได้กลืนเอาธัญพืชอัดแท่งเข้าไปทั้งแท่งภายในคำเดียว หลังจากค่อยๆ กลืนส่วนที่เหลือลงคอไปแล้วก็ถามเสียงดัง
“จะไล่ตามไปไหม”
เธอถามแทนซางเจี้ยนเย่าที่กำลังสำลักตาเหลือกอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังทิศทางที่ร่างของจิ้งฝ่าหายลับไปแล้วส่ายหน้า
“ไม่ทันแล้วล่ะ และตอนนี้มันคิดแต่จะเผ่นหนี ดังนั้นความเร็วย่อมทิ้งขาดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงแบบไม่เห็นฝุ่น”
พูดเสร็จเธอก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา แล้วตรงเข้ามาพูดปลอบใจไป๋เฉินกับซางเจี้ยนเย่า
“แต่ไม่เป็นไรหรอก มันโดนพวกเรายำซะเจ็บหนักขนาดนั้น
“ระบบกู้ชีพฉุกเฉินกับโครงสร้างร่างสำรองทำได้แค่ฟังก์ชันพื้นฐานเท่านั้นแหละ ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
“พูดง่ายๆ คือ จิ้งฝ่าไม่มีทางไล่ตามเราได้อีกจนกว่ามันจะซ่อมแซมตัวเองให้เสร็จก่อน ตอนนี้ไม่น่าจะใช้ระบบอาวุธกับระบบตรวจจับเสียงได้อีกแล้ว”
ไป๋เฉินถอนหายใจโล่งอก
“งั้นเราก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะสลัดหลุดจากการตามตื๊อของเขาแล้วสินะ”
ทันทีที่พูดจบ ซางเจี้ยนเย่าที่กลืนบิสกิตอัดแข็งในปากลงไปหมดแล้วก็โพล่งถามออกมาทันที
“ทำไมหัวหน้าถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ
“นัดเจอกันที่สถานีเยว่หลู่ไม่ใช่เหรอ รถจี๊ปไปไหนแล้ว”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็หัวเราะออกมา
“ก่อนหน้านี้คือแผนหลอกพวกนายน่ะ”
เธอหัวเราะจนตาหยี
“ถ้าไม่หลอกพวกนายซะก่อนแล้วจะหลอกจิ้งฝ่าได้ยังไง”
“…” ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เหมียนชะงักไปชั่วครู่
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ถือเครื่องยิงระเบิดอยู่มองไปรอบๆ
“จากข้อเท็จจริงที่ว่า จิ้งฝ่าที่อยู่บริเวณเตาหลอมของโรงงานเหล็ก สามารถ ‘ตอบสนอง’ ต่อเสียงผู้หญิงที่ประตูทางเข้าได้ ฉันเลยสงสัยว่าระบบตรวจจับเสียงของมันน่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่พวกเราคิด
“เหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนั้นอีกหลายครั้งหลายหน ก็ยิ่งตอกย้ำข้อสมมติฐานเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก
“อย่างเช่นทำไมมันถึงกล้าอ้อมวกไปวนมาเพื่อผลาญแบตเตอรี่พวกเรา แล้วถ้าเกิดว่าเรามีแบตสำรองมากกว่าหนึ่งก้อนล่ะ
“อย่างเช่นทำไมตอนจู่โจมครั้งแรก มันถึงเลือกตำแหน่งเบาะที่นั่งข้างคนขับ ทำไมถึงไม่เลือกตำแหน่งคนขับที่สำคัญกว่า มันไม่รู้จักพวกเราซักหน่อย ทำไมถึงรู้ว่าฉันเป็นหัวหน้าทีม และเป็นตัวอันตรายที่สุดในตอนนั้น ก่อนหน้านี้ฉันคุยปรึกษากับไป๋เฉินว่าถ้าจิ้งฝ่าเข้ามาโจมตีคนขับ พอฉันยกปืนยิงระเบิดขึ้นมาก็ให้เธอก้มหลบปล่อยให้ลูกระเบิดทะลุผ่านลอดหน้าต่างออกไปยิงเป้าหมาย แต่สุดท้ายแผนนี้ก็ไม่ได้เอามาใช้
“ด้วยความคาใจเรื่องพวกนี้ ฉันก็เลยจงใจถกกับพวกนายเรื่องแผนรับมือที่นัดเจอกันที่สถานีเยว่หลู่เพื่อล่อให้จิ้งฝ่าตกหลุมพราง ซึ่งที่จริงแล้วถึงแม้ว่ามันจะไม่ ‘ได้ยิน’ คำปรึกษาของพวกเราและหลงกล แต่ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องรู้ตัวว่าจุดประสงค์ของนายก็คือถ่วงเวลาเพื่อให้รถจี๊ปสลัดหลุดการไล่กวดของมันอยู่ดีนั่นแหละ
“ดังนั้นหลังจากที่หักเลี้ยวติดต่อกันหลายครั้งจนมาถึงที่นี่ ฉันก็รีบจอดรถซ่อนตัวบนต้นไม้ไม่ไกลนัก สั่งให้หลงเยว่หลงขับต่อไปอีกสิบนาทีแล้วค่อยจอดรถรอเราที่นั่น”