รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 50 เบาะแส
เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยิน เขาขบคิดชั่วอึดใจแล้วพูดขึ้น
“โหดเหี้ยม รวดเร็ว หมดจด หรือว่านี่เป็นการแก้แค้นที่วางแผนไว้ล่วงหน้า”
ที่จริงเขาก็ไม่เชิงคิดว่าเป็นการแก้แค้นโดยตรงเสียทีเดียว แต่มั่นใจว่าต้องมีการไตร่ตรองล่วงหน้าและกำหนดเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังปากถ้ำที่มีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง คิดอยู่อึดใจก่อนจะตอบออกมา
“ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นแบบนั้น อาจเป็นไปได้ว่าชาวเมืองหนูดำถูกเปิดเผยที่ซ่อนเพราะสาเหตุบางประการ เช่นว่ามีคนมาเจอถ้ำแห่งนี้ หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะถูกพบว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ชั้นรองก็ดี หรือจะเป็นเพราะถูกพบว่าพวกเขามีการแลกเปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงสำหรับฤดูหนาวกับทางบริษัทก็ดี ต่างก็ชักนำให้เกิดเจตนาร้ายได้ทั้งสิ้น
“ตอนแรกพวกที่มาโจมตีอาจจะไม่ได้คิดปกปิดตัวตนหรือกำจัดร่องรอยหลักฐานทิ้ง เพราะว่าร่องรอยจากการมีระเบิดเทอร์โมบาริกอยู่ในครอบครองนั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน บางทีอาจเป็นเพราะหลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ระหว่างที่พวกมันกำลังรื้อค้นเพื่อเก็บกวาดเสบียง ก็ไปเจอเครื่องรับส่งโทรเลขไร้สายเข้า จึงตั้งข้อสงสัยว่าเมืองหนูดำได้มีการติดต่อกับกองกำลังใหญ่บางแห่งและเป็นนิคมบริวาร เลยรีบสั่งให้เคลียร์สนามรบเพื่อไม่ให้หลงเหลือร่องรอยสาวถึงตัวพวกมัน เพราะกลัวจะถูกตามไปล้างแค้นทวงหนี้”
ไป๋เฉินไม่อาจระบุได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างมีการไตร่ตรองเตรียมการไว้ก่อน หรือว่าเกิดขึ้นอย่างฉับพลันกะทันหัน เธอทำได้เพียงแค่ให้ข้อสรุปจากมุมมองของเธอเท่านั้น
“ถ้าตัดแรงจูงใจออกไปก่อน สิ่งที่เราพอจะยืนยันได้ในตอนนี้ก็คือ
“ข้อแรก กลุ่มผู้โจมตีนั้นมีระดับการสั่งการที่เหนือกว่ามาตรฐาน ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเคลียร์สนามรบทำลายเบาะแสได้อย่างสะอาดหมดจดขนาดนี้ ดังนั้นจึงตัดความเป็นไปได้ที่พวกมันจะเป็นกลุ่มโจรที่มารวมตัวกันแบบชั่วครั้งชั่วคราวทิ้งไปได้
“ข้อสอง จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันมีระเบิดเทอร์โมบาริกในความครอบครอง และสมาชิกแต่ละคนต่างก็มีอาวุธใช้ นี่แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของพวกมันก็เหนือกว่ามาตรฐานเช่นกัน ดังนั้นคนกลุ่มนี้ย่อมต้องไม่ใช่พวกโนเนมไร้ชื่อเสียงแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ไป๋เฉินจึงอธิบายเพิ่ม
“บนแดนธุลีนั้นแทบไม่มีกลุ่มไหนที่ปิดบังความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ มีเพียงการแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่เท่านั้นถึงจะทำให้พวกผู้ติดตามหรือศัตรูรอบข้างเกิดความเกรงกลัว และสามารถยึดครองทรัพยากรได้เพียงพอ
“ในด้านนี้อาจจะมีเพียงกองกำลังใหญ่เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น รวมไปถึงพวกบินเดี่ยวแบบหมาป่าเดียวดายกับพวกทีมเล็กทีมน้อยที่มีสมาชิกเพียงไม่กี่คนด้วย แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม กองกำลังใหญ่ในตอนแรกเริ่มนั้นก็ต้องสร้างหนทางขึ้นจากหนึ่งปืนหนึ่งกระสุน ต้องทุ่มเทอย่างหนักกว่าที่จะยืนหยัดขึ้นมาได้ จนกระทั่งมีความแข็งแกร่งก้าวขึ้นมาถึงระดับหนึ่งแล้วถึงจะสามารถใช้การปกปิดพลังเพื่อดำเนินกลยุทธ์ได้
“ส่วนสองประเภทหลังนั้น พวกเขาต่างก็ไม่มีใครออมฝีมือไว้ระหว่างต่อสู้กันหรอก เพียงแต่ว่ามีประจักษ์พยานรู้เห็นน้อย ก็เลยทำให้ควบคุมไม่ให้ข่าวหลุดออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงยังสามารถปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อื้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“นอกจากนั้นแล้ว จากรูปการณ์ที่เห็น เราก็พอจะอนุมานได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ
“กลุ่มผู้โจมตีนั้นต้องมีคนอย่างน้อยยี่สิบ ไม่สิ ต้องสามสิบคนขึ้นไป ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจัดการยามที่อยู่รอบนอกเมืองหนูดำได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้น และทำให้ชาวเมืองหนูดำเลือกที่จะถอยกลับเข้าไปในถ้ำ ไม่คิดที่จะตอบโต้กลับ คิดเพียงแต่จะอพยพหลบหนีไปตามเส้นทางสำรองเท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่าฟังแล้วก็อดผงกศีรษะไม่ได้
นี่เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายมาก แต่ก่อนหน้านี้เขากลับคิดไม่ถึง
ประชากรเมืองหนูดำมีจำนวนสองถึงสามร้อยคน ผนวกกับอาวุธต่างๆ ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จัดหามาให้ หากว่ากลุ่มผู้จู่โจมมีจำนวนไม่มาก พวกเขาย่อมต้องตอบโต้กลับไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“ถูกต้อง” ไป๋เฉินมองไปยังบริเวณที่ไม่มีไฟฉายส่อง “จากร่องรอยบาดแผลกระสุนปืนบนศพบางส่วน แสดงว่าอาวุธของกลุ่มผู้จู่โจมมีผสมปนเปกันสารพัดชนิด ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นฝีมือจากกองกำลังใหญ่นี่แทบจะตัดทิ้งได้เลย แต่ก็ไม่แน่ บางทีพวกมันอาจจะเจตนาทำเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยก็ได้ แต่ว่านะ ทีมจากกองกำลังใหญ่ย่อมไม่กลัวถูกตามล้างแค้น ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าเริ่มค่อยๆ คุ้นเคยกับการถกในประเด็นแบบนี้ ในที่สุดก็เข้าร่วมวงด้วย
“และก็ตัด ‘ทีมจับทาส’ ทิ้งได้ด้วย เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับพวกนั้นก็คือคน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ฆ่าล้างเมืองหนูดำแน่”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “ใช่แล้ว ถึงจะกลัวมนุษย์ชั้นรอง แต่พวกเขาก็ขุดเหมืองได้ โดยเฉพาะชาวเมืองหนูดำที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ถึงจะยังมีอคติอยู่บ้าง กลัวติดโรค กลัวว่าจะทำให้กลายพันธุ์ไปด้วย แต่ก็จับแยกบริเวณให้อยู่ห่างๆ จากพวกทาสขุดเหมืองธรรมดาก็ได้ แล้วก็จัดทีมติดอาวุธยิงไกลไว้คอยสอดส่องควบคุม”
แล้วเธอก็ถามต่อ
“ยังมีอะไรอีกไหม”
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูด
“กลุ่มผู้โจมตีอาจมีไม่เกิน 30 คน ผมหมายถึงพวกสมาชิกหลักน่ะ
“ไปจับพวกสมุนจากข้างนอกมาซัก 10-20 คน แล้วให้พวกสมาชิกหลัก 7-8 คนคอยควบคุมเอาไว้รอบนอก แบบนี้ถึงจะเป็นแค่ผิวเผิน แต่ก็ยังทรงพลังมากอยู่ดี
“หลังจากสู้กันเสร็จ เรื่องการเก็บกวาดสนามรบหรือกลบเกลื่อนร่องรอย จะให้พวกสมาชิกหลัก 7-8 คนลงมือเองก็ดี หรือสั่งงานให้ลูกสมุนทำก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้ผลดีทั้งนั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เรื่องนี้ก็ไม่อาจตัดทิ้งเช่นกัน
“พอรวมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน และพิจารณาจากบทสนทนาจากเครื่องบันทึกเสียงด้วยแล้ว เราก็พอจะประเมินลักษณะเบื้องต้นบางอย่างของกลุ่มผู้จู่โจมได้บ้าง
“ความเป็นไปได้ประการแรกคือ พวกมันเป็นกลุ่มคนมากกว่าสามสิบคน มีชื่อเสียงพอควร มีความโหดร้าย มีประสบการณ์ มีอาวุธทรงพลัง อย่างเช่นระเบิดเทอร์โมบาริกและอาวุธต่อสู้สำหรับแต่ละคน ไม่ได้มาจากกองกำลังใหญ่หรืออยู่ในสังกัด และในตอนนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหาร
“ความเป็นไปได้ประการที่สองคือ พวกมันมีสมาชิกหลักไม่เกิน 10 คน มีลูกสมุนจำนวนมากหรือไม่ก็มีทีมอื่นที่ร่วมมือกันเพื่อการนี้”
เมื่อสรุปจบ มุมปากของเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่การยิ้ม
“สำหรับความเป็นไปได้ประการแรกนั้น ถึงแม้ว่าบนแดนธุลีจะมีทีมลักษณะนี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มากเช่นกัน ยิ่งถ้านับเฉพาะพวกที่อยู่แถวนี้หรือเข้ามาย่านนี้ในช่วงนี้ ขอเพียงแค่เราได้ติดต่อกับคนเร่ร่อนแดนร้างและพวกนักล่าซากอารยะที่อยู่ในละแวกนี้ ก็น่าจะคัดกรองกลุ่มผู้ต้องสงสัยหลักได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ค่อยไปตามสืบหาทีละราย
“ส่วนความเป็นไปได้ประการที่สองที่ว่าพวกมันมีลูกสมุนหรือทีมอื่นที่จับมือเป็นพันธมิตร นี่หมายถึงว่าไม่มีทางที่จะเก็บเป็นความลับและปิดปากได้สนิท ยิ่งมากคนก็ยิ่งมีการพูดคุยกันมากขึ้น นอกจากนั้นพวกทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวมาได้ ไม่ว่ายังไงพวกมันก็ต้องเอาไปแลกเปลี่ยนทำการค้า นี่จะเป็นเบาะแสให้สืบสาวไปได้
“อ้อ ใช่ หลังจากนี้ไปต้องค้นหาบริเวณเนินเขาแถวนี้อย่างละเอียด เพราะถ้าเป็นสถานการณ์แบบที่สอง ไม่แน่ว่าพวกสมาชิกหลัก 7-8 คนนั่นอาจจะเชือดตัดตอนลูกสมุนหรือพวกพันธมิตรทิ้งก็ได้ เพื่อเป็นการรักษาความลับเอาไว้”
พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินไปที่ปากถ้ำและบ่นพึมพำ
“ว่ากันตามตรงนะ ทำไมพวกนายไม่ออกไปคุยกันข้างนอกล่ะ ก้มหลังงอเข่าอยู่แบบนี้ ไม่เมื่อยกันบ้างหรือไง”
ที่จริงอารมณ์ของซางเจี้ยนเย่ายังคงจมอยู่กับผลกระทบจากการที่ชาวเมืองหนูดำถูกฆ่าล้างเมือง คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าทีมจะอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้เร็วแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเพียงแค่เปลือกนอกก็ตาม เขาเลยต้องรีบตามออกไป
หลังจากออกมานอกถ้ำและเล่าให้หลงเยว่หงฟังถึงสถานการณ์แล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมา
“หัวหน้า นอกจากสำรวจพื้นที่แถวนี้เพื่อหาร่องรอยการฆ่าปิดปากแล้ว พวกเราควรทำอะไรกันต่อ”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองกลับไปที่ถ้ำ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในรถเรามีพลุสัญญาณติดมาด้วยไม่ใช่เหรอ งั้นจุดพลุสัญญาณเพื่อแจ้งให้บริษัทรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ก่อนละกัน อ้อ ต้องขึ้นไปที่สูงหน่อย แบบนี้ถึงแม้ว่าป้อมรักษาการณ์ของบริษัทจะอยู่ไกลเกินไป แต่ว่านิคมบริวารรอบนอกของบริษัทก็ยังเห็นสัญญาณแล้วส่งโทรเลขกลับไปแจ้งได้”
“แต่แบบนี้มันอาจจะดึงดูดความสนใจพวกคนเร่ร่อนแดนร้าง กลุ่มโจร แล้วก็พวกนักล่าซากอารยะ ให้โผล่กันมาเพียบเลยก็ได้…” ไป๋เฉินมองไปยังทางเข้าเมืองหนูดำด้วยความกังวล
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย
“นั่นก็จริง สำหรับพวกที่กำลังเก็บตุนเสบียงหน้าหนาว เนื้อพวกนี้เป็นแหล่งอาหารอย่างดีเลย เอาไปล้าง หมัก ตากแห้ง เท่ากับว่าเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย”
“หัวหน้า ไหงพูดอะไรที่น่าสยดสยองแบบนี้ล่ะ…” หลงเยว่หงอดสูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้
เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองเขา
“ฉันจงใจพูดเพราะอยากให้นายกับซางเจี้ยนเย่าชินกับเรื่องพวกนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกนายเจอผลกระทบรุนแรงเวลาที่ต้องเห็นสถานการณ์แบบนี้กับตาจนทำให้ไม่สามารถฟื้นสติจากการช็อคได้
“เฮ้อ การอยู่ในแดนธุลี โอกาสที่จะไปเจอกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็ไม่ได้น้อยสักเท่าไหร่”
เธอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งแล้วพูดต่อ
“เอาแบบนี้ละกัน เดี๋ยวพวกเราไปยอดเขาหรือไม่ก็เนินเขาข้างๆ แล้วค่อยยิงพลุสัญญาณเพื่อล่อพวกคนเร่ร่อนหรือพวกนักล่าให้ไปทางด้านนั้นแทน
“พันธมิตรของบริษัท แถวนี้มีแค่เมืองหนูดำที่เดียว ขอเพียงแค่ไม่ออกนอกระยะมากเกินไป ไม่ว่าจะยิงพลุสัญญาณจากจุดไหนก็ตาม พวกเขาจะคิดถึงเมืองหนูดำก่อนเป็นอันดับแรก”
ขณะที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองมายังหลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่
“นายไปหาหินก้อนใหญ่ๆ แถวนี้ แล้วขนเอามาปิดปากถ้ำซะ อ้อ… ใช่ ต้องไปปิดทางออกสำรองด้วย แบบนี้ก็จะป้องกันไม่ให้พวกสัตว์ป่าได้กลิ่นแล้วมาทำลายร่องรอย แล้วก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้พวกนักล่ากับพวกคนเร่ร่อนมาเจอถ้ำนี้เร็วเกินไป ฮื่อ… ต่อให้มาเจอ แต่ว่าอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือของพวกนั้นก็คงไม่ง่ายนักที่จะขนย้ายก้อนหินออกไปเพื่อเปิดทาง แต่พนักงานของบริษัทนั่นเป็นระดับมืออาชีพอยู่แล้ว”
หลงเยว่หงเข้าใจสิ่งที่หัวหน้าทีมพูดอย่างชัดเจน จึงออกไปหาก้อนหินขนาดใหญ่ที่แรงมนุษย์ไม่สามารถขยับเขยื้อนไหว ต้องสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเท่านั้น
หลังจากที่นำศพที่อยู่นอกเมืองเข้าไปไว้ในเมืองแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ จัดการกลบเกลื่อนกำจัดคราบเลือดไปพลาง มองดูหลงเยว่หงซึ่งสวมชุดเกราะสีดำกำลังขนก้อนหินไปปิดผนึกอุโมงค์ทางออกสำรองก่อนที่จะมาปิดปากถ้ำหลักไปพลาง
“เอาละ กลับไปที่รถจี๊ปกันเถอะ แล้วก็ไปหาที่ยิงพลุสัญญาณกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูกองหินที่พรางตาเอาไว้อยู่สองสามวินาที ก่อนจะหันหลังกลับไป
ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมาพูด
“หลังจากยิงพลุสัญญาณแล้ว เราจะหาที่ซ่อนแถวๆ นี้เพื่อตั้งค่าย
“และก่อนที่คนจากบริษัทจะมาถึง เราจะอยู่ที่นี่กันก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด ทำให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่ นอกจากนั้นก็จะได้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับซากเมืองและชุมนุมหลวงจีนด้วย”
ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ไม่มีใครคัดค้าน ต่างก็รู้สึกว่าการจัดการเช่นนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อเทียบกับภารกิจระดับเล็กที่ให้ขนส่งชิปอุปกรณ์กรองน้ำ ซึ่งยังพอจะรอต่อไปได้อีก 1-2 สัปดาห์ เรื่องนี้นับว่าสำคัญกว่ามาก
“คงจะต้องรออยู่ที่นี่ซักสองสามวัน” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มเล็กน้อย “ดีเลย จะได้ฝึกทักษะการเอาตัวรอดในป่าให้พวกนายไปด้วย”
ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงจะได้ตอบ เธอก็เดินไปยังที่นั่งตำแหน่งคนขับ เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถ
หลังจากนั้นสิบกว่านาที ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน กับหลงเยว่หง ก็มายืนเงียบๆ บนเนินทางตะวันตกเฉียงใต้ที่อยู่ห่างออกไป
เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ได้รีบร้อนใช้ปืนยิงระเบิดเพื่อยิงพลุสัญญาณที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นำมาด้วย แต่รอจนกระทั่งเมฆบดบังแสงอาทิตย์จนฟ้าครึ้มสลัวถึงจะลั่นไก
เสียงดังปัง แสงสีแดงกระจ่างตาก็ระเบิดขึ้นระยิบระยับพร่างพราวบนท้องฟ้าราวกับดอกไม้โลหิตที่บานสะพรั่ง