รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 51 แบ่งทีมย่อย
หลังจากยิงพลุสัญญาณแล้ว พวกซางเจี้ยนเย่าทั้งสี่คนก็ขับรถจี๊ปกลับไปยังเนินเขาที่เมืองหนูดำตั้งอยู่ พวกเขาเลือกตั้งค่ายในจุดลับตาติดภูเขา เพื่อจะได้สามารถสอดส่องทั่วแนวผืนป่าเล็กๆ แห่งนี้ได้จากตำแหน่งที่สูง ว่ามีพวกกลุ่มนักล่าซากอารยะหรือคนเร่ร่อนแดนร้างผ่านมาแถวนี้ หรือว่าไปแถวปากถ้ำเข้าเมืองหรือไม่
หลงเยว่หงซึ่งถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกแล้ว เมื่อตั้งเต็นท์เสร็จ เขาไม่อาจทนเก็บความสงสัยไว้ได้อีก ถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“หัวหน้า ผมมีเรื่องที่ไม่เข้าใจน่ะ”
“ว่าไงเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนยินดีที่ได้ไขข้อข้องใจให้มือใหม่
หลงเยว่หงขมวดคิ้วหน้านิ่วก่อนจะพูด
“ทำไมคนพวกนั้นถึงต้องโจมตีเมืองหนูดำด้วยล่ะ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะค้นพบซากเมืองโลกเก่าแท้ๆ ถ้าพวกมันเข้าไปเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่นั่นก็ง่ายกว่าตั้งเยอะ ไม่เห็นต้องไปโจมตีเมืองหนูดำที่มีอาวุธป้องกันตัวเลย หัวหน้าเพิ่งจะบอกเองว่าซากเมืองที่ค้นพบนั้นจะเกิดสภาพแวดล้อมแบบพิเศษ ทำให้พวกนักล่ากับคนเร่ร่อนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ จับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อจะได้มีคนมากขึ้นมาช่วยกันจัดการรับมือกับสารพัดอันตรายในซากเมือง”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เป็นคำถามที่ดี
“แต่ว่านะ… ที่พูดมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ผิดหรอก เพียงแต่มันยังต้องดูปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วยน่ะ ฉันเคยอ่านหนังสือจากโลกเก่าเล่มนึง พูดถึงว่าการยึดเอาหลักการ แนวคิด และสถานการณ์ มาใช้วิเคราะห์เหตุการณ์อื่นแบบทื่อๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการ และความสอดคล้องของเรื่องราว เรียกว่าเป็นการทำผิดพลาดแบบ ‘อ้างทฤษฎีแบบทื่อด้าน’[1] น่ะ
“ซึ่งในเรื่องของเมืองหนูดำนั้น มีปัจจัยหลักที่เป็นตัวแปรอยู่สองประการ
“ประการแรก เราเพิ่งวิเคราะห์กันไปว่ากลุ่มผู้โจมตีนั้นมีอย่างน้อย 30 คน หรือไม่ก็มีสมาชิกหลัก 7-8 คนกับลูกสมุนอีกกลุ่มใหญ่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตามนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ ก็คือพวกมันต้องแข็งแกร่งมาก และนอกจากนี้ ทั้งอาวุธทั้งลูกกระสุนปืนที่เราเห็นจากที่เกิดเหตุก็ทำให้เราวินิจฉัยได้ว่าพวกมันไม่ใช่ทีมนักล่าซากอารยะธรรมดา หรือพวกคนเร่ร่อนแดนร้างทั่วไป
“ประการที่สอง เมืองหนูดำนั้นเป็นนิคมของมนุษย์ชั้นรอง ดังนั้นชาวเมืองไม่มีทางเข้าไปสำรวจซากเมืองที่เพิ่งค้นพบอย่างแน่นอน เพราะว่าที่นั่นมีมนุษย์แห่กันเข้าไปเพียบ อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่รวบรวมข้อมูลข่าวสารอยู่รอบนอกซากเมืองเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมเป็นโล่มนุษย์บุกทะลวงซากเมืองให้กับพวกที่มาโจมตี
“ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากว่ากลุ่มผู้โจมตีมีความมั่นใจว่าพวกมันสามารถจัดการชาวเมืองหนูดำได้โดยทางฝั่งตัวเองแทบไม่เกิดการสูญเสีย หรือเสียหายเพียงแค่เล็กน้อย แต่สามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรกลับไปได้มากมาย มันก็คุ้มค่าที่จะลงมือก่อโศกนาฏกรรมอย่างที่เห็น
“แบบนี้แล้วต่อให้ซากเมืองจะมีอันตรายมากจนทำให้กลุ่มผู้โจมตีไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่พวกมันก็ยังคงกอบโกยกำไรไปได้ไม่น้อย ไม่ได้มาเสียเที่ยวเปล่า”
เมื่อเห็นหลงเยว่หงพยักหน้า เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ
“นอกจากนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้อื่นๆ อีกเยอะแยะ อย่างเช่นว่ากลุ่มผู้โจมตีนั้นอาจจะเคยประสบเรื่องราวบางอย่างมา ก็เลยพาลเกลียดมนุษย์ชั้นรองทุกคนเข้ากระดูกดำ พอเจอเมื่อไหร่ก็ฆ่าทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะต้องสูญเสียเท่าไหร่ก็ตาม
“หรืออย่างเช่นพวกมันได้ยินเสียงหอนประหลาดจากทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ ก็เลยเดินทางมาจนถึงที่นี่เพราะไม่รู้ว่าซากเมืองที่เพิ่งค้นพบนั้นที่จริงแล้วอยู่ทางด้านโน้นต่างหาก
“หรืออย่างเช่นว่าทำเลที่ตั้งของเมืองหนูดำนั้นใกล้กับทางเหนือของสถานีเยว่หลู่มากที่สุด ทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติได้เร็วที่สุด ก็เลยส่งคนเข้ามาตรวจสอบ แล้วพอเห็นว่าสิ่งที่จะกอบโกยกลับไปได้นั้นคุ้มค่าที่จะเสี่ยง ก็เลยลงมือ”
หลงเยว่หงฟังแล้วรู้สึกวิงเวียน แต่ก็ยอมรับว่าหัวหน้าทีมนั้นพูดถูก
ภายใต้สมมติฐานมากมายที่ยังไม่ได้ตรวจสอบให้กระจ่างชัดนั้นมีความเป็นไปได้หลายประการมากเกินไป
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้อธิบายอะไรอีก เธอมองไปรอบๆ ขบคิดชั่วอึดใจแล้วพูดขึ้น
“ในสองสามวันถัดจากนี้ เราจะจับคู่แบ่งทีมสลับเวรกัน
“กลุ่มที่อยู่ที่ค่ายให้ทำหน้าที่เฝ้ารถจี๊ปและตรวจตรารอบๆ ถ้ำ ส่วนกลุ่มที่ออกไปข้างนอกให้คอยสอดส่องหาร่องรอยการฆ่าปิดปากหรือเบาะแสอื่นๆ
“อ้อ รอบนี้ฉันจะจับคู่กับหลงเยว่หง ส่วนไป๋เฉินจับคู่กับซางเจี้ยนเย่า”
“ทำไมครับ” หลงเยว่หงถามโพล่งขึ้นมา
ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
“ก็เพราะว่านายอ่อนสุด
“ยังมองไม่ออกอีกหรือไง”
“…” หลงเยว่หงรู้สึกถูกชกเข้าไปเต็มหน้าแต่ไม่อาจตอบโต้กลับไปได้ ทำให้ห่อเหี่ยวไปเล็กน้อย
จะว่าไปแล้วเหตุผลที่จับคู่กันแบบนี้ก็มองเห็นได้ไม่ยาก
ซางเจี้ยนเย่าได้แสดงพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้และมีความสุขุมเยือกเย็น ควบคู่ไปกับสมรรถภาพทางกาย พลังงาน ความคล่องแคล่ว และทักษะต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการปรับปรุงพันธุกรรม จึงทำให้ความแข็งแกร่งของเขาใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้น ถ้าไม่ใช่อันดับสองก็เป็นอันดับสาม และในระยะประชิดนั้นเขาแข็งแกร่งกว่าไป๋เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนในระยะไกลนั้น ไป๋เฉินที่มีทักษะซุ่มยิงและเปี่ยมด้วยประสบการณ์นั้นถือว่าดีกว่าเล็กน้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทีมย่อยที่มีเจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดมาจับคู่กับหลงเยว่หงที่อ่อนแอที่สุด ก็จะรับประกันความอยู่รอดของฝ่ายหลังได้มากขึ้น และยังทำให้ทั้งสองทีมนั้นมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกันด้วย
พอได้ยินซางเจี้ยนเย่าเหน็บแนมแบบนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนได้แต่เพียงเหลือบตามองและส่ายหน้าอย่างจนใจ
ไป๋เฉินที่กำลังรับผิดชอบเฝ้าระวังโดยรอบก็พูดแทรกขึ้นมา
“หัวหน้า ไม่ต้องแบ่งแบบนี้ก็ได้ ในช่วงสองสามวันนี้พวกเราไม่ต้องใช้รถ ดังนั้นแผงชาร์จพลังแสงอาทิตย์ก็เอาไปชาร์จแบตสำรองได้ จะได้ไม่ต้องมากังวลว่าแบตของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจะมาหมดเอาตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน”
“ก็จริงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้กับหลงเยว่หง
“งั้นนายก็จับคู่กับไป๋เฉินเหมือนเดิม เวลาออกไปข้างนอกก็อย่าลืมสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไว้ด้วยล่ะ ฮ่า ฮ่า พอแบบนี้แล้วก็กลายเป็นว่านายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมแล้วสิเนี่ย คนเราเนี่ยน้า… สิ่งสำคัญสุดก็คืออุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือจริงๆ ฉันจำได้ว่าในหนังสือเก่าๆ มีเขียนเอาไว้ว่า ‘ปัญญาชนกับสามัญชนยามเกิดนั้นไม่ต่าง ต่างที่การรู้จักนำสิ่งภายนอกมาใช้สอย’[2]”
หลงเยว่หงพอได้ฟังก็ทำให้พลังใจลุกโชน ฟื้นสภาวะจิตใจอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าคำพูดของหัวหน้าทีมนั้นช่างสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าซางเจี้ยนเย่ากลับไปใส่ใจที่ประเด็นอื่นมากกว่า
“ทำไมผมถึงไม่เคยเรียนร้อยแก้วโบราณ[3]นี้ล่ะ”
ไป๋เฉินเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดชั่วขณะก่อนจะตอบ
“ไม่ได้อ่านจากตำราเรียนหรอก อ่านนอกหลักสูตรน่ะ”
เมื่อคิดได้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเคยเล่าว่าพ่อของเธอเป็นนักชีววิทยา ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นพนักงานระดับ D9 ที่เหลือเพียงอีกหนึ่งก้าวก็จะขึ้นเป็นระดับผู้บริหารแล้ว การเลี้ยงดูที่เธอได้รับจึงดีกว่าพวกเขามาก
ความระแวงของหลงเยว่หงก็พลันมลายไปสิ้น ซางเจี้ยนเย่าเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก
เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้ามองท้องฟ้าเพื่อกำหนดตำแหน่งดวงอาทิตย์
“ตอนนี้ยังพอมีเวลา ไป๋เฉิน หลงเยว่หง พวกเธออยู่ที่ค่ายคอยเฝ้าเมืองหนูดำเอาไว้ ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะออกไปตรวจดูข้างนอกซักพัก”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงกับไป๋เฉินตอบเสียงดังพร้อมกัน
ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ชักช้ารีรออีก พวกเขาออกจากจุดซ่อนตัวแล้วเดินมุ่งหน้าลงไปยังเชิงเนินเขา
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ต่างพกปืนไปคนละสองกระบอก คนหนึ่งสะพายปืนไรเฟิลจู่โจมไว้ที่บ่า อีกคนถือปืนยิงระเบิดเอาไว้ในมือ
หลังจากออกมาจากเนินเขาที่ตั้งของเมืองหนูดำ เมื่อมาถึงบริเวณที่มีพืชพรรณขึ้นอย่างหนาแน่น ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากถามขึ้น
“หัวหน้า ทำไมถึงต้องรอคนจากบริษัทด้วยล่ะ ทำไมพวกเราไม่ออกไปตามหาร่องรอยกลุ่มผู้โจมตีกันเองเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนชะลอฝีเท้าแล้วหันมาพูดเรียบๆ
“เพื่อความปลอดภัยของพวกนายน่ะ”
“พวกเรามีทั้งชุดเกราะกระดูกเสริมแรง มีทั้งอาวุธยิงที่ทรงพลัง สามารถจัดการกับพวกมันได้อยู่แล้ว ไม่อันตรายเท่าไหร่หรอก” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตาเขาแล้วตอบอย่างใจเย็น
“ฉันรู้ว่านายกำลังโกรธ”
เธอหยุดชั่วครู่แล้วถอนใจอย่างรวดเร็ว
“ฉันเองก็ด้วย
“แต่ลูกกระสุนไม่มีตา ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เจาะกระโหลกนายเพราะนายหน้าตาดีและเป็นมือใหม่ ที่จริงมันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ พวกมันชอบคนแบบนี้แหละ
“นอกจากนั้นแล้วนายมั่นใจแค่ไหนว่าพวกมันไม่มีชุดเกราะกระดูกเสริมแรง พวกมันถึงขนาดพกระเบิดเทอร์โมบาริกมาด้วย นี่ถ้าพวกมันยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทรงพลังอย่างอื่นอีก ฉันก็ไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำ”
“งั้นเราตามแกะรอยไปก่อน แล้วก็สอดแนม เอาไว้พอยืนยันสถานการณ์ได้ก็ค่อยพิจารณาดูอีกทีว่าจะโจมตีพวกมันหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ถอนตัวแล้วรอคนจากบริษัทมาถึง” ซางเจี้ยนเย่ายังคงยืนกราน
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามาพูดในขณะที่ยังเดินต่อไป
“นายอย่าคิดว่าการตามแกะรอยและสอดแนมจะง่ายขนาดนั้นสิ
“ในแผนกความมั่นคง พนักงานที่รับผิดชอบการสอดแนมจะถูกเลือกจากคนที่เก่งที่สุดในทีมที่ได้รับภารกิจนี้
“ที่จริงฉันก็อยากลองดูอยู่หรอกนะถ้าหากว่านายกับหลงเยว่หงมีประสบการณ์มากพอ แต่นายกล้ารับรองไหมล่ะว่าในขณะที่กำลังสอดแนมอยู่พวกเราจะไม่ถูกเผยตัว และจะไม่เกิดการปะทะกันขึ้นในระหว่างนั้น
“สำหรับทีมที่มีประสบการณ์เพียงพอ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนทำพลาด เพียงแต่ว่าถ้าเกิดมีใครทำพลาดขึ้นมา สมาชิกคนอื่นๆ รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพื่อแก้ไขสถานการณ์
“ถ้าหากว่าไป๋เฉินหรือว่าฉันทำพลาดแล้วนายกับหลงเยว่หงสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที แบบนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเราถึงจะสามารถลงมือในปฏิบัติการเช่นนั้นได้”
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่าที่กำลังเร่งฝีเท้าตามมา
“เมื่อกี้นายเองก็ยังพูดทำร้ายจิตใจหลงเยว่หงเพื่อให้เขาเสียความมั่นใจ จะได้ไม่ผ่านการประเมิน แล้วถอนตัวจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เลยไม่ใช่เหรอ
“หรือว่านายไม่ห่วงว่าการตามแกะรอยกลุ่มผู้โจมตีอาจจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
“อ้อ เข้าใจล่ะ ที่นายคิดจะทำก็คือสวมเกราะกระดูกเสริมแรง แล้วรีบเข้าไปฆ่าคนพวกนั้นให้หมดโดยเร็ว พอแบบนั้นแล้วหลงเยว่หงก็ทำเพียงแค่ยืนดูเฉยๆ งั้นสินะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพลางก็หัวเราะไปพลาง
“ไม่ใช่ว่านายตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะช่วยมนุษยชาติหรือไง แล้วทำไมถึงคิดจะไปเสี่ยงชีวิตแบบนั้นล่ะ ถ้านายตายไป แล้วใครจะรับช่วงภารกิจศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อ”
“…หัวหน้า คุณไม่ต้องเบี่ยงประเด็น ไม่ต้องพูดให้การรักตัวกลัวตายกลายเป็นความสูงส่งทรงเกียรติแบบนั้นก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าเกือบหลงกลเจี่ยงไป๋เหมียน
จากนั้นก็พูดต่ออย่างจริงจัง
“ยังไงก็ต้องมีคนรับสืบทอดปณิธานอยู่แล้ว”
“เอ่อ… ฉันไม่รู้แล้วนะเนี่ย ตกลงว่านายพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตพวกนายทั้งคู่ ทั้งนายและหลงเยว่หงต่างก็ยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีลูกด้วย ตายแบบนี้ไม่คุ้มหรอก ฮ่าๆ แถมยังไม่เป็นผลดีต่อบริษัทด้วย”
“แล้วคุณมีลูกไหมล่ะ ทำไมถึงได้ออกไปเสี่ยงบ่อยๆ” ซางเจี้ยนเย่าย้อนถามทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังชายเบื้องหน้า
“ไม่มี
“ช่วงเวลาที่บริษัทจัดสรรจับคู่ ในตอนนั้นฉันอาการสาหัส นอนอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นตายได้ทุกเมื่อ หลังจากนั้นก็สมัครเข้ารับการดัดแปลงพันธุกรรมถึงได้รอดชีวิตมาได้ ฮ่า ฮ่า ที่จริงตอนนั้นถ้าไม่ทำก็ต้องตายอยู่ดี ก็เลยตัดสินใจลองเสี่ยงดู ปรากฏว่ายังโชคดีอยู่
“เนื่องจากผลของการดัดแปลงพันธุกรรมมันยังไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาร้ายแรงแฝงอยู่หรือเปล่า จำเป็นต้องเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิด ฉันต้องเข้าร่วมการทดลองอีกสารพัดเพื่อรวบรวมข้อมูลที่จะยืนยันได้ว่ายีนที่ดัดแปลงนั้นมีเสถียรภาพดี ดังนั้นฉันก็เลยไม่ได้เข้าร่วมการจัดสรรจับคู่อีก”
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันขมวดคิ้วขึ้นทันที
“แล้วทำไมฉันต้องมาเล่าให้นายฟังด้วยล่ะเนี่ย สถานการณ์ของพวกเราเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ เกือบทุกครั้งที่ฉันออกไปเสี่ยง มันมีโอกาสสำเร็จไม่น้อย”
เธอไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ
“หรือเป็นเพราะว่านาย…”
เธอชี้ที่ขมับตัวเอง
“สาเหตุที่นายขอยกเลิกการจัดสรรจับคู่ เพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสงบนิ่ง
“ถึงแม้ว่าผมจะมีปัญหาเรื่องนี้…”
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามด้วยเสียงหัวเราะ
“นายก็รู้ตัวเหมือนกันเหรอเนี่ย”
ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อโดยไม่สนใจเธอ
“แต่ว่าพฤติกรรมผิดปกติส่วนใหญ่ของผมนั้นเป็นการทำโดยเจตนา”
“งั้นทำไมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าวูบไหว แล้วเขาก็หันหน้าทอดสายตาออกไปไกล
“ผมไม่อยากมีลูก และก็ไม่อยากให้มีผู้หญิงมาคอยเป็นห่วง”
* * * * *
[1] อ้างทฤษฎีแบบทื่อด้าน (教条主义) หมายถึง การคัดลอกเอาหลักการและแนวคิดที่มีอยู่มาใช้แก้ปัญหา โดยไม่ได้มีการประเมินวิเคราะห์กับสถานการณ์จริง
[2] ปัญญาชนกับสามัญชนยามเกิดนั้นไม่ต่าง ต่างที่การรู้จักนำสิ่งภายนอกมาใช้สอย (君子生非异也,善假于物也) มาจากหนังสือ《劝学》ประพันธ์โดยปราชญ์ชื่อว่าสวินจื่อ (荀子) เป็นหนึ่งในนักปราชญ์สำนักขงจื่อ ปราชญ์รุ่นหลังจากเมิ่งจื่อ หมายถึงผู้เป็นวิญญูชน (บัณฑิตผู้มีการศึกษา มีคุณธรรม) เมื่อเกิดมานั้นไม่ได้แตกต่างจากบุคคลทั่วไป แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา ได้มีการศึกษาเล่าเรียน จะใช้ความรู้ต่างๆ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ
[3] ร้อยแก้วโบราณ (古文) เป็นภาษาวรรณกรรมของจีนโบราณในช่วงปลายยุคชุนชิว (春秋) จนถึงปลายราชวงศ์ฮั่น ซึ่งถูกเขียนอยู่ในฉันทลักษณ์แบบ 上古漢語