รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 54 ตบ
เส้นประสาทของซางเจี้ยนเย่าเขม็งเกร็งขึ้นมาทันที ในขณะที่สายตาก็จ้องมองปากทางเข้าเมืองหนูดำอย่างไม่กะพริบ
ก้อนหินที่ปิดผนึกปากถ้ำนั้นมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ไม่มีทางที่จะใช้เพียงแค่แรงคนแล้วจะขยับมันได้!
แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นคือเมื่อตอนที่หลงเยว่หงใช้ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงขนก้อนหินมาปิดเอาไว้ เขาไม่ได้วางให้ดี มันจึงค่อยๆ เคลื่อนลงมาเองทีละนิดจนในที่สุดก็กลิ้งหล่นลงมาที่พื้น
ดังนั้นซางเจี้ยนเย่าจึงยังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรออกมาทันที รอสังเกตการณ์เพิ่มเติมไปก่อน
ตึง!
เสียงดังหนักทึบ ก้อนหินขนาดใหญ่ร่วงลงมากระแทกพื้นทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งผืนป่า
จากนั้นทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความเงียบอย่างรวดเร็ว ภายใต้แสงเรืองรองของหมู่ดาว ฟ้ายามรัตติกาลยังคงมืดมิดเช่นเดิม
แต่สิ่งที่ต่างไปไม่เหมือนเดิมก็คือกองหินที่ผนึกปากถ้ำทางเข้าเมืองหนูดำนั้นมีช่องว่างปรากฏให้เห็น ช่องว่างที่นำไปสู่ความมืดมนอันเงียบสงัดราวกับความตาย
ซางเจี้ยนเย่าเฝ้าดูอย่างระมัดระวังอยู่หลายสิบวินาที ขณะที่กำลังจะระบายอากาศขุ่นข้นที่อั้นเอาไว้ในอกออกมาก็พลันเห็นว่าตำแหน่งที่ก้อนหินหลุดร่วงลงมาจนเห็นเป็นหลุมนั้นมีเงาดำค่อยๆ คืบคลานออกมา
สายลมเย็นยามราตรีพัดโชย เมฆบนฟ้าเคลื่อนตัวเผยให้เห็นจันทร์ครึ่งดวง
แสงจันทร์กระจ่างส่องต้องเงาร่างสีดำ ทำให้ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นลักษณะโดยรวมของเขานั้นได้อย่างชัดเจน
มีรูปร่างเตี้ย ร่างกายเปลือยเปล่า ขนหนาดกดำปกคลุมใบหน้า หลังค่อม เล็บมือทั้งสองข้างสะท้อนประกายเย็นเยียบคมกริบ
คนผู้นี้เป็นชาวเมืองหนูดำ!
ม่านตาซางเจี้ยนเย่าขยายออกทันที ราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า อยากจะก้าวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
ทั้งตัวเขา เจี่ยงไป๋เหมียน และไป๋เฉิน ต่างก็ค้นทุกซอกทุกมุมจนแทบจะพลิกถ้ำ แต่ก็ไม่พบผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว!
แสงจันทร์ราวกับสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นใบหน้าของร่างนั้นได้เลือนลาง
ครึ่งหนึ่งของใบหน้านั้นถูกกระสุนปืนฉีกจนเป็นบาดแผลกว้าง เลือดสีแดงก่ำและมันสมองสีขาวขุ่นไหลหยดกระจายเป็นหย่อมๆ
จากสามัญสำนึกของซางเจี้ยนเย่า คนที่เป็นแบบนี้ย่อมมิอาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตได้อีกแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ช่องว่างบนกองหินก็ราวกับว่ายังมีเงาดำตะคุ่มตะคุ่มขยับวูบไหวไปมา
“เวร!” ซางเจี้ยนเย่าอดสบถออกมาไม่ได้
เขาปล่อยมือขวาที่กำด้ามปืนพกอยู่โดยสัญชาตญาณ แล้วยกขึ้นมาตบแก้มขวาตัวเองเต็มแรงทันที
เขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่
เพียะ!
แก้มซีกขวาของซางเจี้ยนเย่าบวมแดงขึ้นมาทันตา มีรอยนิ้วทั้งห้าปรากฏให้เห็นรางๆ
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและเสียงอื้ออึงส่งเข้าสู่หัวสมองของซางเจี้ยนเย่าพร้อมกัน ทำให้ถึงกับเขาตาพร่าลายมองเห็นจุดสีทองระยิบระยับ
แต่ทว่าเขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เบื้องหน้าเขาก็ยังคงเป็นชาวเมืองหนูดำที่ค่อยๆ คืบคลานออกมาจากช่องว่างของกองหินและมีเงาร่างทะมึนอีกร่างคลานตามมาติดๆ
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รีบร้อนยิงปืนออกไป เพราะด้วยความรู้และประสบการณ์ของเขาที่สั่งสมมานั้นยังไม่เพียงพอที่จะตัดสินได้ว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงต้องขอความช่วยเหลือจากเจี่ยงไป๋เหมียนเพื่อดูว่าหัวหน้า ‘ทีมสำรวจเก่า’ จะมีความเห็นเช่นไร
เขาเตรียมจะปลุกไป๋เฉินกับหลงเยว่หงขึ้นมาด้วย เผื่อว่าถ้าไม่สามารถรับมือกับเรื่องผิดปกติในเมืองหนูดำได้ พวกเขาก็จะได้รีบขับรถหนีออกไปจากที่นี่ทันที
เพิ่งจะหมุนตัวได้ครึ่งรอบ ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียก เขาก็เห็นร่างของเจี่ยงไป๋เหมียนปรากฏอยู่ข้างกายแล้ว
ในใจซางเจี้ยนเย่ารู้สึกยินดี ขณะกำลังจะเอ่ยปากรายงานสถานการณ์ ดวงตาก็พลันแข็งค้าง คำพูดชะงักติดอยู่ในลำคอ
ภายใต้แสงจันทร์อันเย็นยะเยือก ใบหน้าอันองอาจงดงามของเจี่ยงไป๋เหมียนกลับมีเส้นขนสีดำที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ค่อยๆ ผุดงอกออกมาทีละเส้นราวกับหน่อไม้หน้าฝนแทงยอดอ่อนขึ้นมาจากผืนดิน
กล้ามเนื้อใบหน้าของซางเจี้ยนเย่าบิดเบี้ยวเล็กน้อย แสดงอาการออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เขาดีดกายพุ่งถอยหลัง กลิ้งม้วนตัวสองตลบ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้ารถจี๊ป
ในท่านั้นเขาก็ย่อเอวลงแล้วกระโดดไปอีกด้าน นั่งยองลงใต้กระจกมองข้างของรถจี๊ป
จากตำแหน่งนี้เขาสามารถใช้ด้านหน้ารถเป็น ‘ป้อมปราการป้องกัน’ และในขณะเดียวกันก็สามารถเปิดประตูรถเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับได้ตลอดเวลา
“เกิดเรื่องแล้ว!” เขาตะโกนเสียงดังเพื่อปลุกหลงเยว่หงกับไป๋เฉินด้วย
หลังจากตะโกนไปสามครั้ง ซางเจี้ยนเย่าในท่านั่งยองก็ก้าวกระเถิบไปด้านหน้าสองก้าว ยืดหลังตรงเตรียมพร้อมเปิดประตูรถ
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่มีกุญแจรถ!
เมื่อตอนที่รับช่วงเฝ้ายามก่อนหน้านี้ ไป๋เฉินส่งกุญแจให้กับเจี่ยงไป๋เหมียน ไม่ใช่เขา
ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ทันได้คิดหาวิธีรับมือ เสียงของเจี่ยงไป๋เหมียนก็ดังขึ้นจากที่ไกลแล้วค่อยๆ ใกล้เข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
จากนั้นวินาทีถัดมา เสียงของหลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็ดังออกมาจากเต็นท์
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของพวกเขานั้นมีทั้งดังมีทั้งเบา แต่น้ำเสียงกลับเหมือนเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ผิดเพี้ยน
ร่างซางเจี้ยนเย่าสั่นเทิ้มทันที เหงื่อเย็นเยียบหลั่งจากหน้าผาก
เขาพยายามบังคับตัวเองให้สงบลง ในใจก็คำนวณระยะห่างระหว่างตัวเขา เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน
ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่อาจบังคับควบคุมได้
ซางเจี้ยนเย่ารีบยืดกายเตรียมยืนขึ้นเพื่อใช้พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้
ในตอนนี้เขามองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกข้างรถ
แก้มซีกขวาบวมแดง และมีรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับสถานการณ์…
หัวใจของเขาเต้นเย่าเต้นระรัว รีบก้มตัวลงไปอีกครั้งแล้วล้วงปากกาหมึกซึมกับกระดาษสีขาวสำหรับจดโน้ตหนึ่งแผ่นในกระเป๋าเสื้อออกมา
จากนั้นก็ก้มหน้าลง วางกระดาษบนต้นขาเพื่อใช้เป็นที่รองเขียน หลังจากที่ปลอกปากการ่วงลงไปที่พื้น เขาก็รีบเขียนลงไป
“ถ้าในภายหลังยังเห็นข้อความนี้ แสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน”
ในระหว่างที่เขากำลังเขียนอยู่นั้น เสียงของเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
ซางเจี้ยนเย่ายิ่งเขียนก็ยิ่งร้อนรน ยิ่งเขียนก็ยิ่งหวัด แต่ก็ฝืนจนเขียนได้จบประโยค
จากนั้นก็รีบยัดกระดาษใส่กลับเข้าไปในกระเป๋า ยืดกายขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกข้างรถอีกครั้ง
ดวงตาสีน้ำตาลของเขากลายเป็นมืดครึ้มลงทันที
ขณะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขารีบรวมรวมความคิดและพยายามพูดออกมา
“เวลานี้ของเมื่อวานเป็นตอนดึก เวลานี้ของวันนี้ก็เป็นตอนดึก
“เวลานี้ของเมื่อวานพวกเรานอนอยู่นอกเมือง เวลานี้ของวันนี้พวกเราก็นอนอยู่นอกเมือง
“เวลานี้ของเมื่อวานฉันกำลังฝัน ดังนั้นเวลานี้ของวันนี้…”
ซางเจี้ยนเย่าหยุดพูดกับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก จากตอนแรกที่มีสีหน้าว่างเปล่าก็ค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติ
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเดินมาถึงอีกฝั่งของรถจี๊ป ซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกตัวขึ้นมา
“ดังนั้นเวลานี้ของวันนี้ ฉันก็กำลังฝัน!”
พอพูดขาดคำ ในหัวของเขาก็เหมือนมีดวงดาวนับล้านระเบิดออกมา ความตระหนักรู้อันเข้มแข็งถึงตัวตนของตนเอง ดึงให้จิตสำนึกของเขาพุ่งทะลุผ่านภาพลวงตาทุกประเภท
“ฟู่!” ซางเจี้ยนเย่าผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วพ่นเอาอากาศขุ่นข้นที่อั้นไว้ในปอดออกมา
เขารีบมองไปรอบกายอย่างรวดเร็ว พบว่าตัวเองยังนอนอยู่ในถุงนอนในเต็นท์
เมื่อเริ่มได้สติ ซางเจี้ยนเย่ารีบชักสองมือออกจากถุงนอนออกมายันพื้น ออกแรงดึงร่างออกมาจากถุงนอนอย่างรวดเร็วราวกับเสือชีต้า แล้วก็กระโจนพรวดออกไปอีกด้านของเต็นท์
ที่นั่นคือที่นอนของเจี่ยงไป๋เหมียน
ในสภาพแวดล้อมอันมืดมิดที่มีเพียงแสงสลัว ซางเจี้ยนเย่าแทบจะมองไม่เห็นอะไร แต่ก็ยังได้ยินเสียงหายใจถี่รัวและไม่เป็นจังหวะของเจี่ยงไป๋เหมียน ราวกับเธอเพิ่งจะวิ่งมินิมาราธอนห้ากิโลเมตรมาหมาดๆ
“ตื่น! ตื่น!” เขาฟังเสียงเพื่อระบุตำแหน่งแล้วคว้าตัวเธอขึ้นมาเขย่าอย่างแรงพร้อมกับตะโกนไปด้วย
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นสะกิดความสนใจของไป๋เฉินกับหลงเยว่หง คนหนึ่งยังคงคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก ส่วนอีกคนพิงเต็นท์แล้วตะโกนถามเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบ เขายังคงเขย่าร่างเจี่ยงไป๋เหมียนต่อไป
ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดขึ้น
“หยุด! พอได้แล้ว… เวียนหัวไปหมดแล้ว!”
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจโล่งอก แล้วยืดกายขึ้น
ในตอนนี้ไป๋เฉินดึงประตูเต็นท์เปิดออกมาแล้ว
จากแสงจันทร์ที่ส่องมาจากด้านนอก ทำให้เธอเห็นซางเจี้ยนเย่านั่งยองหอบหายใจอย่างหนักอยู่ข้างถุงนอนเจี่ยงไป๋เหมียน ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งซุกตัวอยู่ในถุงนอนก็มีสีหน้าสับสนงุนงง
“เจออะไรผิดปกติเหรอ” ไป๋เฉินถามอย่างใจเย็น
ซางเจี้ยนเย่าโพล่งออกมาทันที
“ผมฝันร้าย…”
จากนั้นก็หยุดพูดเพราะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำตัวเป็นเด็กที่ฝันร้ายแล้วต้องมาให้ผู้ใหญ่คอยปลอบโยน
พอเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินไม่ได้หัวเราะเยาะหรือขัดจังหวะ ซางเจี้ยนเย่าก็สงบใจลงแล้วพูดต่อ
“เป็นฝันร้ายที่สมจริงมาก ขนาดว่าในฝันผมได้ตบหน้าตัวเองเต็มแรงแล้วก็ยังไม่ตื่นเลย ทั้งๆ ที่รู้สึกเจ็บมากด้วย
“จนกระทั่งผมใช้พลังผู้ตื่นรู้เพื่อสร้างข้อวินิจฉัยและความตระหนักรู้ให้เข้มแข็งมากขึ้นเพื่อยืนยันว่ากำลังฝันอยู่ ถึงจะตื่นจากความฝันขึ้นมาได้
“ในความฝัน ชาวเมืองหนูดำกลายเป็นซอมบี้ และบนหน้าพวกคุณก็มีขนสีดำงอกออกมาด้วย
ซอมบี้นั้นเป็นเรื่องที่เล่าออกอากาศทางวิทยุอยู่บ่อยครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้มีอาการสับสนงุนงงอีกต่อไป สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม เธอผงกศีรษะเล็กน้อย
“ฉันก็ฝันร้ายเหมือนกัน
“ฝันว่าตัวเองกำลังทำการวิจัยอยู่ในห้องแล็บ พวกนายทุกคนเป็นผู้ช่วย…”
พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันพูดไม่ออก
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งลมหายใจ เธอจึงได้พูดต่อ
“ความฝันนั้นสมจริงมาก แต่เพราะรายละเอียดบางอย่างเลยทำให้ฉันสงสัยว่ากำลังฝันอยู่ เลยรีบเอาเข็มแทงตัวเอง แล้วก็รู้สึกเจ็บเหมือนที่ควรจะเจ็บนั่นแหละ
“พอเป็นแบบนั้นฉันก็เลยเลิกสงสัยว่ากำลังฝันอยู่ หลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ห้องแล็บข้างๆ มีแก๊สพิษรั่วออกมาแล้วกระจายไปทั่วทั้งชั้น
“ฉันรีบวิ่งไปยังทางออกพร้อมกับพวกนายทุกคน พยายามหนีออกจากบริษัทก่อนที่แก๊สพิษจะแพร่มาถึง แล้วตอนนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ปลุกฉันตื่น”
ขณะที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือซ้ายขึ้นมาแล้วเอามาส่องดูในบริเวณที่แสงจันทร์ส่องถึง
ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินที่เดินเข้ามาใกล้ต่างก็มองเห็นจุดแดงขนาดเท่ารูเข็มอยู่บริเวณปากพยัคฆ์[1] ซึ่งดูบวมเล็กน้อย
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันมามองหน้าซางเจี้ยนเย่าทันที และพบรอยนิ้วมือห้านิ้วอย่างที่คาดไว้
“ฉันไม่ได้พกเข็มติดตัว…” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วครู่ “ดังนั้นนี่ไม่ใช่ผลจากการละเมอ”
ขณะที่พูดเธอก็ยื่นมือซ้ายออกไปทาบกับรอยนิ้วทั้งห้าบนแก้มขวาของซางเจี้ยนเย่า และลองทำท่าวาดมือตบลงไป
“รอยตบนี่ก็ไม่ใช่ฝีมือฉันด้วย”
ไป๋เฉินมองตามฝ่ามือของเจี่ยงไป๋เหมียน จ้องมองอย่างจริงจัง
“แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้นะ เพียงแค่ตอนนี้แก้มยังบวมอยู่ รอยนิ้วก็เลยต่างไปบ้างนิดหน่อย พอเอามาทาบเลยไม่ได้พอดีเป๊ะ แล้วนิ้วของพวกคุณสองคนก็ไม่ได้ยาวต่างกันมากด้วย”
“ถ้าฉันใช้มือซ้ายตบหน้าเขาจริงๆ ล่ะก็ เขาคงโดนตบฟันร่วงหมดปากไปแล้วล่ะ” ปลายนิ้วมือซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียนมีกระแสไฟฟ้าปล่อยออกมาเป็นเส้นเล็กๆ
ทั้งแขนซ้ายและมือซ้ายของเธอนั้นเป็นแขนชีวภาพพลังไฟฟ้า ซึ่งมีลักษณะพิเศษข้อหนึ่งก็คือ… พละกำลังอันมหาศาล
ไป๋เฉินเห็นด้วย ส่วนซางเจี้ยนเย่าพูดไม่ออก
เขากำลังจะเล่ารายละเอียดของสิ่งที่เห็นในฝัน แต่เจี่ยงไป๋เหมียนพลันขมวดคิ้วนิ่วหน้าขึ้นมาทันที
“พวกนายรู้สึกไหมว่าเรื่องนี้มันดูคุ้นๆ นะ”
* * * * *
[1] ปากพยัคฆ์ (虎口) หมายถึง ง่ามระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้