รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 56 รวมตัวกัน
ที่อยู่เบื้องหน้าคือบานประตูหินหนักอึ้งฝังอยู่ในผนังโลหะสีดำ ซางเจี้ยนเย่าสูดหายใจอย่างไร้เสียง เอนตัวไปด้านหน้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไป
ร่องหลุมทั้งสามบนประตูหินทยอยทยอยส่องสว่างเรืองรองขึ้นมาทีละร่อง ราวกับเป็นดวงดาวที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
ใน ‘ดวงดาว’ ทั้งสาม ปรากฏตัวอักษรลวงตาหมุนพลิกวูบไหวไปมา แล้วหยุดนิ่งคงสภาพอย่างรวดเร็ว เป็นคำว่า
‘ตัวตลกชักจูง’ ‘คนไร้เหตุผล’ ‘พันธนาการมือ’
เมื่อซางเจี้ยนเย่าเพ่งความสนใจจดจ่อ กลุ่มแสงสีขาวที่แสดงข้อความ ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็พลันสว่างขึ้นเรื่อยๆ
เกือบในเวลาเดียวกัน ประตูหินสีควันบุหรี่ก็สั่นไหวเบาๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนถอยหลังเข้าไปพร้อมกับเสียงครืดคราด
เพียงแค่ไม่กี่วินาที ประตูหินสีควันบุหรี่ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ซางเจี้ยนเย่ามานานหลายวันก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์
จากนั้นเขาก็ชักมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนอย่างเงียบงัน จ้องมองไปยังด้านในของบานประตูหิน
ข้างในนั้นมีบันไดโลหะสีเงินตั้งอยู่อย่างเงียบสงบ มันทอดยาวขึ้นสู่ด้านบนจนลับสายตา
สองฟากฝั่งของบันไดโลหะคือความมืดมนอนธกาลอันไร้ขอบเขต ราวกับสามารถกลืนกินโลกได้ทั้งใบ
“อย่างที่คิดเลย…” ซางเจี้ยนเย่าพึมพำ ชักสองมือออกจากกระเป๋า สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าผ่านบานประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล แล้วก้าวเท้าเหยียบย่างขึ้นไปบนบันไดโลหะ
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…
ถึงแม้จะมองไม่เห็นว่าบันไดไปสิ้นสุดตรงไหน แต่เขาก็ยังคงก้าวเดินอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่เร่งรีบ ไม่ลังเล
รอบบริเวณนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้นที่ดังก้องกังวานอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวอื่นใดอีก
เมื่อผนวกเข้ากับความมืดสลัวรอบด้าน ทำให้เกิดความน่าหวาดกลัวที่อธิบายไม่อาจอธิบายได้
ก้าวเดินขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็มองเห็นสีสันอื่นท่ามกลางสีดำอันมืดมิด
มันเป็นประตูหินสีควันบุหรี่ที่คล้ายคลึงกับประตูบานก่อนหน้า ถูกฝังอยู่ในผนังโลหะสีดำที่ทอดยาวออกไปทุกด้านจนสุดลูกหูลูกตา และมีร่องหลุมสามร่อง
หากไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์ใต้ฝ่าเท้าของเขามีการเปลี่ยนแปลงไป หากไม่ใช่เพราะว่ารอบกายไม่มี ‘หมู่ดาว’ อยู่รายรอบ ซางเจี้ยนเย่าคงคิดว่าตนเองนั้นกลับไปยืนที่ห้องโถงเดิมที่เข้ามาในตอนแรก
เขาคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะเร่งฝีเท้า วิ่งก้าวกระโดด ตรงไปยังประตูหินบานใหม่เบื้องหน้า
จากนั้นก็เอี้ยวตัว มือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกมือหนึ่งวางทาบบนบานประตูหิน
เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ แสงเรืองสีขาวค่อยๆ สว่างขึ้นจากร่องหลุมทั้งสามบนประตูหินสีควันบุหรี่ทีละร่อง ควบตัวรวมกันคล้ายเป็นดวงดาวมายา
ตัวอักษรจำนวนมากมายสุดคณานับภายใน ‘ดวงดาว’ พลิกวูบวาบไปมา จากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ หยุดนิ่งจนกลายเป็นคำที่ชัดเจน
‘ตัวตลกชักจูง’ ‘คนไร้เหตุผล’ ‘พันธนาการมือ’
ทั้งสามคำนั้น แสงของคำว่า ‘ตัวตลกชักจูง’ สว่างกว่าอีกสองคำที่เหลือมากนัก
น่าเสียดายที่ครั้งนี้ประตูหินสีขาวหม่นเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย ไม่ได้เคลื่อนเปิดออก
ซางเจี้ยนเย่าใช้มือเดียวผลักประตูเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้สองมือออกแรงผลัก และเอนตัวเพื่อใช้น้ำหนักตัวช่วย ราวกับโถมแรงจากทั่วทั้งร่างใส่บานประตูหินอย่างสุดกำลัง
ทว่าบานประตูหินหนักอึ้งนั้นก็ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย ช่องว่างระหว่างบานประตูไม่ได้ถ่างออกแม้แต่นิดเดียว
ซางเจี้ยนเย่าชักมือกลับมายืนตัวตรง มองไปยัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ที่สว่างเรืองรองกว่า ‘คนไร้เหตุผล’ และ ‘พันธนาการมือ’ ที่สว่างเรืองแบบสลัวๆ แล้วพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เมื่อแสงสีขาวเรืองของหลุมร่องทั้งสามค่อยๆ สลัวลงและจางหายไป ร่างของซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มพร่าเลือน
เขาจมลงสู่ห้วงนิทรา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นราวกับถูกเขย่า
เขาลืมตาขึ้นตามสัญชาตญาณ มองเห็นคิ้วดกดำเป็นแนวตรงและดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวาของเจี่ยงไป๋เหมียน
“เกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็ลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที
ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบกลับ
“หลับสบายสุดๆ”
คิ้วเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกเล็กน้อยราวกับว่าเธอต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างยิ่งยวดเพื่อข่มใจไว้ ส่วนหลงเยว่หงที่นั่งอยู่เบาะซ้ายด้านหลังพ่นเสียง “พรืด” ออกมาหนึ่งคำ
ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ เกิดอาการเท้ากระตุกเหยียบคันเร่ง ทำให้รถจี๊ปจู่ๆ ก็พุ่งพรวดพราดเกือบหลุดออกจาก ‘ถนนหลัก’ ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางมากนัก
“ฟู่…” ผ่านไปสองสามวินาที เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะหลุดออกมานอกบริเวณที่เกิดความผิดปกติได้แล้ว ไป๋เฉิน มองหาดูจุดลับตาแถวๆ นี้ จะได้จอดรถกันก่อน”
จากนั้นเธอก็หันกลับไปมองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงที่เบาะหลัง
“เราจะตั้งค่ายที่นี่สักสองสามวัน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน พอกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วพวกนายนอนพักกันก่อน ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะอยู่ยามและลาดตระเวณให้ก่อน
“ก่อนที่กองกำลังจากบริษัทจะส่งสัญญาณมา พวกเราจะฝึกการเอาตัวรอดในแดนร้างกัน”
“ทราบแล้ว หัวหน้า” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้คัดค้าน
* * * * *
วันต่อมา ในค่ายของทีมสำรวจเก่า
หลงเยว่หงที่เพิ่งกินมื้อเที่ยงเสร็จ ก็ล้วงผลไม้ลูกขนาดเท่าเม็ดลำไยที่หุ้มด้วยเปลือกแข็งสีเทาอมเขียวออกมาจากกระเป๋า
เขาใช้ฟันกัดเพื่อให้เปลือกแตกออก มองเห็นเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำอวบอ้วนสีขาวอยู่ภายใน
หลงเยว่หงดูดน้ำที่ไหลเยิ้มออกมา จากนั้นก็ค่อยดูดเนื้อออกมาเคี้ยว
“อร่อยชะมัด…” เมื่อกลืนลงไปแล้วเขาก็อุทานชื่นชมจากใจจริง
หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนมาหนึ่งวัน สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ต่อเขามากที่สุดก็คือการได้รู้จักอาหารชนิดนี้ ที่เรียกว่า ‘ผลไม้สด’
ผลนี้มาจากไม้พุ่มชนิดหนึ่งที่ใบแข็งทนแล้ง งอกขึ้นทั่วไปในหลายพื้นที่ ใช้เวลาปลูกช่วงสั้นๆ ก็โตแล้ว ผลเก็บไว้ได้นาน ไม่มีสารพิษ ปัญหาเดียวก็คือมันออกผลน้อยมาก หนึ่งพุ่มมีเพียงแค่ไม่กี่ผลเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นอาหารหลักได้ จึงไม่มีใครคิดจะเก็บอย่างจริงจัง
ไป๋เฉินเล่าว่าผลไม้นี้คือความทรงจำในวัยเด็กที่ตราตรึงฝังใจมากที่สุดของคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมาก
ซางเจี้ยนเย่าเองก็มีผลไม้สดนี้อยู่ในมือเช่นกัน เขากำลังยัดเนื้อชุ่มฉ่ำสีขาวชิ้นสุดท้ายเข้าไปในปาก
เนื้อของผลไม้ป่านี้ไม่ได้นุ่มและแน่นอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรก แต่คล้ายผลแอปเปิลนิดหน่อย มีเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ
รสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยวจนบดบังความหวาน ทำให้กินแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หลังจากที่เคี้ยวและกลืนเมล็ดบางๆ ที่อยู่ในเนื้อผลไม้ลงไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ปัดมือแล้วยืนขึ้น
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะประกาศว่าได้เวลาเริ่มฝึกภาคบ่าย ก็พลันเห็นดอกไม้ไฟสามลูกปะทุขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศเหนือ หนึ่งเหลือง หนึ่งเขียว หนึ่งน้ำเงิน
“พลุสัญญาณของบริษัท…” เธอขมวดคิ้วและพึมพำเสียงดัง “นี่มันเร็วเกินไปหน่อยล่ะมั้ง”
“มีคนปลอมสัญญาณหรือเปล่า” ไป๋เฉินนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น
เจี่ยงไป๋เหมียนมองสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วสั่นศีรษะ
“นี่เป็นพลุสัญญาณแบบพิเศษที่ผลิตโดยบริษัท คนนอกไม่มีทางปลอมได้ และลำดับสีก็ถูกต้องด้วย
“อาจเป็นไปได้ว่ามีทีมของแผนกความมั่นคงกำลังฝึกภาคสนามอยู่ไม่ไกลนักก็เลยตรงดิ่งมานี่ หรือไม่ก็ทางบริษัทรู้ถึงสถานการณ์ผิดปกติทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ตั้งแต่คืนแรกที่พวกเราได้ยินเสียงหอนแล้ว”
พอซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็ยิ้มออกมา
“ไม่งั้นก็ส่งหลงเยว่หงออกไปยืนยันสถานการณ์ก่อนไหม”
“ไหงถึงเป็นฉันล่ะ” หลงเยว่หงถามด้วยความงงงัน
“ก็คนที่ฉันสั่งได้ มีแค่นายคนเดียวนี่นา” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างสุขุมใจเย็น
หลงเยว่หงเหลือบมองเขาด้วยหางตาอย่างเหยียดหยัน
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนั้นจึงพูดพลางยิ้ม
“ที่ซางเจี้ยนเย่าว่ามาก็มีเหตุผลนะ”
หลงเยว่หงฟังแล้วถึงกับหน้าซีดลงเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ
“เราจะกลับไปเมืองหนูดำกันก่อน พอไปถึงใกล้ๆ แถวนั้นก็ค่อยสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปดูลาดเลา”
เมื่อได้ยินว่าให้สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปสอดแนม หลงเยว่หงก็สงบสติอารมณ์ลงได้ในทันที
เขายกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองแล้วพูดพึมพำ
“ทำไมลืมเรื่องนี้ไปได้นะ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนเงี่ยหูฟัง ถึงแม้ว่าเธอจะได้ยินที่หลงเยว่หงพูดไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาพูดอะไร
เธอยิ้มแล้วพูดต่อ
“นายคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอจะออกไปทำภารกิจสอดแนมรึไง
“ถามจริงเหอะ นายรู้จักเจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงซักกี่คนเชียว หือ
“พอไปถึงที่นู่นแล้ว หากจะต้องออกไปดูลาดเลา คนที่ทำหน้าที่นั้นยังไงก็ต้องเป็นฉันอยู่ดีนั่นแหละ”
พอพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สาวเท้าเดินก้าวยาวตรงไปยังรถจี๊ป ทิ้งท้ายเอาไว้เพียงประโยคที่บอกว่า
“พวกนายเก็บข้าวของได้แล้ว”
* * * * *
เมื่อตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กลับมายังเนินเขาใกล้ที่ตั้งของเมืองหนูดำก็เกือบจะค่ำแล้ว
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปดูลาดเลา ก็สามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มคนที่ยิงพลุสัญญาณนั้นเป็นเจ้าหน้าที่จาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จริงๆ
เมื่อถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออก ไป๋เฉินก็ขับรถพาเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง ไปยังเชิงเขา
ที่นั่นมีพนักงานจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ สิบกว่าคนสวมเครื่องแบบสีเทาแก่ พกปืนไรเฟิลจู่โจมมาตรฐาน ‘นักรบคลั่ง’ แยกย้ายกันยืนปิดกั้นทางเข้าออกทุกเส้นทาง
เมื่อไป๋เฉินได้รับสัญญาณมือก็หยุดรถจี๊ปลง จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดประตูลงจากรถเดินเข้าไปเป็นคนแรก
ระหว่างที่เดินเธอก็หยิบแผ่นป้ายชื่อสี่เหลี่ยมสีแดงที่มีตัวอักษรสีทองขึ้นมาติดไว้ที่หน้าอก
บนป้ายชื่อนั้นมีคำว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ สี่ตัวอักษรส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดง
เจ้าหน้าที่ติดอาวุธสองนายที่มีป้ายชื่อติดหน้าอกเช่นเดียวกันก็เดินตรงเข้ามาต้อนรับ หนึ่งในนั้นถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาที่มีหน้าจอมาด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งถามขึ้นมา
“หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์”
“02310162155” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตัวเลขออกมาเป็นชุดอย่างคุ้นเคย
เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงที่ถืออุปกรณ์พกพาป้อนหมายเลขนี้ลงไปเพื่อเรียกดูข้อมูลของเจี่ยงไป๋เหมียน
เขาเปรียบเทียบภาพถ่ายและลักษณะจำเพาะก่อนจะยกมือขึ้นมาทำความเคารพ
“สวัสดีครับ หัวหน้าทีมเจี่ยง”
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ยืนยันตัวตนด้วยหมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของพนักงานแล้ว เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงทั้งคู่ก็เปิดทางให้
“พวกคุณเป็นทีมจากหน่วยไหน ทำไมมาถึงกันเร็วนักล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างเป็นกันเอง
เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงคนที่เพิ่งสอบถามหมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตอบว่า
“พวกเรากำลังเคลื่อนพลเพราะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุผิดปกติทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ ระหว่างทางก็เห็นพลุสัญญาณฉุกเฉินที่คุณยิง”
เจ้าหน้าที่คนที่ถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาพูดเสริม
“พวกเราคือหน่วยที่ 23”
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกใจ กลับรู้สึกวางใจขึ้นอีกไม่น้อย แล้วถามต่อ
“แล้วพวกคุณมากันกี่ทีมเหรอ”
“ส่งออกมาหมดทั้งหน่วยเลยครับ ขับรถหุ้มเกราะกันมา” เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงตรงหน้าเธอตอบออกมาอย่างไม่ปิดบังอำพราง
“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนมียิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้า
‘แผนกความมั่นคง’ ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับปฏิบัติการภายนอกบริษัท และมี ‘ทีมรบ’ เป็นหน่วยพื้นฐาน
ทีมรบแต่ละทีมนั้นมีสมาชิกราว 20-30 คน มีหัวหน้าทีมหนึ่งคน (ระดับ D7) และรองหัวหน้าอีกหนึ่งคน (ตั้งแต่ระดับ D4 ถึง D6 จะเป็นระดับใดก็ได้ทั้งนั้น)
เพื่อให้สะดวกต่อการสั่งการ ทีมรบแต่ละทีมจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยลงไปอีก ซึ่งจะมี 3-4 กลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้ากลุ่ม (ระดับ D4 หรือ D5)
และเช่นเดียวกัน ทีมรบ 3 ทีม รวมเข้าเป็น 1 หน่วยปฏิบัติการ เมื่อเสริมเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้าไปในหน่วยแล้ว หน่วยปฏิบัติการแต่ละหน่วยก็จะมีเจ้าหน้าที่ราว 100 นาย โดยปกติหัวหน้าหน่วยจะเป็นระดับ D8
ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านั้นก็คือกองพัน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ 400-500 นาย นี่นับเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของแผนกความมั่นคงแล้ว หัวหน้ากองคือระดับ D9
หากเกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้น กองพันจำนวนสองถึงสามกองพันจะรวมตัวกันเป็นกองพลย่อยเฉพาะกิจ และสั่งการโดยผู้บัญชาการกองพลย่อยตามแต่ละภาคส่วน (ระดับผู้จัดการ M1) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทีมการ์ดส่วนตัวของหัวหน้าใหญ่ กองพลย่อยที่อยู่ภายใต้คณะบริหารโดยตรง หรือภาคกำลังพลที่คุ้มกันโครงการสำคัญ ล้วนถือว่าเป็นกรณียกเว้นโดยถาวรที่จะไม่ถูกนับรวมเข้ามาด้วย ดังนั้นจำนวนคนจึงน้อยกว่ากองพลจริงที่มีอยู่
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘หน่วยปฏิบัติการ’ นั้นคือแกนกลางของแผนกความมั่นคงนั่นเอง
“แล้วหัวหน้าหน่วยของคุณล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
“อยู่ในเมืองหนูดำครับ” เจ้าหน้าที่ที่ถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตอบออกมาตามตรง
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า
“พาเราไปพบหน่อย มีเรื่องสำคัญต้องแจ้ง”