รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 57 แลกเปลี่ยนข้อมูล
ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เข้าพบกับหัวหน้าหน่วยที่ 23 ที่ด้านนอกของเมืองหนูดำ เขามีอายุเกือบ 30 สวมเครื่องแบบสีเทาแก่ ติดป้ายชื่อที่มีสองดาว
“หวังเป่ยเฉิงครับ” เขายื่นมือขวาให้เจี่ยงไป๋เหมียน
เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยื่นมือไปจับ แล้วเขย่าเบาๆ
“เจี่ยงไป๋เหมียนค่ะ”
“ได้ยินชื่อมานาน” หวังเป่ยเฉิงยิ้มแล้วปล่อยมือ
เขาสูงพอๆ กับซางเจี้ยนเย่า ใบหน้าองอาจหล่อเหลา แต่ว่าผิวค่อนข้างเข้ม ให้ความรู้สึกอึมครึม
“หวังว่าที่ได้ยินนั่นจะเป็นเรื่องในด้านดีนะคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างถ่อมตัว จากนั้นก็แนะนำซางเจี้ยนเย่าและสมาชิกทีมคนอื่นๆ “นี่คือสมาชิกทีม ‘สำรวจเก่า’ ของพวกเรา”
หวังเป่ยเฉิงไม่มีความเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย เขากล่าวทักทายไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง ทีละคน
จากนั้นก็หันกลับมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนอีกครั้ง
“พูดตามตรงเลยนะ พอได้ยินว่าคุณยื่นขอจัดตั้ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ชุดใหม่ขึ้นมา ทำเอาพวกเราพากันแปลกใจกันไปหมด นี่เป็นหนึ่งในภารกิจที่อันตรายที่สุด คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หนึ่งในภารกิจที่อันตรายที่สุด’ ก็ทำให้หลงเยว่หงหน้าซีดเผือดลงไปเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นความใฝ่ฝันของฉันน่ะ บนแดนธุลีก็ยังมีนักอุดมคติเหลืออยู่บ้างแหละ”
“บางครั้งจิตใจอันบริสุทธิ์ของคุณก็ทำให้คนอื่นอิจฉา” หวังเป่ยเฉิงยิ้มพลางถอนใจ “เสียดายที่คนอย่างพวกเรามีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนา”
ทั้งสองทักทายกันเพียงเท่านี้ จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เล่าเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอมา หวังว่าเพื่อนร่วมงานที่ยืนเบื้องหน้าจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้
เธอเริ่มด้วยการเล่าว่าได้ยินเสียงหอนในคืนแรกที่ตั้งค่ายในแดนร้าง และสงสัยว่าน่าจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ แต่เล่าข้ามเรื่องที่ต่อสู้กับกลุ่มโจรแดนร้างที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรง และไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองน้ำล้อมเลย เธอเล่าเพียงว่าได้เผชิญกับงูเหล็กบึงดำระหว่างทางและสังหารมันได้สำเร็จ ซึ่งหนังของงูเหล็กบึงดำนั้นมัดอยู่บนหลังคารถ ใครๆ ก็มองเห็นได้ในทันที
หลังจากที่เล่าถึง ‘เหตุการณ์เริ่มต้น’ ไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าเรื่องที่ไปซากปรักโรงงานเหล็ก และเรื่องราวที่ได้ยินมาจากนักล่าศีรษะล้านแฮร์ริส บราวน์ นอกจากบางคำพูดที่อาจจะต่างไปบ้าง แต่เนื้อหาไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง
หวังเป่ยเฉิงฟังอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอย่างสุภาพบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ต่อด้วยเรื่องของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า
ในตอนเริ่มต้น เธอก็เล่าบทสนทนาระหว่างซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และจิ้งฝ่า ไปตามความเป็นจริง โดยเน้นย้ำถึงเรื่องการ ‘ประสานใจ’ ซึ่งเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่คาดว่าน่าจะเป็นพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้
แต่เมื่อถึงตอนที่จิ้งฝ่าไล่ตามมาทัน และใช้พลัง ‘เปรตหิวโหย’ เพื่อควบคุมพวกเขาทั้งสี่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็แอบปิดบังการกระทำของซางเจี้ยนเย่าไว้อย่างแนบเนียน เล่าเพียงแค่ว่าตนเองประเมินอาการเกลียดผู้หญิงของจิ้งฝ่าว่าไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องของเทคโนโลยี ‘นิรันดร์กาล’ แต่เป็นเพราะสภาพร่างกายที่ไม่อาจตอบสนองตัณหาภายในใจ จึงทำให้จิตใจของเขาผิดปกติ กลายเป็นความวิปริต
จากนั้นก็เจตนายั่วยุจิ้งฝ่าให้โมโห เพื่อทำให้เขาใช้ความรุนแรงจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ แล้วฉวยโอกาสนี้สอดนิ้วชี้มือซ้ายเสียบเข้าไปในช่องที่ลำคอของจิ้งฝ่าเพื่อปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่กักเก็บอยู่ในแขนชีวภาพพลังไฟฟ้าเพื่อทำลายระบบควบคุมหลักและโครงสร้างร่างกายของอีกฝ่าย
ณ จุดจุดนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนเจตนาแปลงสารเปลี่ยนข้อเท็จจริงบางอย่าง เธอไม่ได้บอกว่าเธอนั้นกังวลว่าจิ้งฝ่าจะมีระบบกู้ชีพฉุกเฉินและโครงสร้างร่างสำรอง จึงได้แฮ็คระบบเครือข่ายข้อมูลภายในร่างหลวงจีนจักรกลด้วย ‘นิ้วทองคำ’ เพื่อที่จะควบคุมอีกฝ่ายโดยตรง
ดังนั้นเธอจึงเล่าข้ามช่วงกลางเหตุการณ์รวบรัดตัดความไปยังผลสรุปท้ายเรื่องว่าจิ้งฝ่ายังไม่ได้ถูกกำจัดทิ้ง เพราะเขามีระบบกู้ชีพฉุกเฉินและโครงสร้างร่างสำรองจึงทำให้หลบหนีจากการไล่กวดของรถจี๊ปไปได้หลังจากบาดเจ็บสาหัส
“ต่อให้เป็นผมเองก็เถอะ ถึงแม้จะพาทีมรบไปด้วย ก็คงไม่มีทางทำได้ดีอย่างที่พวกคุณทำแน่” เมื่อได้ฟังเรื่องราวของหลวงจีนจักรกล หวังเป่ยเฉิงก็อดทอดถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์ไม่ได้ “หุ่นจักรกลสำหรับต่อสู้ที่มีสติและจิตสำนึกของมนุษย์ แถมยังผนวกเข้ากับพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้อีก นี่มันเครื่องจักรสังหารชัดๆ”
“นี่เป็นเพราะพวกเราเองถูกกดดันเข้าตาจนสุดๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็คงถูกหลวงจีนจักรกลนั่นล่วงละเมิดแล้วก็จับทรมานจนขาดใจตาย จะเอามาเทียบกันได้ยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะตัวเอง “พอกำจัดจิ้งฝ่าได้ พวกเราก็นึกถึงเมืองหนูดำขึ้นมา ตั้งใจว่าจะใช้เครื่องรับส่งโทรเลขไร้สายของที่นั่นเพื่อส่งข้อมูลเรื่องพวกนี้กลับไปยังบริษัท แล้วระหว่างทางขณะที่กำลังตั้งค่ายพักแรมกันอยู่ก็บังเอิญเจอกับคนท่าทางแปลกๆ สองคนในแดนร้าง คนหนึ่งชื่อตู้เหิง เรียกตัวเองว่าเป็นนักโบราณวัตถุและนักประวัติศาสตร์ อีกคนมาจากปฐมนคร ชื่อว่ากาโลแรน เรียกตัวเองว่าเป็นนักพรตเต๋า…”
ประเด็นที่เธอพูดถึงนั้นไม่ใช่เพื่อต้องการจะบอกว่าชายหญิงคู่นี้แปลกอย่างไร แต่เพื่อต้องการจะเล่าถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้ที่ได้รับฟังมา
หลังจากนั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็เดินทางมาถึงเมืองหนูดำและพบว่าชาวเมืองถูกฆ่าตายหมดทั้งเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงสำรวจสถานที่เกิดเหตุและยิงพลุสัญญาณฉุกเฉินออกไป
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปิดบังผลการสืบสวนของตัวเอง ตั้งข้อสงสัยว่านี่เป็นฝีมือของกลุ่มโจร ‘ไฮยีน่า’
มาถึงตอนท้าย เธอก็เล่าเรื่องฝันร้ายที่กลายเป็นจริง แต่ไม่ได้พูดถึงว่าซางเจี้ยนเย่าใช้พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้เพื่อให้หลุดออกมาจากความฝันได้ด้วยตัวเอง เธอพูดเพียงแค่ว่าตอนนั้นโชคดีที่เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงระหว่างที่มีการเปลี่ยนผลัดเฝ้ายามพอดี หลงเยว่หงกับไป๋เฉินพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงปลุกเธอกับซางเจี้ยนเย่าได้ทันการ
ท้ายสุดเธอก็เชื่อมโยงฝันร้ายที่กลายเป็นจริงของเธอกับเหตุการณ์ผิดปกติทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ และพูดคุยเกี่ยวกับการคาดเดาของตน
“นี่คล้ายกับพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้อยู่บ้างเหมือนกัน…” หวังเป่ยเฉิงที่อายุมากกว่าซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เกือบหนึ่งรอบ ย้อนนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่เคยได้ยินได้ฟังมา ก่อนจะพูดอย่างลังเลเล็กน้อย “สมัยที่ผมยังหนุ่ม มีครั้งหนึ่งที่ผมติดตามกองพันไปและมีส่วนร่วมในการค้าระหว่างกองกำลังใหญ่ แล้วก็ได้เจอกับนิกายที่ชื่อว่า ‘ประกายพรึกแห่งอรุณรุ่ง[1]’ พวกเขาหวาดกลัวต่อความฝันแต่ก็ใช้ความฝัน ในตอนนั้นสาวกคนที่ผมสนทนาด้วยนั้นเป็นผู้ตื่นรู้ เขาเรียกตัวเองว่า ‘ผู้พิทักษ์ฝัน’ เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นคือการต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนจากการถูกฝันร้ายกลืนกิน ฝันร้ายที่เขาอธิบายไว้นั้นมันคล้ายๆ กับสิ่งที่คุณเล่ามา”
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็ถามหวังเป่ยเฉิง
“เขาไม่ได้แสดงพลังพิเศษให้คุณดูเหรอ”
“เปล่า” หวังเป่ยเฉิงสั่นศีรษะ “อาจเป็นเพราะเขายังไม่คุ้นเคยกับผม เลยระวังตัวอยู่”
เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดชั่วครู่ก่อนจะถาม
“พวกเขาศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหน”
หวังเป่ยเฉิงรู้ว่าซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ต่างก็รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ครองกาลมาจากหลวงจีนจักรกลแล้ว จึงไม่ได้ปิดบังอะไร ตอบกลับไปเรียบๆ
“องค์ที่ชื่อว่า ‘อรุณรุ่ง’
“เทพผู้ปกครองเดือนสอง
“พวกเขาบอกว่าเทพองค์นี้คือแสงที่สาดส่องสู่ห้วงฝัน”
พูดถึงตรงนี้ หวังเป่ยเฉิงก็เงยหน้ามองฟ้าและเห็นว่าพลบค่ำแล้ว
“ยังมีข้อมูลอื่นอีกไหม”
“ไม่มีแล้วค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มเล็กน้อย “เล่ามาตั้งนาน คอแห้งไปหมดแล้วล่ะ”
หวังเป่ยเฉิงหัวเราะออกมา
“ผมคงจะไม่พูดเรื่องมารยาทให้มากพิธีรีตองล่ะ นี่ก็ใกล้มืดแล้ว พวกคุณไปหาที่ตั้งค่ายแล้วพักผ่อนเถอะ ส่วนผมต้องรีบไปจัดทีมลาดตระเวนให้ออกไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่คุณเล่าให้ฟัง จะปล่อยให้ชักช้าเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“อ้อ ใช่แล้ว จะให้ดีก็ให้เพื่อนร่วมทีมพวกคุณคอยเฝ้ายามและจับตาดูเวลานอนหลับเอาไว้ด้วยนะ ถ้าเผื่อเกิดอะไรผิดปกติขึ้นมาจะได้ปลุกได้ทันการ”
เขาไม่ได้พูดถึงความรู้สึกอึดอัดจนนอนหลับไม่ลงเมื่อต้องนอนหลับในสภาพแบบนั้น บนแดนธุลีเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนนั้นสอนให้รู้ว่าการเอาชีวิตรอดย่อมสำคัญกว่าความน่าอายหรือความกระอักกระอ่วน
“วางใจเถอะ พวกเรามีประสบการณ์มาแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกไม้โบกมือ แล้วก็พาซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ บอกลาหวังเป่ยเฉิงกลับไปยังที่จอดรถจี๊ป
หลังจากหาสถานที่เหมาะสมและกางเต็นท์เสร็จแล้ว หลงเยว่หงก็ทนเก็บความสงสัยไว้อีกไม่ได้ จึงถามออกมา
“หัวหน้า ทำไมถึงปิดเรื่องชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไว้ล่ะ”
พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะปิดเรื่องของซางเจี้ยนเย่าไว้เป็นความลับ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนั้นอีก
“ถ้าพูดไปแล้วก็ต้องเล่ากันอีกยาวน่ะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงด้วย ไม่งั้นมันจะโยงไปถึงเรื่องเมืองน้ำล้อมอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“พวกเราปรึกษากันไปแล้วนี่นา ว่าจะรายงานเรื่องเมืองน้ำล้อมแต่จะไม่บอกถึงตำแหน่งพิกัดที่ชัดเจน จะเล่าแค่ว่าไปเจอกับทีมล่าสัตว์ในแดนร้างเท่านั้น” ไป๋เฉินที่เกิดความรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจเล็กน้อย ถามด้วยความกังวล
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ไม่ต้องรีบหรอก เรื่องนี้เอาไว้รอให้พวกเรากลับถึงบริษัทก่อนก็ได้ ยังไงก็ต้องรายงานขึ้นไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว
“และนอกจากนั้น ไปพูดให้หน่วยของหวังเป่ยเฉิงฟังแล้วจะได้อะไรขึ้นมา มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงเรื่องข้อมูลรั่วไหลอีก”
“เรื่องนี้ถึงรั่วออกไปก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ” ไป๋เฉินยังคงไม่เข้าใจสักเท่าไรนัก
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ แล้วบุ้ยปากไปทางซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“ไหนพวกนายลองบอกทัศนคติของพวกพนักงานในบริษัทที่มีต่อพวกคนเร่ร่อนแดนร้างให้ฟังหน่อยสิ”
ซางเจี้ยนเย่าที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ ตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ก็ยังรู้สึกแบ่งแยกอยู่บ้าง และกลัวว่าการดูดซับคนเร่ร่อนแดนร้างเข้ามามากเกินไปจะทำให้การปันส่วนทรัพยากรต้องลดน้อยลงไปอีก”
“ถูกแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะขาดกำลังคน แต่ทุกคนก็ยังคิดว่าใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปก็ดีอยู่แล้ว ในอนาคตก็จะมีเด็กเกิดใหม่ออกมาเรื่อยๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปดูดซับเอาพวกคนเร่ร่อนแดนร้างมาเยอะแยะเลย” หลงเยว่หงเหลือบมองไป๋เฉินแล้วพูดด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือขวาหน้าไป๋เฉิน
“เป็นไง ได้ยินแล้วใช่ไหม
“ถ้าหากว่าเพียงแค่ดูดซับพวกคนเร่ร่อนที่โดดเด่นอย่างเธอเข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นคนที่สามารถนำประสบการณ์ความรู้ความสามารถมาใช้ได้ แบบนี้พวกพนักงานก็ไม่คัดค้านหรอก แถมยังยอมรับอย่างเต็มใจซะด้วยซ้ำ แต่ว่าถ้าอยู่ๆ ก็ดูดซับเอาคนเร่ร่อนเข้ามาทีเดียวหมดทั้งนิคม แบบนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรับกันได้หรอก
“ถึงแม้ว่าคนของทีมรบและหน่วยปฏิบัติการของแผนกความมั่นคงที่ออกปฏิบัติการนอกบริษัทมานาน ได้รู้สภาพความเป็นอยู่ของบรรดาคนเร่ร่อนในนิคมต่างๆ จะมีความเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน มีพ่อแม่ มีลูกเมียที่อาศัยอยู่ในบริษัท ยังไงก็ต้องได้รับอิทธิพลจากคำพูดอะไรแบบนี้มาบ้างอยู่แล้ว
“ถ้าเกิดว่าพวกเขาปล่อยให้ข่าวเรื่องเมืองน้ำล้อมหลุดออกไปถึงหูของพวกญาติๆ หรือเพื่อนๆ ก่อนที่ทางคณะกรรมการบริหารจะได้ตัดสินใจอะไร นั่นจะทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง และแน่นอนว่ามันย่อมเกิดผลกระทบในทางลบซะมากกว่า”
ไป๋เฉินยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
“พนักงานทั่วไปนี่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการบริหารด้วยเหรอ
ในมุมมองของเธอนั้น พวกคนระดับสูงไม่น่าจะมาใส่ใจอะไรกับความคิดเห็นของคนทั่วไป
พอเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็ยิ้มออกมา
“ตอนนี้เธอยังคงเคยชินกับวิถีชีวิตในแบบคนเร่ร่อนแดนร้างอยู่สินะ เลยยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับระบบภายในบริษัทซักเท่าไหร่
“บริษัท ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นถึงแม้ว่าจะไม่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ซะทีเดียว พวกสมาชิกคณะกรรมการบริหารเหล่านั้นมีใครบ้างที่ไม่มีญาติหรือเพื่อนที่เป็นพนักงานธรรมดา ยิ่งกว่านั้นแล้ว เรื่องความมั่นคงภายในก็ยังมีความสำคัญมาก มันจะส่งผลโดยตรงต่อสถานภาพและจุดยืนของทั้งทีมรบและหน่วยปฏิบัติการ
“ถ้าหากความเห็นสาธารณะออกมาเป็นเชิงลบ ต่อให้ทางคณะกรรมการบริหารยังคงยืนยันที่จะดูดซับเมืองน้ำล้อม แต่ว่ารายละเอียดของแผนงานจะต้องถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน
“การเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการกับการเป็นนิคมบริวารนั้นจะได้รับการดูแลที่แตกต่างกันมาก ลองเทียบกับการที่ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการโดยตรง กับวิธีที่ดูแลเมืองหนูดำสิ เห็นไหมว่ามันแตกต่างกันขนาดไหน”
ไป๋เฉินไม่ได้พูดอะไร เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อใคร่ครวญคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างละเอียด
จากประสบการณ์ในการเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างของเธอ คำพูดของผู้ที่มีอำนาจและสถานภาพ นั่นคือคำสั่งอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หลงเยว่หงพูดพึมพำออกขึ้นมา
“แต่รู้สึกว่ามันน่าจะยังมีเหตุผลอื่นอีกนะ”
ด้วยเพราะความเคยชิน ถึงแม้ว่าจะพูดพึมพำอยู่คนเดียวแต่เสียงเขาก็ไม่ได้เบาสักเท่าไหร่
“บางทีหัวหน้าอาจจะกลัวหวังเป่ยเฉิง กลัวว่าเขาจะยึดเอาชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไปใช้เอง” ซางเจี้ยนเย่าเจตนาเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
คิ้วของเจี่ยงไป๋เหมียนเลิกขึ้นเล็กน้อย
“ฉันเนี่ยนะกลัวเขา”
* * * * *
[1] ประกายพรึกแห่งอรุณรุ่ง (拂晓晨星) หมายถึงดาวศุกร์ (ดาวประกายพรึก) ที่ปรากฏให้เห็นในตอนเช้ามืด