รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 58 เหตุผล
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ตอบอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “ฮ่า” ออกมาคำหนึ่ง
“พวกเราไม่ได้อยู่ในสายบังคับบัญชาของเขา และเขาเองก็ไม่ได้รับมอบอำนาจทำสงครามเฉพาะกิจ ถึงแม้ระดับเขาจะสูงกว่าฉันหน่อยนึงแต่ก็ยังไม่ถึงระดับผู้บริหาร แล้วทำไมฉันต้องกลัวเขาด้วย”
“หรือพูดอีกอย่างก็คือถึงแม้ว่าหวังเป่ยเฉิงจะใช้ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการมาบังคับให้เรายอมรับเรื่องนี้ แต่เราก็ไม่ต้องทำตามก็ได้ใช่ไหม” ไป๋เฉินพยายามปรับตัวและทำความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบภายในของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’
อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่พนักงานบริษัทอย่างซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาแล้วได้มาเข้าร่วมกับแผนกความมั่นคง ก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับลำดับชั้นสายบังคับบัญชาในสถานการณ์เช่นนี้กระจ่างนัก
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราเป็นทีมพิเศษที่ขึ้นตรงกับ รมช.เซ็นนีเท่านั้น ต่อให้เป็น ผบ.กองพลซึ่งเป็นระดับชั้นการจัดการก็เถอะ ถ้าหากว่าไม่ได้รับมอบอำนาจทำสงครามเฉพาะกิจจากคณะกรรมการบริหาร เขาก็ไม่มีอำนาจสั่งการพวกเราได้”
รมช.เซ็นนีนั้นเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีช่วยว่าการของแผนกความมั่นคง ระดับของเธอเทียบเท่ากับผู้บัญชาการกองพล เพราะต่างก็เป็นระดับ M1 ด้วยกันทั้งคู่
ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลกับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบในงานคนละด้านกัน ไม่ได้มีตำแหน่งไหนสูงหรือต่ำกว่า บางครั้งผู้บัญชาการกองพลก็ทำหน้าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการเช่นกัน
สำหรับซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง ต่างก็ไม่ได้รู้สึกว่า รมช.เซ็นนีนั้นเป็นคนแปลกหน้าที่ห่างเหินแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพียงเพราะว่าสุภาพสตรีผู้นี้เป็นหัวหน้าโดยตรงของหัวหน้าทีมของพวกเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นมีชื่อเสียงมาก เธอเป็นชาวแม่น้ำแดงเพียงไม่กี่คนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่ว่าจะเป็นชื่อแซ่ สีตา หรือแม้แต่สีผม ล้วนแตกต่างไปจากพนักงานคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้นเธอยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการที่ค่อยๆ ไต่เต้าเลื่อนตำแหน่งมาจากระบบเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนของแผนกความมั่นคง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกรณีพิเศษของกรณีพิเศษ
ระบบเจ้าหน้าที่พลเรือนของแผนกความมั่นคงนั้นไม่เปิดให้พนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้าบรรจุทำงานเป็นครั้งแรกเข้ามาทำงาน นอกเสียจากว่าจะเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น และถูกจองตัวเอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย
ซึ่งเซ็นนีก็คือหนึ่งในคนประเภทนี้
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็ถามขึ้นมา
“งั้นถ้าเป็นระดับรัฐมนตรีล่ะ สั่งเราได้หรือเปล่า”
“…” รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนกลายเป็นแข็งค้างทันที ตอบเสียงอ่อย “แหงสิ ก็ต้องได้อยู่แล้ว”
พอได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ไป๋เฉินก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจของแผนกความมั่นคงได้อย่างคร่าวๆ จากนั้นเธอก็ถามขึ้น
“แล้วถ้าหวังเป่ยเฉิงยังยืนกรานสั่งเราล่ะ แบบว่าใช้อำนาจบังคับน่ะ”
“ไม่สนซะอย่าง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบโดยไม่ลังเล “หากเป็นแบบนั้นฉันก็จะสะบัดก้นจากไปซะ ถ้าเขามีปัญญาหยุดฉันได้ก็ลองดู”
“คุณไม่กลัวว่าเขาจะใช้กำลังเหรอ” ไป๋เฉินถาม
สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนพลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย เธอมองดูใบหน้าจุ๋มจิ๋มของไป๋เฉินอย่างจริงจังแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“เธอต้องจำให้ขึ้นใจว่านี่คือกองทัพของกองกำลังใหญ่ ไม่ใช่กลุ่มของพวกคนเร่ร่อนแดนร้าง
“ต่อให้หวังเป่ยเฉิงจะเสียสติจนกล้าลงมือ แต่ลูกน้องเขาไม่กล้าหรอก!
“พนักงานทุกคนของแผนกความมั่นคงต่างก็รู้ดีว่าผลของการทำร้ายเพื่อนร่วมงานโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ โทษขั้นต่ำคือจำคุกสิบปีขึ้นไป โทษสูงสุดคือประหารชีวิต หรืออาจถึงขั้นเนรเทศทั้งครอบครัวออกไปจากบริษัท”
“แล้วยัดเยียดข้อหา ใส่ร้ายพวกเรา ฆ่าปิดปาก เก็บความลับ ก็ทำไม่ได้เหรอ” ไป๋เฉินถาม
“นี่มันอาชญากรรมซ้ำซ้อนเลยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง “คำถามก็คือ ใครจะยอมร่วมหัวจมท้ายไปกับหวังเป่ยเฉิงที่เสียสติล่ะ การที่พวกเราจงรักภักดีต่อบริษัท และยอมเสี่ยงชีวิตออกมาปฏิบัติการภายนอก นั่นก็เพราะว่าบริษัทสามารถเลี้ยงดูพวกเรากับครอบครัวให้มีชีวิตที่มั่นคงและได้รับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ หวังเป่ยเฉิงสามารถรับประกันว่าจะให้สิ่งเหล่านี้ได้ไหม
“เขาจะให้อะไรเราได้บ้าง อย่างมากสุดก็แค่โอกาสเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง กับส่วนแบ่งสินสงครามที่มากขึ้นอีกหน่อย แต่เมื่อเทียบกับผลร้ายแรงที่จะตามมาถ้าหากว่าถูกเปิดโปง คิดว่าคุ้มไหมล่ะ
“ต่อให้มีคนโลภจนหูหนวกตาบอดก็เถอะ หวังเป่ยเฉิงจะมอบโอกาสแบบนี้ให้ได้ซักกี่ครั้ง จะแจกจ่ายแบ่งปันให้ลูกน้องร้อยกว่าคนพอหรือเปล่า
“ถ้าหากว่ามีแค่เขากับลูกน้องคนสนิทซักห้าหกคนอยู่ที่นี่ นั่นแหละถึงจะน่าห่วง แต่นี่มีเป็นร้อย การจะใส่ร้ายยัดเยียดข้อหา ฆ่าคนปิดปากเก็บความลับเนี่ย เขาจะทำได้เหรอ แล้วถ้ามีบางคนเกิดสำนึกผิดขึ้นมาในภายหลัง และแอบรายงานเพื่อแลกกับการอภัยโทษ พอเรื่องแดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ผลที่ตามมาน่ะร้ายแรงไม่ใช่เล่นเลยนะ
“คิดว่าเพียงแค่ความฮึกเหิมทะเยอทะยานนิดๆ หน่อยๆ จนลงมืออย่างบ้าคลั่ง ใครจะอยากทำ”
ไป๋เฉินผงกศีรษะช้าๆ
“จริงด้วย มากคนก็มากเรื่อง
“ไม่มีทางวางใจได้เลย นอกจากลูกน้องคนสนิทแล้ว ที่เหลือก็ต้องฆ่าปิดปากให้หมดทุกคนเท่านั้น”
และถ้าหากว่าทั้งหน่วยปฏิบัติการเหลือคนรอดชีวิตกลับไปได้แค่ไม่กี่คน อย่างนั้นคนอื่นก็ต้องรู้แน่ว่ามีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้นแล้ว คนเพียงไม่กี่คนปะทะกับคนนับร้อยภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีอาวุธทัดเทียมกัน ใครจะเป็นฝ่ายฆ่าใครกันแน่
“และถึงแม้จะเป็นลูกน้องคนสนิทก็เถอะ ก็ไม่แน่ว่าจะยอมเสียสติไปกับหวังเป่ยเฉิงด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม “ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง ถ้าฉันสั่งให้พวกนายอัดหวังเป่ยเฉิงต่อหน้าคนเยอะแยะ พวกนายจะกล้าลงมือไหมล่ะ”
หลงเยว่หงเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ
“ผมสู้เขาไม่ได้…”
“แล้วถ้าสู้ได้ จะกล้าไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเจือหัวเราะ
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ผมกล้า!
“ไม่ต้องสมมติหรอก กลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ ผมจะอัดเจ้าหวังเป่ยเฉิงซะ!”
“เชอะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนแค่นเสียง
ถ้าหากว่ากลับไปถึงบริษัทแล้ว การต่อสู้นั้นจะเรียกว่า ‘ทะเลาะวิวาท’ ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมระเบียบจะเข้ามาไกล่เกลี่ยและส่งคู่กรณีกลับไปบ้านใครบ้านมัน หากเป็นเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีกหน่อย บทลงโทษคือจำคุกสัก 10-15 วัน ถูกปรับแต้มส่วนร่วมอีกหนึ่งเดือน และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีว่าไม่มีแต้มเหลือพอจะซื้ออาหารจนทำให้ต้องอดตาย แต้มที่ถูกปรับนั้นจะแบ่งปรับทุกเดือนตลอดทั้งปี
ตราบใดที่ไม่ได้ทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บ อย่างแย่สุดของการทะเลาะวิวาทก็คือถูกย้ายไปทำงานในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี แต่ก็แทบไม่มีงานตำแหน่งไหนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่จะอันตรายไปกว่างานของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ อีกแล้ว นั่นก็หมายถึงว่ามีอันตรายแทบไม่ต่างกัน
เมื่อได้ฟังซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ พูดคุยกันจนมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ไป๋เฉินก็ถามแทรกขึ้นมา
“ถามหน่อยสิ หวังเป่ยเฉิงทำอะไรผิดเหรอ”
ทำไมถึงพวกนายถึงได้ถกกันเป็นจริงเป็นจังนัก กับเรื่องที่จะอัดเขาหรือไม่อัดเขา หรือว่าจะอัดเขายังไงดี
“เอ่อ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามคิดหาเหตุผล
“…” หลงเยว่หงเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าพอคุยกันเรื่องนี้แล้ว ภาพลักษณ์ของหวังเป่ยเฉิงในใจเขานั้นยิ่งทีก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าเขาเป็นสุดยอดจอมวายร้ายเลยทีเดียว
มีเพียงซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นที่ตอบกลับมาอย่างจริงจัง
“เขาผิดที่ร้องเพลงไม่เพราะ”
“นายรู้ได้ไง” ไป๋เฉินถามออกมาอย่างไม่ทันคิด
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“เดาเอา”
“…” ไป๋เฉินตระหนักอีกครั้งว่าเธอทำพลาดอย่างมหันต์ที่มาถกปัญหากับซางเจี้ยนเย่าอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าตอนไหนที่เขาพูดเล่น หรือตอนไหนที่เขาเกิดอาการ ‘กำเริบ’ ขึ้นมากันแน่
“เอาละ เอาละ พอได้แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือ “ได้เวลาเตรียมมื้อเย็นแล้ว อ้อ… ใช่ คืนนี้เราจะรอให้ซางเจี้ยนเย่าหลับก่อน ดูว่าเขาจะเข้าไปในฝันร้ายหรือเปล่า”
หลังจากออกคำสั่งไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็คิดไตร่ตรองอยู่อึดใจก่อนจะกล่าวเสริมขึ้น
“พูดตามตรงนะ ฉันเองก็กลัวว่าหวังเป่ยเฉิงจะรู้ว่าเรามีชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเหมือนกัน โดยปกติแล้วพวกอุปกรณ์ไฮเทคพวกนี้น่ะ ในแต่ละกองพันจะมีอยู่แค่สองสามชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็จะไปกระจุกอยู่ที่หน่วยใดหน่วยหนึ่งหรือทีมใดทีมหนึ่ง ดูแล้วพวกหวังเป่ยเฉิงน่าจะไม่มี”
“เมื่อกี้หัวหน้าเพิ่งจะบอกว่าไม่กลัวไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ หัวหน้าทีมของเขาถึงได้เปลี่ยนใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะตัวเอง
“ฉันไม่กลัวว่าเขาจะใช้กำลังยึดเอาไป แต่กลัวเขาจะมาอ้อนวอนขอร้องต่างหากล่ะ
“การปฏิบัติงานของเขาต่อจากนี้จะอันตรายยิ่งกว่าพวกเราเยอะ ซึ่งตามหลักแล้วก็ควรจะให้พวกเขายืมเกราะเสริมแรงไปแหละ เฮ้อ… ฉันนี่มันช่างเป็นคนใจอ่อนขี้สงสารเสียจริงเชียว
“นอกจากนั้น พอเรากลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ อุปกรณ์พวกนี้ก็ต้องส่งมอบไปด้วย เบื้องบนจัดสรรว่าจะให้ใครเอาไปใช้ ซึ่งไม่น่าจะตกมาถึงมือพวกเราได้”
“แต่หลังจากนั้นพวกเราก็ขอยืมมาใช้ได้ไม่ใช่เหรอ…” หลงเยว่หงยังรู้สึกสงสัย
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองพวกเขาแต่ละคน
“ไม่คิดหรือไงว่าที่ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
“ฉันรู้สึกว่าการฝึกภาคสนามครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่
“ไปเจอกลุ่มโจรที่ตอนแรกก็เป็นแค่โจรทั่วๆ ไป แต่ก็ดันมีชุดเกราะกระดูกเสริมแรง ไปตามถนนที่สุดแสนจะเป็นเส้นทางธรรมดา แต่ก็ดันกลายเป็นทางที่ถูกบึงน้ำกัดเซาะเข้ามา มีงูเหล็กบึงดำซ่อนตัวอยู่ ไปที่ซากโรงงานเหล็กเพื่อฝึก ก็ดันไปเจอไอ้หลวงจีนบ้านั่น
“ไปเมืองหนูดำเพื่อจะขอยืมใช้เครื่องรับส่งโทรเลขไร้สาย แต่ก็ดันเจอการสังหารหมู่ พอคิดว่าจะรอให้บริษัทส่งคนมา ก็ดันเจอเหตุผิดปกติแล้วก็ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง…
“ยัง… ยังมีอีก… ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ จะเร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ จะช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ดันประจวบเหมาะมาค้นพบซากเมืองจากโลกเก่าเอาในตอนนี้ซะอีก
“สรุปก็คือ พวกเราเนี่ย ‘พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก’ จริงๆ ใครจะรู้ว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเก็บชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนี่เอาไว้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีม”
“ใช่ ใช่ ใช่” หลงเยว่หงฟังแล้วเห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง ไป๋เฉินเองก็ได้แต่พยักหน้าเบาๆ
ไม่ว่ายังไง ชีวิตตัวเองย่อมสำคัญที่สุด!
ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากกำลังจะพูด แต่ถูกเจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่
“นายน่ะ หุบปากไปเลย!”
แล้วเธอก็หัวเราะออกมาคำหนึ่ง
“ยกเว้นว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ”
พอเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็ครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา
“ที่จริงแล้วการปิดบังเรื่องชุดเกราะกระดูกเสริมแรงกับเรื่องเมืองน้ำล้อมเอาไว้ ก็เป็นการปกป้องซางเจี้ยนเย่าด้วยนั่นแหละ”
“หือ” หลงเยว่หงงุนงง
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มพลางพูด
“ทั้งสองเรื่องนี้น่ะ ยังไงก็ปิดไว้นานไม่ได้หรอก พอกลับไปถึงบริษัท สุดท้ายก็ต้องเขียนรายงานส่ง
“แต่ถ้าตอนนี้เราปิดเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าหวังเป่ยเฉิงกับคนอื่นๆ จะสงสัยอะไร พอพวกเขากลับไปแล้วถาม ก็จะคิดว่าเรื่องที่เราระมัดระวังและปิดบังไว้ก็คือเรื่องนี้…
“พอแบบนี้พวกเขาก็จะคิดไม่ถึงว่าพวกเรายังมีความลับอื่นซ่อนไว้อีก
“ภายใต้การตรวจสอบยืนยันซ้ำสองรอบ ทั้งจากรายงานและจากหวังเป่ยเฉิง ทางบริษัทก็จะไม่สงสัยอะไรพวกเรา”
“แบบนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างเยี่ยมยอดมาก เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขายังไม่เข้าใจกระบวนความคิดได้กระจ่างสักเท่าไหร่
ไป๋เฉินและซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
ค่ำคืนผ่านไปไร้เรื่องราว เหตุผิดปกตินั้นราวกับเคลื่อนย้ายออกไปจากบริเวณนี้แล้ว
เมื่อถึงวันใหม่ หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันแล้ว พวกเขาก็รอผู้ช่วยของหวังเป่ยเฉิง และถูกเชิญไปยังด้านนอกเมืองหนูดำ
หวังเป่ยเฉิงสวมหมวกเบเร่ต์สีเทาแก่รออยู่ที่นั่น เขาพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกทีมลาดตระเวนส่งข่าวกลับมาแล้ว มีประเด็นสำคัญสองเรื่อง
“เรื่องแรก เมื่อสามคืนก่อน สมาชิกกลุ่มโจร ‘ไฮยีน่า’ กับลูกสมุนที่ถูกควบคุมไว้ ตายอย่างลึกลับไปสิบกว่าคน พวกมันยังหาสาเหตุการตายไม่พบ ทำให้ไฮยีน่ากลัวมาก เมื่อวานซืนตอนเช้าพวกมันจึงตัดสินใจทิ้งพวกลูกสมุน พาไปเพียงแค่สมาชิกหลัก 12-13 คน มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังซากเมืองของโลกเก่าที่เพิ่งค้นพบ
“เรื่องสอง ซากเมืองของโลกเก่าที่เพิ่งค้นพบนั้น อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึง 50 กิโลเมตร”
“ใกล้ขนาดนั้นเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หวังเป่ยเฉิงเหลือบมองท้องฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ
“ก่อนหน้านี้พูดกันแค่ว่าทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ ที่จริงแล้วไม่ใช่ทางเหนือ แต่เป็นตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่”
“มิน่าล่ะ…” เมื่อได้ยินเช่นนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็รำพึงออกมา
มิน่าล่ะ เหตุผิดปกติเรื่องฝันร้ายที่กลายเป็นจริงถึงได้ ‘แพร่กระจาย’ มาถึงเมืองหนูดำ
“พวกผมต้องออกเดินทางทันที พวกคุณต้องการให้ช่วยอะไรไหม” หวังเป่ยเฉิงถาม
“ไม่มีค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวอวยพรอย่างจริงใจ “หวังว่าจะได้พบกันอีก”
“หวังว่าจะได้พบกันอีก” หวังเป่ยเฉิงโบกมือลา และสั่งรวมพลก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
หลังจากเฝ้ามองขบวนยานพาหนะ รวมทั้งรถหุ้มเกราะของพวกเขาเคลื่อนพลจากไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจโล่งอก
“พวกเราก็ไปกันได้แล้ว มุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดิม
“ในที่สุดก็หมดเรื่องวุ่นๆ นี่สักที ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับข้อมูลชุดแรกของซากเมืองจากโลกเก่า กับเรื่องความปลอดภัยของเจ้ามือใหม่ทั้งสองหน่อนี่อีกแล้ว!”