รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 59 “ผู้ปรับ” บรรยากาศ
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังโล่งใจว่าในที่สุดปัญหาต่างๆ ก็ผ่านพ้นไปเสียที จะได้กลับเข้าสู่จุดหมายเดิมของการเดินทาง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้น
“ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา เธอไม่ได้ตระหนักเลยว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้ยังไม่จบลง คลื่นแห่งโชคชะตาจะผลักดันเธอไปยังเส้นทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง…”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองดูซางเจี้ยนเย่าด้วยความประหลาดใจ
“…ไหงจู่ๆ นายถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมาล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าจริงจัง
“อยู่ๆ ก็มีประโยคนี้วาบขึ้นมาในหัวผมน่ะ บางทีนี่อาจเป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งสวรรค์”
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังสงสัยอยู่นั้น หลงเยว่หงก็พูดขึ้นอย่างลังเล
“เหมือนว่าจะเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนแฮะ…
“ใช่แล้ว มาจากรายการวิทยุที่ออกอากาศนี่เอง!”
ซางเจี้ยนเย่าเพียงแค่เปลี่ยนชื่อบุคคลเท่านั้น!
สถานีวิทยุกระจายเสียงในแผนกนันทนาการของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ ‘รายงานข่าวประจำช่วงเวลา’ เท่านั้น แต่ยังมี ‘เพลงก่อนนอน’ และ ‘เรื่องเล่าเบ็ดเตล็ด’ อีกด้วย นี่เป็นหนึ่งในความบันเทิงเพียงไม่กี่อย่างที่ใช้บำรุงขวัญและกำลังใจของพนักงาน
สีหน้าจริงจังของซางเจี้ยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสขึ้นมาทันที
“ไม่คิดเหรอว่าประโยคเมื่อกี้มันเข้ากับสถานการณ์เป๊ะเลยนะ รู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับหัวเราะออกมา
“นายพากษ์เสียงเป็นด้วยเหรอเนี่ย
“อืม ทำได้ไม่เลว… ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีสภาพจิตดีขึ้นแล้วสินะ”
เธอกวาดตามองดูก็เห็นไป๋เฉินมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย
สาวน้อยรูปร่างเล็กกะทัดรัดยืนทื่ออยู่ ไม่รู้ว่าจะร่วมวงสนทนาอย่างไรดี
“กำลังรู้สึกเหมือนอ้างว้างเดียวดายนิดๆ ใช่ไหม แบบว่ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาตรงๆ ด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของไป๋เฉินเปลี่ยนไปสองสามครั้ง แล้วเม้มปากตามสัญชาตญาณ
“ที่จริงฉันก็เป็นคนนอกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
เนื่องจากเธอนั้นยังไม่ได้บรรจุเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการ ย่อมไม่สามารถปล่อยให้การออกอากาศทางสถานีวิทยุรั่วไหลไปถึงหูได้ ดังนั้นในบริเวณที่พักอาศัยของเธอจึงไม่มีการเชื่อมต่อการกระจายเสียงไปถึง
นี่จึงทำให้เธอไม่เข้าใจและตามไม่ทันหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอเคยเห็นลำโพงกระจายเสียงที่ใช้ในการออกคำสั่งในบางนิคมมาก่อน หรือเคยได้ยินการกระจายเสียงแจ้งข่าวในชั้นที่แผนกความมั่นคงตั้งอยู่ เธอก็อาจจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรคือ ‘ออกอากาศ’
เช่นเดียวกับที่นักล่าซากอารยะจำนวนมากต่างก็รู้ว่าอาคารที่พังถล่มลงมาในซากโรงงานเหล็กนั้นคือสถานีวิทยุกระจายเสียง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจนักว่าสถานีวิทยุกระจายเสียงคืออะไร
“อย่าพูดอย่างงั้นสิ พวกพนักงานระดับสูงหลายคนหรือแม้แต่ระดับผู้บริหารบางคนในบริษัทก็เคยเป็นพวกคนเร่ร่อนแดนร้างกันมาก่อนนะ ไว้พอเธอได้เป็นพนักงานอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ล่ะก็ เธอก็จะได้เข้าร่วมการจัดสรรจับคู่ ถึงตอนนั้นก็จะเป็นคนกันเอง เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนปลอบไป๋เฉินราวกับว่าได้ตระเตรียมคำพูดนี้ไว้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว
“นอกจากนั้นแล้วเธอคิดว่าสัมพันธภาพของพวกเรานั้นลึกซึ้งกว่า หรือว่าสัมพันธภาพระหว่างฉันกับพวกคณะกรรมการบริหารที่ไม่เคยได้ติดต่อไปมาหาสู่กันพวกนั้นจะลึกซึ้งกว่ากันล่ะ พวกเรานั้นเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน เปรียบเหมือนเป็นพี่สาวน้องสาวต่างแม่เลยก็ว่าได้ แล้วยังจะเป็นคนนอก เป็นคนอื่นคนไกลได้ไงกัน”
“อ้าว แล้วพวกเราล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าขัด
“พวกนายน่ะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดจริงจังราวสองวินาที “ตอนนี้ฉันยังพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้หรอกว่าพวกเราเป็นพี่สาวน้องชายต่างแม่กัน เพราะทีหลังไว้พอพวกนายได้จัดสรรจับคู่ แล้วเกิดมีใครซักคนได้จับคู่กับไป๋เฉินขึ้นมาล่ะ ยังจะเป็นพี่น้องกันหรือไง”
ไป๋เฉินเคยได้ยินคนเร่ร่อนแดนร้างรุ่นก่อนที่ได้เข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เล่าถึงการจัดสรรจับคู่มาแล้ว จึงอดจ้องมองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงสลับไปมาไม่ได้ สีหน้าเธอดูเหมือนจะไม่ค่อยยินดีสักเท่าไหร่
“ฉันเข้าใจดีว่าเธออาจจะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยอยู่บ้าง” ซางเจี้ยนเย่าพูดราวกับเข้าใจถึงความหมายของไป๋เฉิน
ด้วยประสบการณ์ ความรอบรู้ และความเยือกเย็นสุขุมของไป๋เฉิน กล้ามเนื้อใบหน้าของเธอจึงบิดเบี้ยวเพียงแค่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะระเบิดโมโหออกมาดี หรือว่าจะหัวเราะด้วยความฉุนเฉียวดี
“ปากนายนี่มันจริงๆ เลยนะ ต้องคนใจกว้างเป็นมหาสมุทรนั่นแหละถึงจะไม่ถือสาหาความด้วย นี่ถ้านายเป็นใบ้ไม่มีมือเท้า อาจจะมีคนชอบขึ้นมาบ้างล่ะมั้ง” เจี่ยงไป๋เหมียนถากถางซางเจี้ยนเย่าอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายวัน เธอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจซางเจี้ยนเย่ามากนัก เพราะได้ข้อสรุปมาแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างมีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำพูดลักษณะนี้
แต่หลงเยว่หงนั้นตรงกันข้าม เธอไม่อาจพูดแบบนี้กับเขาได้
ในฐานะหัวหน้าทีม เจี่ยงไป๋เหมียนย่อมเข้าใจดีว่าคนเรานั้นแตกต่างกัน จึงต้องใช้ต่างวิธีเพื่อรับมือกับแต่ละคน
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอนั้นเป็นที่ชื่นชอบในแผนกความมั่นคง
ในตอนที่เห็นไป๋เฉินมองสำรวจมาแล้วสีหน้าเปลี่ยนไป ทำให้หลงเยว่หงที่แต่เดิมนั้นรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยกว่าก็พลันหัวเราะออกมาเพราะซางเจี้ยนเย่า หมอกควันอึมครึมที่ปกคลุมในใจก็มลายหายสิ้น
ไป๋เฉินหันหน้ามาพูดกับหลงเยว่หง
“โทษทีนะ พอดีว่าฉันเพิ่งนึกถึงภาพที่ได้พวกนายสองคนมาเป็นสามีแล้วมันรู้สึกแปลกๆ น่ะ ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หลงเยว่หงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มและถามขึ้นมา
“แล้วต้องทำไงถึงจะไม่รู้สึกแปลกๆ ล่ะ”
“งั้นไว้ฉันจะหาโอกาสนอนกับพวกนายดูละกัน” ไป๋เฉินพูดแบบไม่ได้ใส่ใจ
“เฮ้ย!” หลงเยว่หงตกตะลึง
ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เลิกคิ้วพร้อมกัน
ไป๋เฉินไม่รู้ว่าทำไมตนเองจู่ๆ ก็อยากหัวเราะออกมา
“ในแดนธุลี เรื่องแบบนี้มันธรรมดามากเลยนะ
“ถ้าอยากนอนกับใครก็ต้องรีบทำให้เร็วที่สุด บ่อยครั้งที่สุด ถ้าขืนมัวแต่รอให้ถึงพรุ่งนี้ก็อาจมีใครซักคนตายไปก่อนจากสารพัดเหตุการณ์
“ฉันคิดอยู่ตลอดว่าหัวหน้าน่ะมีประสบการณ์ช่ำชอง แต่กลายเป็น…”
“ฮ่า ฮ่า” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ “ฉันไม่ได้สนใจด้านนี้เท่าไหร่น่ะ”
จากนั้นเธอก็มีสีหน้าบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิด
“เรื่องนี้ต้องจดบันทึกไว้ซักหน่อย
“นี่เป็นรูปแบบตามธรรมชาติประเภทหนึ่งของสังคมมนุษย์บนแดนธุลี ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตอันเลวร้ายหลังการล่มสลายของโลกเก่า”
หลังจากได้ ‘สนทนา’ ในหัวข้อนี้แล้ว ไป๋เฉินก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างตัวเธอกับเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และซางเจี้ยนเย่านั้นค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปอย่างมีนัยสำคัญ รู้สึกถึงความเป็นสหายศึกที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันอย่างแท้จริง
เมื่อครั้งที่เธอยังเป็นคนเร่ร่อนในแดนร้าง ก็เคยผ่านประสบการณ์เป็นตายกับคนอื่นๆ มามากมาย เพียงแต่ว่าเกือบทั้งหมดนั้นต่างเป็นเพราะถูกสภาพแวดล้อมและสถานการณ์บังคับ จึงไม่ได้เกิดความรู้สึกผูกพันฉันท์มิตรระหว่างกัน พอรอดพ้นอันตรายมาได้ก็อาจจะแว้งกัดลอบทำร้ายกันเองได้ตลอดเวลา
ดังนั้นแล้วแม้ว่าเธอจะเผชิญอันตรายสารพัดร่วมกับเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง เธอก็เพียงแค่รู้สึกยอมรับนับถือในความสามารถของเจี่ยงไป๋เหมียน กลัวเกรงพลังพิเศษของซางเจี้ยนเย่า เห็นอกเห็นใจหลงเยว่หงที่ต้องถูกบังคับให้เติบโตเข้มแข็ง แต่เธอก็ยังคงรักษาระยะห่างด้านความผูกพันกับพวกเขา
ขณะที่ไป๋เฉินถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันหันกลับมามองเธอและยิ้มที่มุมปาก
“เป็นไงบ้าง รู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกของทีมอย่างจริงๆ จังๆ แล้วหรือยัง”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของเจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉินก็ได้แต่หลับตาลง
“หัวหน้า…”
เธอไม่คิดเลยว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจะสามารถเข้าใจถึงสภาวะจิตใจของเธอได้แม่นยำขนาดนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ในฐานะหัวหน้าทีม นอกจากจะต้องพัฒนาทักษะความสามารถของพวกเธอทุกคนแล้ว ฉันก็ยังต้องคอยสอดส่องดูแลสภาวะจิตใจของพวกเธอด้วยเช่นกัน
“อย่าคิดว่าหน้าที่หลักฉันมีแค่ฝึกมือใหม่สองคนนี่ ไม่ใช่สิ ต้องเป็นตาทึ่มหนึ่งกับมือใหม่อีกหนึ่งต่างหาก
“ที่จริงแล้วฉันก็ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและการแสดงออกของเธอเหมือนกันนั่นแหละ หลังจากนี้ต่อไปพวกเรายังจะต้องเผชิญภยันตรายกันอีกนับไม่ถ้วน ยังจะต้องฝ่าฟันไปด้วยกันอีกนาน จะต้องคอยปกป้องซึ่งกันและกัน คอยระวังให้กันและกัน ความสัมพันธ์ของพวกเราจะต้องแน่นแฟ้นลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าพี่น้องในไส้เสียอีก
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกไปแล้วว่าทุกเรื่องที่ฉันตัดสินใจลงไป ล้วนแต่เพื่อทำให้สมาชิกทีมทุกคนมีชีวิตรอดไปได้ ประโยคนั้นไม่ใช่แค่บอกหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นนะ แต่รวมถึงเธอด้วย”
ไป๋เฉินยังคงนิ่งเงียบ เม้มริมฝีปาก มองดูเจี่ยงไป๋เหมียนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
“น่าเสียดายที่หัวหน้าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่งั้นคืนนี้ฉันจะไปนอนกับคุณ”
คนที่พูดประโยคนี้ออกมานั้นไม่ใช่ไป๋เฉิน แต่เป็นซางเจี้ยนเย่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ดัดเสียงเล็กเสียงน้อยพูดออกมา
ไป๋เฉินหันขวับไปด้วยความประหลาดใจทันที มองดูสหายผู้มักทำอะไรแผลงๆ เหนือสามัญสำนึก
“ช่วยพากษ์เสียงให้เธอน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างจริงใจ
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นซะหน่อย!” ไป๋เฉินเถียงออกมา แก้มเธอแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
“คิดไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” ซางเจี้ยนเย่าพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ
“ไอ้บ้า! หุบปากไปเลย!” ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ทนไม่ไหว ตะคอกใส่ด้วยความโมโหปนขบขัน “นายช่วยทำตัวจริงจังกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง”
ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้ว
“ผมก็จริงจังเกือบตลอดเวลานะ มีแค่บางครั้งที่ช่วยสร้างบรรยากาศเท่านั้นเอง
“แต่ก็มีนานๆ ทีที่ควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมมีใบรับรองแพทย์ยืนยันด้วยนะ!”
เขาพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“งั้นฉันต้องขอบใจนายเป็นอย่างยิ่ง!” เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันกรอด
จากเหตุการณ์เรื่องหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า ทำให้ไป๋เฉินและหลงเยว่หงพอจะเดาออกว่าทำไมบางครั้งความคิดของซางเจี้ยนเย่าถึงได้หลุดโลกผิดเพี้ยน จึงไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้ ปล่อยให้มันผ่านไป
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียน ‘พูดขอบใจ’ เสร็จ เธอพึมพำกับซางเจี้ยนเย่าหนึ่งประโยค
“ขอบใจจริงๆ ที่นายช่วยลบล้างความซาบซึ้งที่ไป๋เฉินมีให้น่ะ”
“…” ไป๋เฉินจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เหลือบมองไปยังหัวหน้าทีม ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว
หัวหน้า… อย่าเอาความซาบซึ้งในเรื่องนี้มาพูดได้ไหม!
น่าขายหน้าจะตาย!
เมื่อเห็นว่าในที่สุดบรรยากาศก็กลับกลายเป็นปกติ เจี่ยงไป๋เหมียนก็แอบหัวเราะออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือพูดขึ้น
“ไปกันเถอะ ออกเดินทาง!”
เมื่อพวกเขามาถึงเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของเมืองหนูดำก็ไม่ได้ย้อนกลับไปยังซากโรงงานเหล็กอีก แต่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทิศทางของเมืองฉีเฟิงซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
ฤดูใบไม้ร่วงมีฝนชุก รถจี๊ปแล่นไปจนเกือบเที่ยงวัน เมฆค่อยๆ หนาขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนโปรยปรายไปทั่วแดนร้าง
ฝนไม่ได้ตกหนักแต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกราวกับว่ามีหมอกฝ้าอยู่ในอากาศ ทำให้ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่นั้นมีทัศนวิสัยลดลง มองเห็นได้เพียงระยะใกล้ๆ
หลังจากนั้นไม่นานรถจี๊ปก็มาถึงแม่น้ำที่ค่อนข้างกว้าง ดูแล้วน่าจะลึกมาก
แม่น้ำสายนี้ชื่อว่า ‘แม่น้ำเขียว’ ที่ได้ชื่อนี้เป็นเพราะว่ามีสิ่งมีชีวิตประเภทสาหร่ายบางชนิดเติบโตอยู่ก้นแม่น้ำ นี่คือแม่น้ำสายหลักซึ่งเป็น ‘ลำน้ำมารดร’ ของสรรพชีวิตจำนวนมากในแดนร้างบึงดำ
ในเวลานี้สะพานข้ามแม่น้ำเขียวที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมมานานหลายปีได้พังทลายไปแล้ว ชิ้นส่วนเศษซากเกือบทั้งหมดตกลงไปในน้ำ
“ดูเหมือนว่ามีคนระเบิดสะพาน…” เจี่ยงไป๋เหมียนวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้วประเมินออกมา “พวกเราเลาะแม่น้ำแล้วหาสะพานอื่นข้ามไปก็แล้วกัน”
ทันทีที่พูดเสร็จเธอก็เห็นว่าด้านหลังซากเชิงสะพานมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
ในสายหมอกละเอียดอ่อนท่ามกลางหยาดฝนโปรยปราย คนผู้นี้สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำ ถุงมือสองข้างก็เป็นสีเดียวกัน ร่างสูง 180 เซนติเมตร หวีผมเสยไปด้านหลังอย่างประณีต
บนหลังของเขาสะพายปืนไรเฟิลกระบอกยาวสีเงินที่มีลักษณะแปลกตาเล็กน้อย ถือร่มสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างปล่อยลงตามธรรมชาติ ค่อยๆ เดินเข้าหารถจี๊ปอย่างช้าๆ ทีละก้าว
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนนัก แต่ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกว่าไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย
ไป๋เฉินที่กำลังจะหักพวงมาลัยเลี้ยวรถ ก็เหยียบเบรกหยุดรถโดยไม่รู้ตัว
เพียงไม่นานเท่าไหร่ คนผู้นั้นก็เดินมาถึงด้านหน้ารถ เผยให้เห็นถึงเส้นผมสีดำดวงตาสีทอง คิ้วตรงเป็นดาบ ดวงตาพร่างพรายราวกับดวงดาว ใบหน้าองอาจหล่อเหลามีโครงหน้าชัดเจน
เขาเคาะกระจกหน้าต่างด้านข้างฝั่งคนขับแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในที่สุดก็สลัดเจ้าสัตว์ประหลาดจอมตื๊อนั่นได้สักที
“ขอติดรถพวกคุณไปหน่อยได้ไหม”
* * * * *