รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 61 วาดรูป
ขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังครุ่นคิดถึงความหมายของประโยคสุดท้าย เจี่ยงไป๋เหมียนก็เขียนต่ออย่างรวดเร็ว
“เราต่างก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติปกติ แต่ชิปพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นี่หมายความว่า…”
เธอยังเขียนไม่จบประโยค ก็ค่อยๆ วางปากกาวางกระดาษแล้วยกมือเท้าคาง จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเฉียวชูอย่างหลงใหล
ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมา พยายามคาดเดาสาเหตุ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้หรือว่าควรทำอะไรดี นี่เป็นเพราะว่ามีพลังอำนาจบางอย่างที่คอยสะกดไม่ให้เขาคิดอะไรลึกซึ้งไปกว่านี้ ไม่ให้คิดว่าปัญหานั้นมาจากไหนหรือเกิดอะไรขึ้น เพียงให้เขามีความรู้สึกเลอะเลือน ว่าไม่อยากทำลายภาพอันงดงามเบื้องหน้านี้ไป
ต้นกำเนิดของพลังอำนาจนี้ไม่ได้มาจากภายนอก แต่มาจากจิตใจของเขาเอง
เมื่อโลกนี้มันลำเค็ญ ไยจึงไม่ปลอบประโลมตนเองให้เมามายด้วยความฝันอันงดงามเล่า
ตึง!
รถจี๊ปวิ่งไปตามที่เฉียวชูบัญชาการ ผ่านช่องว่างระหว่างกอเถาวัลย์สีเขียวแก่จำนวนมหาศาล ตัวถังรถจึงถูกขูดขีดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เถาวัลย์หนามสีแดงเหล่านี้ลากผ่านกระจกหน้าต่าง ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้มากมายนับไม่ถ้วน
ขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังค้นหาในระดับชั้นของความคิดอยู่นั้นก็มองออกไปด้านนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว ในสภาพแวดล้อมอันมืดมัวสลัวนั้น ก็พลันมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจกหน้าต่าง
จิตใจก็วูบไหวในทันที ดวงตาดำมืดลง เขาคิดจะใช้พลัง ‘คนไร้เหตุผล’ กับตัวเอง
ถ้าหากว่ามันบังเกิดผล เขาจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลทันที จะทำในสิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากความตั้งใจเดิมที่คิดเอาไว้ก่อนหน้าที่จะได้รับผลกระทบจากพลัง
อย่างเช่นว่าเขาไม่อาจจะทนดูเจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง จ้องมองเฉียวชู ต้องขอถอนตัว ขอแยกทางจากไป
อย่างเช่นว่าเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีอันตรายรอบด้านเช่นนี้ จะต้องโวยวายเพื่อให้อะไรอะไรชัดเจนขึ้น…
แล้วพอเกิดความผิดปกติขึ้นมา ก็จะทำให้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงก็ตาม แต่มันจะเผยให้เห็นถึงปัญหาบางประการ ช่วยทำให้ซางเจี้ยนเย่ากลับคืนสู่ ‘ความเป็นจริง’ ได้
ไม่กี่วินาทีถัดมา ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าก็กลับเป็นปกติ
เขาก้มมองดูมือตัวเอง แล้วมองดูเงาสะท้อนในกระจกหน้าต่างและส่ายหน้าเล็กน้อย
ความพยายามไม่ประสบผล
ดูเหมือนว่าพลัง ‘คนไร้เหตุผล’ นั้นแตกต่างไปจาก ‘ตัวตลกชักจูง’ มันไม่สามารถส่งผลต่อตัวเขาเองด้วยวิธีง่ายๆ อย่างการมองกระจกได้
ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาแล้วเริ่มขบคิดจริงจัง ในขณะที่เฉียวชูกำลังจดจ่ออยู่กับการกำกับให้ไป๋เฉินขับผ่านบึงน้ำที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์อันน่ากลัวจนไม่มีเวลาจะมาสนใจเขา
ทันใดนั้นเอง มุมปากซางเจี้ยนเย่าก็กระตุก และยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
ในสภาพแวดล้อมที่ขมุกขมัวน่าหดหู่เช่นนี้ เขายิ้มราวกับเป็นผู้ป่วยจิตเวช
ผ่านไปสิบวินาที สีหน้าของซางเจี้ยนเย่าก็กลับคืนเป็นปกติ
เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด และแล้วดวงตาค่อยๆ เป็นประกาย
จากนั้นก็มองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกหน้าต่างอีกครั้ง แล้วพูดพึมพำ
“เจี่ยงไป๋เหมียนมีขายาว ฉันก็มีขายาว…”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยิน ก็หันหน้ามามองด้วยความสงสัย
เธอยกมือขึ้นมาแตะอุปกรณ์ช่วยฟังที่หูซ้าย บ่งบอกว่าเธอนั้นได้ยินไม่ค่อยชัด
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนใจเธอ ยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป
“เจี่ยงไป๋เหมียนเก่งมาก ฉันก็เก่งมาก…”
เฉียวชูได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่า แต่ว่าเขาต้องจดจ่ออยู่กับการแยกแยะช่องว่างระหว่างกอเถาวัลย์ สภาพถนน และรายละเอียดของบึงน้ำ จึงไม่อาจเสียสมาธิได้ และอีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ซางเจี้ยนเย่าพูดนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ฟังแล้วเหมือนกับเมียน้อยขี้อิจฉาที่แอบพูดจากระทบกระเทียบภรรยาคนโปรด
หลงเยว่หงมองดูซางเจี้ยนเย่า ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
และเนื่องจากตัวเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์กระจ่างแจ้ง จึงไม่คิดที่จะเปิดเผยความลับของสหายเพื่อปกป้องเฉียวชูอย่างแน่นอน
ซางเจี้ยนเย่ามองเงาสะท้อนของตนในกระจกหน้าต่างรถ ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ
“ดังนั้น…”
วินาทีถัดมา เขาก็ตอบคำถามของตัวเอง
“พวกเราก็เป็นเหมือนกันนะสิ”
สีหน้าของซางเจี้ยนเย่าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง มันบิดเบี้ยวเล็กน้อยราวกับว่าเขาพยายามสะกดกลั้นอะไรบางอย่างอยู่
“เมื่อกี้เขาพูดอะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามหลงเยว่หงขณะที่สายตายังจับจ้องซางเจี้ยนเย่า
“เขาบอกว่าคุณมีขายาว เขาก็มีขายาว คุณเก่งมาก เขาก็เก่งมาก ดังนั้นเขาก็เหมือนกับคุณ” หลงเยว่หงพูดซ้ำในประเด็นสำคัญ
เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปากค้าง อยากจะแย้งประโยคสุดท้ายออกไปสักคำ แต่ก็รีบหุบปากโดยไว
สองสามวินาทีหลังจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมาแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“นายหมายถึงอะไรล่ะเนี่ย”
เมื่อเห็นว่าทีมสี่คนนี้ไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับคำพูดของซางเจี้ยนเย่าและพูดคุยกันอย่างเปิดเผยไม่ได้ปิดบังอำพราง เฉียวชูที่กำลังวุ่นจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นจึงไม่ได้แบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องแทรกเล็กๆ น้อยๆ นี้อีก
แล้วในตอนนี้เอง ก้นของซางเจี้ยนเย่าก็ลอยขึ้นจากที่นั่ง เขาโน้มตัวไปข้างหน้า คว้าจับไหล่เฉียวชูเอาไว้
เฉียวชูคิดจะเอื้อมมือไปล้วงปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ จากซองปืนที่เอวตามจิตสำนึก แต่ก็พบว่าตนเองยกมือขวาขึ้นมาไม่ได้
นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเขาไม่มีแรง แล้วก็ไม่ได้เป็นเพราะซางเจี้ยนเย่าจับไหล่ของเขาไว้จึงทำให้ข้อต่อถูกล็อคขยับไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ราวกับว่าเขาไม่เคยมีความสามารถในการยกมือขวามาก่อน
เฉียวชูพลันรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยียบที่หลั่งออกมาจนชุ่มแผ่นหลัง หันหน้ากลับมามองซางเจี้ยนเย่าที่เบาะหลังตามสัญชาตญาณทันที
“คุณจะทำอะไร”
ซางเจี้ยนเย่าจับไหล่เขาไว้และจ้องมองด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือ รอยยิ้มวิปริตปรากฏอยู่บนใบหน้า
“ผมอยากมีอะไรกับคุณ!”
ปากของเจี่ยงไป๋เหมียนอ้าเผยอเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะด่าเขา หัวเราะเขา หรือหยุดยั้งการกระทำของเขาดี
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็ประหลาดใจและงุนงง รู้สึกราวกับได้เห็นเทพเซียนมาจุติ ไม่ใช่สิ… ปิศาจร้ายโผล่มาบนโลกต่างหาก!
สีหน้าของเฉียวชูเหยเกแต่ก็ไม่ได้หน้าแดง ราวกับว่าเขาเคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว
ทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นเล็กน้อยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้นมาในดวงตาสีทองคู่นั้น
เฉียวชูด้านหนึ่งก็พยายามขัดขืนแรงซางเจี้ยนเย่าที่ดึงเขาไปด้านหลัง อีกด้านหนึ่งก็หันหน้าไปพูดกับไป๋เฉินเบาๆ
“เอาของเล่นให้เขาหน่อย”
ไป๋เฉินยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เหยียบเบรคด้วยความเคยชิน
เธอเปิดกล่องเก็บของที่วางแขนคอนโซลกลาง แล้วก็หยิบปากกาลูกลื่นกับกระดาษออกมาสองสามแผ่น
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว เขารีบเปลี่ยนตำแหน่งของมือ
มือซ้ายคว้าจับคอเฉียวชูเอาไว้แน่น มือขวากำหมัดเตรียมจะชกบริเวณใต้กกหูของอีกฝ่ายเพื่อทำให้มึนงงและไม่ต่อต้านขัดขืนอีก
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ร่างกายของเฉียวชูก็พลันอ่อนยวบราวกับเป็นงูเหลือมยักษ์ในรูปร่างมนุษย์
เขาหดตัวแล้วส่ายไปมาจนลำคอเลื่อนหลุดออกจากอุ้งมือของซางเจี้ยนเย่าได้อย่างแปลกประหลาด
แล้วเขาก็รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันที
“วาดรูปเล่นดีไหม”
การเคลื่อนไหวของซางเจี้ยนเย่าหยุดชะงักทันที สีหน้าแสดงถึงความสงสัยและงุนงงอย่างชัดเจน
จากนั้นก็มองไปที่ไป๋เฉิน หยิบปากกาและกระดาษจากมือของเธอ ใบหน้าฉายรอยยิ้มจางๆ
เมื่อได้รับปากกาและกระดาษมาแล้ว ซางเจี้ยนเย่ารีบนั่งลงด้วยความรีบร้อน แล้วใช้ต้นขาต่างเบาะสำหรับรองวาดรูป
เขาแสดงท่าทางจดจ่อ นิ่งเงียบราวกับเด็กๆ ที่กำลังถูกครอบงำด้วยกิจกรรมอดิเรก
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉียวชูก็ถอนใจโล่งอก
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างเย็นชา แล้วยิ้มโดยไม่มีรอยยิ้ม
“ที่แท้พวกคุณก็มีผู้ตื่นรู้อยู่ด้วยนี่เอง
“แต่น่าเสียดายที่ผมเองก็เป็นผู้ตื่นรู้เหมือนกัน”
มือของเขานั้นกลับมาใช้งานได้เป็นปกติแล้ว มือขวากำด้ามปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ เอาไว้
นี่เป็นปืนพกของเขาเอง
หลังจากที่ลังเลอยู่สองสามวินาที เฉียวชูก็เลิกล้มความคิดจะยิงซางเจี้ยนเย่าทิ้ง เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“ต้องขอบคุณที่ผมเป็นคนใจดีมีเมตตาและอดทนอดกลั้นนะ นอกจากนั้นผมก็ยังต้องใช้ประโยชน์จากพวกคุณอยู่อีก
“ความคลั่งไคล้ของคุณเนี่ยผมยอมรับไม่ได้หรอก แต่ก็เข้าใจได้แหละ ขนาดเจ้าม้านั่นก็ยังไล่ตามผมมาเป็นร้อยกิโลเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วรู้สึกประทับใจมาก ชื่นชมออกมาอย่างหมดใจ
“น่าประทับใจจัง”
“น่าประทับใจจัง” ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังก้มหน้าก้มตาวาดภาพอยู่ก็พูดตามเจี่ยงไป๋เหมียนโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามออกมา
“คุณมาจากไหนเหรอ”
“คุณมาจากไหนเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ายังคงพูดตาม
เจี่ยงไป๋เหมียนอดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ หลังจากคิดอยู่สองสามวินาทีก็ร้อง “อ้อ” ออกมา
“ฉันมีนม แต่นายไม่มีย่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะพูดตาม แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นสับสนขึ้นมา
เขานิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะกลับไปจมจ่อมกับการวาดรูปเช่นเดิม
ในตอนนี้เฉียวชูก็ยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วตอบคำถามเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยเสียงทุ้ม
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณควรรู้”
“เข้าใจแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ แล้วก็ยิ้มหวานออกมา
จากนั้นเฉียวชูหันไปทางไป๋เฉินที่เหยียบเบรคไว้ก่อนหน้านี้
“ขับต่อไป”
ไป๋เฉินไม่ได้โต้แย้ง
ภายใต้การบัญชาการของเฉียวชู พวกเขาก็เดินทางผ่าน ‘ป่าเถาวัลย์’ มุ่งสู่ส่วนลึกของบึงน้ำอีกครั้ง
ในระหว่างนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไปจนกระทั่งวาดเสร็จ
แล้วเขาก็เหมือนกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน จ้องมองดูภาพวาดขยุกขยุยแบบเด็กวาดเล่นในมือด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นก็เงยหน้ามองท้ายทอยของเฉียวชู นิ่งเงียบงันไม่พูดไม่จา
เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวินาที อาการของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนหลงเยว่หงและคนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่ลืมพับรูปวาดในมือก่อนจะสอดเก็บในกระเป๋าเสื้อ
เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามแอบดูว่าซางเจี้ยนเย่าวาดอะไร แต่ก็ไม่สำเร็จ
หลังจากเดินทางต่อไปอีกไม่กี่ชั่วโมง ฝูงยุงที่มีหัวสีแดงเข้มตัวขนาดเท่านิ้วมือก็บินกรูออกมาจากเถาวัลย์สีเขียวแก่ที่มีจุดแดงประปราย
“ซวยชะมัด…” เมื่อเฉียวชูเห็นเข้าก็อดสบถไม่ได้ ร่างของไป๋เฉินเองก็เกร็งขึ้นมาตามสัญชาตญาณทันที
หนึ่งฝูง สองฝูง สามฝูง ยุงยักษ์บินออกมาจากเถาวัลย์มากขึ้นทุกที รวมตัวกันกลายเป็นผืนสีดำทะมึน
ยุงหัวสีแดงเข้มที่ดุร้ายพวกนี้รวมตัวกันจนเป็นเหมือนควันสีดำที่ฟุ้งกระจายปกคลุมท้องฟ้าอย่างหนาแน่นจนไม่มีที่ว่าง
ภาพเบื้องหน้าเช่นนี้ดูราวกับว่าพวกมันเป็นกองทัพจากนรก หรือไม่ก็คำสาปจากโลกเก่า
“ปิดหน้าต่างให้แน่น รีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” เฉียวชูออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ