รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 62 อุโมงค์
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง เคยได้ยินไป๋เฉินพูดถึงยุงกลายพันธุ์มาก่อน จึงรู้ว่าเป็นเรื่องอันตรายขนาดไหนเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับพวกมันโดยไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า
พวกมันจะออกหากินกันเป็นฝูงใหญ่ ความเร็วในการบินก็ไม่ชักช้า
นอกจากนั้นพวกมันก็ยังทนทานต่ออุณหภูมิสูงต่ำได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย
เนื่องจากลำตัวที่มีขนาดค่อนข้างเล็กจึงยากที่จะยิงให้ถูกเป้าหมาย นอกเสียจากว่าจะเป็นนักแม่นปืนหรือเป็นฝูงยุงที่อยู่กันเบียดเสียดหนาแน่น แต่เนื่องจากจำนวนอันมากมายมหาศาล พวกมันจึงย่อมไม่สนใจว่าจะตกตายลงไปมากเพียงใด ไม่ว่าอย่างไรจำนวนลูกกระสุนและลูกระเบิดแบบทั่วไปที่แต่ละทีมพกพาไว้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับจำนวนประชากรของยุงอย่างแน่นอน
โดยปกติพวกมันอาศัยน้ำหล่อเลี้ยงในต้นไม้เพื่อยังชีพ แต่ก็กระหายเลือดด้วย มีความสามารถดิ้นรนเอาชีวิตรอดที่แข็งแกร่งและยังดุร้ายเป็นอย่างมาก
พวกมันไร้สมอง ต่อให้ตายไปเกินครึ่งก็ยังคงดาหน้าเข้ามาเพื่อดูดกินโลหิต
เมื่อมันกัดก็จะปล่อยสารพิษที่ทำให้ร่างกายของทั้งมนุษย์และสัตว์เป็นอัมพาต ความคิดอ่านช้าลง
เมื่อเทียบกับยุงปกติที่ไม่ได้กลายพันธุ์ ปากของมันยาวกว่า แข็งกว่า และคมกว่า สามารถเจาะทะลุเส้นใยของเสื้อผ้าแล้วแทงเข้าไปในผิวหนังของเป้าหมายได้…
สำหรับเหล่านักล่าซากอารยะและคนเร่ร่อนแดนร้างทั้งหลายแล้ว นี่คือคลื่นนรกโลกันต์ที่กลืนกินชีวิต หากต้องเผชิญกับยุงกลายพันธุ์ก็ยากจะหลบหนีได้ ถึงแม้จะมีคนจำนวนมากก็ตามที
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายที่สุดในแดนธุลี แน่นอนว่ามนุษย์ย่อมไม่อาจต้านทานยุงกลายพันธุ์เหล่านี้ได้ แต่ปัญหานี้ยังมีทางแก้ด้วยอุปกรณ์ชนิดพิเศษ อย่างเช่นเครื่องพ่นไฟ, ปืนพ่นยากันยุงชนิดพิเศษ, ‘กระสุนกำจัดหญ้า’ ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’, ชุดป้องกันชีวเคมีแบบหุ้มมิดทั้งตัวเพื่อป้องกันแก๊ซพิษ, ระเบิดเพลิงจำนวนที่มากพอ, เทคโนโลยีชุดเกราะเคลื่อนไหวอัตโนมัติที่ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม, ระเบิดอานุภาพร้ายแรงจากโลกเก่าที่สร้างความร้อนสูงในบริเวณโดยรอบของศูนย์กลางการระเบิด…
แต่โชคร้ายที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่มีอุปกรณ์พวกนี้แม้แต่ชิ้นเดียว
ทว่ายังมีโชคดีในโชคร้าย นั่นคือรถจี๊ปที่พวกเขาขับนั้นถูกปิดผนึกเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่ฝูงยุงกลายพันธ์พวกนี้จะเจาะทำลายเข้ามาได้ นอกจากนั้นรถคันนี้ก็ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงไม่กลัวว่าฝูงยุงจะเข้าไปอุดในท่อไอเสียหรือที่อื่นๆ และปากของยุงกลายพันธุ์พวกนี้ก็ไม่ได้แข็งแรงพอที่จะเจาะยางรถจนรั่ว
นี่ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ แต่ทว่าในขณะเดียวกันก็มีข่าวร้ายด้วยเช่นกัน
ระบบระบายอากาศต้องถูกปิดให้สนิท ไม่อย่างนั้นมันจะถูกฝูงยุงกลายพันธุ์เข้ามาอุดไว้
แต่การปิดระบบระบายอากาศจะทำให้อากาศในรถหมดลงอย่างรวดเร็วจนทนกันไม่ได้ พวกเขาจะต้องรีบฝ่า ‘วงล้อม’ ของฝูงยุงกลายพันธุ์ออกไปให้ได้ก่อนจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น
ไป๋เฉินเคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นตั้งแต่ก่อนที่เฉียวชูจะออกคำสั่ง เธอก็ปิดหน้าต่างและระบบระบายอากาศเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ไป๋เฉินเหยียบคันเร่งต่อไป ขณะเดียวกันก็ปลอบใจคนอื่นๆ ในรถด้วยความเคยชิน
“ไม่ต้องกลัว ยุงกลายพันธุ์พวกนี้ไม่ออกห่างจากกอไม้รก เดี๋ยวพอเราออกจากดงเถาวัลย์นี้ไปได้ พวกมันก็เลิกตามไปเอง”
“ซ้าย…” เฉียวชูพยักหน้ารับและบอกทิศทางที่ต้องไป
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดก่อนพูดพึมพำออกมา
“แม้แต่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เองก็ยังมีสัญชาตญาณเพื่อขยายจำนวนประชากร ดังนั้นยุงพวกนี้ก็เลยไม่ออกห่างจากกอไม้รก… นี่เป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน ส่วนเลือดคนเลือดสัตว์ก็เป็นแค่ของหวานที่ดึงดูดล่อใจแค่นั้นเอง…
“นั่นสินะ โลกเก่าถูกทำลายไปนานหลายปีแล้ว พวกกลายพันธุ์ที่ไม่มีสัญชาตญานการแพร่พันธุ์ก็น่าจะตายหมดเกลี้ยงไปตั้งนานแล้ว…”
เฉียวชูไม่ได้สนใจเจี่ยงไป๋เหมียนที่บ่นพึมพำกับตัวเอง เขาเพิ่มสมาธิเพื่อแยกแยะเส้นทางที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์สีเขียวแก่
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นรถจี๊ปก็เคลื่อนตัวเข้าปะทะกับฝูงยุง
ตึง! ตึง! ตึง!
ยุงหัวสีแดงเข้มตัวขนาดเท่านิ้วมือราวกับเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด โดยใช้ตัวเองเป็นระเบิดพลีชีพชนเข้ากับกระจกหน้ารถตัวแล้วตัวเล่า
ในสายตาของซางเจี้ยนเย่า นี่คล้ายกับพายุฝนที่เขาเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตตอนที่อยู่เมืองน้ำล้อม ‘หยดน้ำ’ จำนวนนับไม่ถ้วนกระทบเข้ากับหน้าต่างรถอย่างแรง
แต่ที่ต่างไปจากสายฝนก็คือ ‘หยดน้ำ’ พวกนี้ไม่ได้เลื่อนไหลลงไป แต่เกาะติดแน่นอยู่บนกระจก
ตึง! ตึง! ตึง!
ท่ามกลางเสียงกระทบที่ดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นกระจกหน้ารถหรือกระจกหน้าต่างสองข้างต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยยุงยักษ์สีดำหัวแดงมีระยางค์ปากที่น่าเกลียดน่ากลัว เบียดอัดกันแน่นจนทำให้รู้สึกขนหัวลุก
ทั้งไป๋เฉินและเฉียวชูต่างก็มองไม่เห็นถนนด้านหน้า รถจี๊ปเคลื่อนตัวราวกับเป็นม้าป่าที่สูญเสียการควบคุมวิ่งอยู่ริมผา ไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปไหน
ใบหน้าหลงเยว่หงพลันขาวซีดในทันที อยากจะช่วยเหลือเพื่อให้ตัวเองรอด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือควรจะช่วยอย่างไรดี
ร่างเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าหดเกร็ง สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและสับสน ดูเหมือนว่าสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดและการหลั่งฮอร์โมนเมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นความตายทำให้พวกเขาตระหนักถึงความผิดปกติของสถานการณ์ในปัจจุบันอีกครั้ง
ในตอนนี้เฉียวชูไม่ได้มองทางข้างหน้าอีกต่อไปแล้ว เขาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตนเองตลอดเวลา
บนหน้าปัดนาฬิกามีเข็มทิศฝังอยู่
“ไปทาง 3 นาฬิกา 12 นาที” ราวกับว่าเฉียวชูวาดแผนที่ของบึงน้ำส่วนลึกไว้ในใจแล้ว เขาจึงกลายเป็น ‘เครื่องนำทางในร่างมนุษย์’
ไป๋เฉินไม่ได้รู้สึกแปลกกับวิธีการใช้ตำแหน่งนาฬิกาเพื่อระบุทิศทาง เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยระบุทิศทางที่ละเอียดถึงขนาดนี้มาก่อน เธอจึงตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและหมุนพวงมาลัย
แต่เนื่องจากมีฝูงยุงกลายพันธุ์บังอยู่ด้านหน้า เธอจึงไม่สามารถขับไปตามการ ‘นำทาง’ ได้อย่างแม่นยำ มีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง
เฉียวชูเองก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนักเพราะเขารู้ว่ามนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้ติดตั้งชิปพิเศษหรือว่าไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรมในด้านนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องทำนองนี้ในขณะที่กำลังขับรถด้วยความเร็ว ดังนั้นเขาจึงต้องระบุทิศทางอย่างละเอียดเพื่อให้ความคลาดเคลื่อนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
แล้วซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น
“สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเพื่อขับรถได้นะ”
เฉียวชูเคยเห็นชุดเกราะกระดูกเสริมแรงที่เก็บไว้ท้ายรถมาก่อนแล้ว จึงพยักหน้าหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“รีบใส่ซะ”
โดยทั่วไปแล้วชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจะมีความสามารถระบุตำแหน่งอย่างละเอียด ซึ่งจะผนวกรวมอยู่ใน ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สวมใส่ผ่านชิปเสริม
“ให้ฉันเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนอาสา
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้แย้ง พวกเขารีบเอี้ยวตัวกลับไปช่วยกันลากชุดเกราะออกมาจากท้ายรถ
ด้วยความช่วยเหลือจากสองหนุ่ม เจี่ยงไปเหมียนจึงปรับขนาดความยาวของชุดเกราะได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สวมใส่เข้าไป
“เรียบร้อย” หลังจากที่ระบบตรวจสอบตัวเองทำงานเสร็จสิ้น เธอก็รีบบอก
“หยุดรถ” เฉียวชูละสายตาจากนาฬิกาข้อมือ
ไป๋เฉินเหยียบเบรคทันทีอย่างไม่ลังเล
เสียงห้ามล้อดังขึ้น รถจี๊ปก็หยุดกึกทันที ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ต่างก็ถูกแรงเฉื่อยผลักไปด้านหน้า แต่ยังดีที่พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ยุงกลายพันธุ์ที่ติดคาอยู่บนกระจกหน้ารถและกระจกหน้าต่างด้านข้างปลิวหลุดออกไป
ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย แต่เธอสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไว้จึงสามารถต้านทานแรงเฉื่อยได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่รถหยุด ไป๋เฉินก็รีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกทันที ต่อมาก็เข้าเกียร์ว่างแล้วดึงเบรคมือ
จากนั้นก็ปีนข้ามไปยังเบาะหลังทางกล่องที่พักแขน
เจี่ยงไป๋เหมียนยื่นมือที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปรับไป๋เฉินมาวางไว้ข้างหลงเยว่หง
แล้วเธอก็ใช้ ‘เส้นทาง’ ที่ไป๋เฉินใช้ ปีนข้ามไปยังตำแหน่งคนขับอย่างรวดเร็ว
ตึง! ตึง! ตึง!
ฝูงยุงกลายพันธุ์หัวแดงบินพุ่งชนกระแทกกระจกหน้าต่างรถอีกครั้ง พวกมันบินออกันมืดฟ้ามัวดิน
ด้านหลังเจี่ยงไป๋เหมียนมีกล่องพลังงานสะพายหลังของชุดเกราะจึงไม่สามารถเอนหลังได้ ต้องนั่งโน้มตัวไปด้านหน้า จากนั้นก็สตาร์ทรถจี๊ปใหม่
ขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัย ก็ใช้อีกมือหนึ่งควบคุมพวงมาลัย
เฉียวชูก้มหน้าลงไปอีกครั้ง มองเข็มทิศบนนาฬิกาเพื่อแยกแยะความเปลี่ยนแปลง ยังคงใช้ตำแหน่งเข็มนาฬิกาเพื่อบอกทิศทางอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมีชิปผู้ช่วย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงควบคุมทิศทางรถได้อย่างแม่นยำ สภาวะแวดล้อมเลวร้ายที่เต็มไปด้วยยุงกลายพันธุ์ดำทะมึนเช่นนี้ เธอบังคับรถจี๊ปให้แล่นผ่านบึงน้ำและเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยภยันอันตราย
ในสภาวะที่ต้องใช้สมาธิจดจ่ออย่างสูง เวลาที่ไหลผ่านไปก็ราวกลับกลายเป็นพร่าเลือน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เมื่อตอนซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เริ่มวิตกกันมากขึ้น ยุงยักษ์ที่เกาะติดบนกระจกหน้ารถและกระจกหน้าต่างสองด้านก็ค่อยๆ ทยอยบินจากไปทีละตัว
ในไม่ช้าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์พวกนี้ก็ผละจากรถจี๊ป บินกลับไปด้วยความ ‘อาลัยอาวรณ์’ จนหมดสิ้น
ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน มองเห็นเพียงโคลนสีดำบริสุทธิ์สุดลูกหูลูกตาอยู่เบื้องหน้า ไม่มีพืชพรรณใดๆ งอกเงยขึ้นมา บางครั้งบางคราวก็มีฟองอากาศปุดขึ้นบนผิวโคลน
“2 นาฬิกา 24” เฉียวชูเงยศีรษะขึ้นมองทางด้านหน้าโดยไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงของเข็มทิศบนนาฬิกาอีกต่อไป
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนหักพวงมาลัย ทุกคนในรถก็เห็นถนนที่ลาดลงไป
มันลาดลงไปในบึงน้ำ มีหลุมมืดขนาดใหญ่รออยู่ปลายทาง
“ขับเข้าไป” เฉียวชูออกคำสั่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงก็ขับรถจี๊ปแล่นลงไปตามถนนเส้นนั้นอย่างไม่ลังเล
พื้นถนนเป็นโคลนสีดำอ่อนนุ่มเหม็นเน่า ล้อรถจึงจมลงไปค่อนข้างมาก แต่ดูเหมือนว่าลึกลงไปใต้โคลนนั้นมีสิ่งที่แข็งกว่าคอยรองรับไว้ ทำให้รถจี๊ปที่มีน้ำหนักมากสามารถทรงตัวอยู่ได้
ในไม่ช้ารถก็แล่นเข้าไปในหลุม ขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดระบบระบายอากาศและไฟหน้ารถ
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ต่างพากันสูดหายใจลึก มองดูภาพด้านนอกผ่านกระจกหน้าต่าง
ถ้ำนั้นมืดสนิท มีเพียงเสียงหยดน้ำกระทบพื้นดังเป็นระยะ ไฟหน้ารถส่องให้เห็นผนังหินและถนนที่ค่อนข้างเรียบซึ่งเปื้อนโคลนประปรายเป็นหย่อมๆ
“ดูไม่เหมือนทางที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ” ขณะที่ขับรถ เจี่ยงไป๋เหมียนก็แสดงความคิดเห็นออกมาหนึ่งประโยค
“เป็นอุโมงค์ใต้ดินจากโลกเก่าน่ะ” เฉียวชูตอบเพียงสั้นๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ คิดสองสามวินาทีก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่มีตะไคร่ขึ้นเลย นี่มันน่าแปลกไปหน่อย…
“หรือว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมก่อนหน้านี้ไม่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตงั้นเหรอ”
เฉียวชูไม่สนใจเธอ พูดเรียบๆ
“ขับตรงไป”
ภายในอุโมงค์แต่เดิมนั้นเงียบสนิท แต่บางครั้งรถก็กระแทกกับหลุมบ่อขรุขระบนพื้น จึงทำให้มีเสียงดังขึ้นเป็นระยะ ทว่าเสียงนั้นดังเข้าไปในอุโมงค์ด้านในโดยไม่มีเสียงสะท้อนกลับมา
ในความเงียบที่จมลึกและแปลกประหลาดเช่นนี้ ทั้งซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา พวกเขาราวกับกำลังมุ่งหน้าไปยังสุดขอบโลก
ผ่านไปหลายนาทีก่อนจะค่อยๆ มีแสงสว่างปรากฏอยู่เบื้องหน้า ในไม่ช้าแสงนั้นก็ก่อตัวแนวโค้งเป็นปากทางออก
เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหมวกเกราะและแว่นนิรภัยไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความมืดมาเป็นแสงสว่างจ้า เธอรีบแล่นรถให้ออกจากอุโมงค์
ดวงอาทิตย์ด้านนอกนั้นคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว แสงอาทิตย์อัสดงส่องกระทบพื้นจนดูประหนึ่งว่ามันฉาบด้วยทองคำ
มีอาคารสูงหลายสิบเมตรหลายร้อยเมตรอยู่ออกไปไม่ไกลมากนัก พวกมันตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวยาวไปจนสุดสายตา ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมา
อาคารพวกนี้อาบไล้แสงอาทิตย์สีส้มแดง ดูราวกับป่าคอนกรีตที่ไร้ชีวิตชีวา