รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 64 ค่ำคืน
“สถาบันวิจัยที่แปด…” เจี่ยงไป๋เหมียนทวนคำเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับองค์กรดังกล่าวมาก่อน
ทั้งไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หงก็เช่นกัน พวกเขาต่างก็มองไปยังเฉียวชูด้วยความชื่นชมยิ่งขึ้น
ความเป็นมาอันลึกลับควบคู่กับพลังที่แข็งแกร่งเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้คนหลงใหลมาแต่ไหนแต่ไร
ริมฝีปากของเจี่ยงไป๋เหมียนในหมวกเกราะขยับเล็กน้อยราวกับว่าเธอกำลังเรียบเรียงคำพูด เธออยากถามว่าสถาบันวิจัยที่แปดอยู่ที่ไหน ได้รับสืบทอดเทคโนโลยีอะไรมา มีความสัมพันธ์อะไรกับโลกเก่า ทำไมถึงได้ส่งเจ้าหน้าที่พิเศษเข้ามาที่ซากเมืองในส่วนลึกของบึงน้ำใหญ่
แต่ก่อนที่เธอจะได้ถาม เฉียวชูก็หันกายเดินไปด้านขวา เหลือเพียงคำพูดเบาๆ ทิ้งเอาไว้
“ถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเก็บซะ ประหยัดแบตไว้ก่อน”
“ได้เลย” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย
เธอมีความตั้งใจจะทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
พลังงานทั้งหมดที่เก็บไว้ในแผงชาร์จพลังแสงอาทิตย์ถูกนำไปใช้กับรถจี๊ปจนหมดแล้ว และในขณะนี้ก็เป็นเวลากลางคืนที่ไม่อาจชาร์จพลังได้อีก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเพื่อเก็บพลังงานสำรองเอาไว้ แต่ในซากเมืองของโลกเก่าที่แปลกประหลาดเช่นนี้ การที่มีพลังงานเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่เตรียมพร้อมอะไรไว้เลย
ระหว่างที่ไป๋เฉินช่วยเจี่ยงไป๋เหมียนถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรง ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็หันมองสำรวจไปรอบๆ
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาพวกเขาก็คือหน้าจอ LCD ที่มีขนาดใหญ่กว่าจอที่อยู่ใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ ชั้น 495 อย่างน้อยสองเท่า มันแขวนอยู่ที่ผนังเบื้องหน้าเยื้องไปทางด้านขวา ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
“นี่มันของดีชะมัด…” หลงเยว่หงพูดด้วยความหวั่นไหว กระหายอยากไปไขว่คว้ามา
ถ้าหากหยิบกลับไปที่บริษัท ไม่ใช่สิ… ขนกลับไปที่บริษัท ถึงจะพังแล้วก็เถอะ ไม่รู้ว่าจะแลกแต้มส่วนร่วมได้กี่แต้มนะ
ถึงแม้ว่าข้าวของพวกนี้ต้องนำส่งบริษัท แต่ก็จะได้รับรางวัลตามความเหมาะสมด้วยเช่นกัน
เฉียวชูเดินไปยังหน้าต่างด้านขวาสุดและเหลือบมองหลงเยว่หงก่อนจะพูดออกมา
“อาคารที่คุณเพิ่งเห็นเมื่อกี้ ด้านหลังกระจกหน้าต่างส่วนใหญ่ก็มีจอภาพแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
หลงเยว่หงย้อนนึกถึงอาคารสูงระฟ้าที่เพิ่งเห็น ร้องโพล่งออกมาทันที
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
เขาถามเฉียวชูด้วยความสงสัย
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มแล้วพูดแทรก
“ความหมายก็คือ ถึงแม้จะเก็บขยะ แต่ต้องเลือกเอาของที่มีค่ามากกว่าไงล่ะ!”
“นี่มัน ‘บ่อทอง’ ชัดๆ” ไป๋เฉินเสริมด้วยคำพูดที่ใช้กันในหมู่คนเร่ร่อนแดนร้าง
‘บ่อทอง’ หมายถึงพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรมากมายเหลือเฟือ เมื่อได้เข้ามาเก็บเกี่ยวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปค้นหาข้าวของที่อื่นอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
แต่ทว่าสิ่งของที่จะนำกลับไปได้ในแต่ละครั้งนั้นมีจำนวนจำกัด ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงต้องเลือกสิ่งของอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเข้ามาสำรวจของตน
นี่ก็เช่นเดียวกับการเข้าไปในบ่อทอง เมื่อเข้าไปแล้วย่อมต้องเลือกหยิบทองคำใส่กระเป๋า ไม่ใช่หยิบหินธรรมดา
หลงเยว่หงคิดตามและเห็นด้วยกับซางเจี้ยนเย่า เขามองสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวต่อไป
ด้านล่างของจอ LCD มีตู้ไม้ทรงเตี้ยแต่ยาว มีคราบสกปรกเปื้อนอยู่เต็มไปหมดจนดูเป็นสีเทา แทบจะดูไม่ออกเลยว่าแต่เดิมนั้นเป็นสีขาวนวล
บนตู้ไม้เตี้ยนั้นมีแก้วน้ำสีเขียวมรกต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สองชิ้นที่มีขนาดเท่าฝ่ามือและสายไฟสองเส้นติดอยู่ แจกันคอยาวทำจากแก้วใส
ในแจกันมีน้ำสกปรกเหลืออยู่หนึ่งในสาม และมีเศษสีดำลอยอยู่
นี่สอดคล้องกับการประเมินของเจี่ยงไป๋เหมียนก่อนหน้านี้
ถ้าหากว่าเมืองนี้ไม่ได้รับการ ‘ดูแล’ มาตั้งแต่ครั้งที่โลกเก่าถูกทำลาย น้ำในแจกันต้องระเหยแห้งไปหมดตั้งนานแล้ว หน้าต่างถูกปิดไว้ ห้องก็แห้งสนิท ดูแล้วไม่เหมือนว่ามีฝนสาดเข้ามาเลย
ผนังด้านตรงข้ามกับจอ LCD มีโต๊ะวางถ้วยชาสีเดียวกับตู้ไม้เตี้ย บนโต๊ะมีแก้วน้ำสกปรกวางอยู่ และกระดาษทิชชู่ในห่อสีดำหนึ่งห่อ
ด้านซ้ายของโต๊ะวางถ้วยชามีถังขยะที่มีรูเล็กๆ เป็นวงๆ ข้างในถังมีถุงพลาสติกโปร่งแสงสีฟ้า อีกด้านของโต๊ะวางถ้วยชาเป็นโซฟาผ้าที่ดูสกปรก มองไม่ออกว่าสีเดิมนั้นเป็นม่วงอ่อนหรือเทาแก่กันแน่
ระหว่างโต๊ะวางถ้วยชาและตู้ไม้เตี้ยมีตั่งตัวเตี้ยที่พับได้ สีซีด พื้นผิวเป็นสีชมพู มีลวดลายที่ดูเหมือนจะเป็นตัวการ์ตูนรูปหมู ด้านขวาของโต๊ะวางถ้วยชาคือพื้นที่กว้างที่เฉียวชูยืนอยู่
ด้านหลังของเฉียวชูเป็นราวไม้แถวหนึ่งที่มีฝุ่นเกาะอยู่เต็ม มีกระจกบานใหญ่สูงจรดเพดานหลายบานตั้งอยู่ด้านนอกของราวเพื่อทำหน้าที่เป็นผนัง
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่เคยเรียนมาจากตำราเรียนว่าหน้าต่างแบบนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แต่ก็พอจะเชื่อมโยงกับที่เมื่อครู่เฉียวชูเรียกว่า ‘หน้าต่างสูง’ ได้
สองฟากของหน้าต่างสูง ด้านหนึ่งเป็นบริเวณสำหรับล้างมือที่เป็นเคาเตอร์ทำด้วยหิน อีกด้านมีกระถางดินเผาสีน้ำตาลอมแดงสองสามใบตั้งอยู่
ดินในกระถางเป็นสีน้ำตาลอ่อน แห้งแตกระแหง ต้นไม้ในกระถางคาดว่าคงแห้งเหี่ยวจนกลายเป็นปุ๋ยปะปนกับดินมานานจนไม่เหลือร่องรอยอะไรให้เห็นแล้ว
เบื้องหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคือทางเดินที่มีห้องเรียงรายอยู่หลายห้อง
ด้านซ้ายมือของพวกเขามีโต๊ะกลมเล็กๆ หนึ่งตัว ปูด้วยผ้าปูโต๊ะที่ปักลวดลายเป็นรูปดอกไม้แบบง่ายๆ ไม่กี่ดอก ผ้าปูโต๊ะเดิมนั้นเป็นสีขาวแต่ตอนนี้กลายเป็นสีเทาแก่ไปแล้ว
รอบโต๊ะกลมมีเก้าอี้มีพนักแบบธรรมดาสีขาวนวลซึ่งมีคราบเป็นรอยด่างดำอยู่สี่ตัว
หนึ่งในนั้นมีรอยแตกชัดเจน เนื้อไม้ผุกร่อนหลายแห่ง
ตรงข้ามกับโต๊ะกลมซึ่งอยู่ใกล้ประตูนั้นเป็นห้องที่ประตูเปิดแง้มเอาไว้ ซางเจี้ยนเย่าจึงมองเห็นทันทีว่ามีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแบบเดียวกับที่บ้านตัวเอง
สีที่เคลือบไว้หลุดลอกออก มีสนิมขึ้นหลายจุด
ด้านข้างหม้อหุงข้าวมีวัตถุโลหะสองชิ้นที่น่าจะเป็นเตา ด้านบนมีหม้อสองใบวางอยู่ หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก หม้อใบใหญ่เป็นโลหะสีดำ ส่วนหม้อใบเล็กนั้นด้านนอกเป็นสีชมพูด้านในเป็นสีควันบุหรี่
นอกจากนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยังมองเห็นก๊อกน้ำ อ่างล้างจานโลหะ และตู้เก็บของอีกหลายตู้
จากสามัญสำนึกแล้ว ซางเจี้ยนเย่าพอจะคาดคะเนได้ว่าพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเป็นห้องครัว
“หรูหราชะมัด…” หลงเยว่หงที่เดินตามมายืนที่ข้างกายเขา ทอดถอนใจด้วยความสะท้อนใจ
ซางเจี้ยนเย่าเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นน่ะสิ”
เท่าที่พวกเขารู้ พนักงานอาวุโสเท่านั้นถึงจะได้รับการจัดสรรห้องที่มีครัวในตัว และห้องที่มีครัวใหญ่ขนาดนี้เกรงว่าต้องไปหาจาก ‘เขตพักอาศัย’ ของระดับผู้บริหารเท่านั้น
ขณะที่พูดซางเจี้ยนเย่าก็ยกเท้าขึ้น ค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบทีละก้าว
สายตาเฉียวชูหันมาเห็นเข้าพอดี
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าถอยออกมาถึงหน้าประตูห้อง เขาเงยหน้ามอง
“605…” เขาอ่านหมายเลขห้องออกมา
“นายทำไรน่ะ” หลงเยว่หงถามด้วยความแปลกใจ
“แต่ละชั้นมีอยู่ 5 ห้อง แต่ละยูนิตมีทั้งหมด 20-30 ชั้น ในอาคารแต่ละหลังก็มีตั้งหลายยูนิต…” ซางเจี้ยนเย่าพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าห้องใหญ่ขนาดนี้ยังมีอีกตั้งหลายร้อยห้อง”
เห็นชัดว่าเฉียวชูตามไม่ทันว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดออกมาเรียบๆ
“เข้ามาเถอะ ปิดประตูด้วยล่ะ”
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าปิดประตูอย่างเบามือ หลงเยว่หงก็ได้สติกลับมา
“ที่นี่มีอาคารอยู่ 7-8 หลัง บริเวณรอบๆ นี้ก็ยังมีอาคารอีกตั้งหลายหลัง…
“นี่ก็คือโลกเก่างั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนใจเขา นั่งยองลงเปิดตู้ไม้ที่อยู่ด้านขวาของทางเข้า
กลิ่นเหม็นอับโชยออกมาทันที มีรองเท้าหลากหลายแบบวางเรียงรายเป็นชั้นๆ อยู่ข้างในตู้ไม้
“ปิดตู้!” เฉียวชูบีบจมูกพูด
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้มองสำรวจต่อ เขาปิดประตูตู้ทันที
หลงเยว่หงทอดถอนใจอีกครั้ง
“หรูหราชะมัด!”
คนแบบไหนกันเนี่ย ถึงได้มีรองเท้าเยอะขนาดนี้!
ในเวลานี้ดวงอาทิตย์ลาลับลงไปใต้ขอบฟ้าแล้ว ทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนกับโลหะสีเทา สะท้อนแสงจางๆ
ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ มองผ่านหน้าต่างสูง เห็นทั้งเมืองมืดลง อาคารระฟ้าราวกับเป็นเกาะร้างที่ถูกกลืนโดย ‘สายน้ำ’ สีดำมืด ซึ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้นทุกขณะ
ในใจพวกเขาก็จมดิ่งลงไปด้วย
ทันใดนั้นในละแวกใกล้เคียงก็บังเกิดเสียงอึกทึกวุ่นวาย และเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นมา
เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน และวินิจฉัยออกมาในเวลาเดียวกัน
นี่เป็นเสียงปืน!
เมื่อกี้มีคนยิงปืน!
พวกเขายังไม่ทันพูดอะไร ก็พลันมีเสียงหอนคำรามอันแหบแห้งดังขึ้น
เสียงหอนนี้ ดังแผ่ ‘กระจาย’ ไปอย่างรวดเร็วและมีเสียงตอบรับกลับมาจากทุกทิศทาง
“ฮู่ววว!”
“บรู๊ววว!”
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังคงมีต่อเนื่องไม่หยุด และเข้าใกล้บริเวณที่เกิดการยิงเข้าไปทุกขณะ
เมืองที่เงียบสงัดจนกระทั่งก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นอึกทึกขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกแล้ว เธอขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที
“พวกคนไร้ใจเหรอ”
เท่าที่เธอรู้ ซากเมืองหลายแห่งล้วนมี ‘คนไร้ใจ’ พักอาศัยอยู่ หรือไม่ก็เตร็ดเตร่ไปมา ส่วนจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระบบนิเวศน์ท้องถิ่นและปริมาณปัจจัยดำรงชีพที่เหลือว่าสามารถรองรับได้มากเท่าไหร่
เฉียวชูยังคงสะพายปืนไรเฟิลสีเงินไว้กลางหลัง เขาหันหน้าออกไปทางหน้าต่างสูง มองออกไปยังเมืองซึ่งตายไป
“ใช่”
“มีนักล่าเข้ามาในซากเมืองโดยใช้เส้นทางอื่นแล้วถูก ‘คนไร้ใจ’ จู่โจมจึงยิงเพื่อตอบโต้ จากนั้นก็เลยเกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องเป็นลูกโซ่อย่างนั้นใช่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามคาดคะเนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อสักครู่
คราวนี้เฉียวชูไม่สนใจเธอ ยืนนิ่งเงียบอย่างไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่
ซางเจี้ยนเย่าหันกลับไปถาม
“เสียงหอนที่พวกเราได้ยินตอนอยู่ในแดนร้าง มาจากพวกเขาหรือเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เสียงดังระดับนี้จะดังไปไกลขนาดนั้นได้ยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดใคร่ครวญก่อนจะตอบ “แต่ว่าเสียงที่เราได้ยินก็เป็นไปได้ว่าจะมาจากเสียงหอนของพวก ‘คนไร้ใจ’ ที่อยู่แถวนั้นในตอนนั้น พวกเขาตอบสนองต่อเสียงหอนเสียงแรกที่มีพลังที่สุด เมื่อดูจากทิศทางแล้วเสียงหอนที่ดังต่อเป็นทอดไปทั่วแดนร้างอาจจะมาจากที่นี่จริงๆ ก็ได้…”
“ด้วยพลังของเสียงหอน และเรื่องที่ว่ามันสามารถกระตุ้นให้ ‘คนไร้ใจ’ ตอบสนองได้ ดูท่าแล้วสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่าจะเป็นตัวอันตราย ตัวอันตรายสุดๆ!” หลงเยว่หงเข้าร่วมวงสนทนาด้วย และยิ่งพูดมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นทุกที
เมื่อได้ฟังแล้ว อารมณ์ของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน ก็พลันว้าวุ่นในทันที ราวกับนึกถึงตอนที่พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าใกล้พื้นที่อันตรายขึ้นมาได้
นี่มันช่างย้อนแย้งกับสภาวะปัจจุบันของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนวูบไหวเล็กน้อย สีหน้าก็ค่อยๆ กลายเป็นหนักอึ้ง เธอหันหน้าไปมองเฉียวชูโดยไม่รู้ตัว
เฉียวชูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อตอนนี้ก็มาอยู่นี่กันแล้ว ยังไงก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อนล่ะ
“ขณะเดียวกันก็ต้องคิดให้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่อยากจะปกป้องมากที่สุด”
ดวงตาสีทองของเขาเลื่อนลอยอยู่ชั่วอึดใจ ราวกับเป็นทะเลสาบที่สะท้อนแสงแดด
เจี่ยงไป๋เหมียนเม้มปาก ดวงตากลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ กลับคืนสู่สภาวะเดิมก่อนที่จะมีการสนทนาปรึกษากัน
เฉียวชูละสายตาออกมาแล้วมองไปรอบๆ
“กินมื้อเย็นกันก่อนแล้วสลับกันพัก รอให้ถึงเช้ามืด”