รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 66 เช้ามืด
“ผมเจอไอ้นี่มา” ซางเจี้ยนเย่าถือเส้นผมสีขาวเส้นยาวเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว
เพื่อที่จะให้เฉียวชู เจี่ยงไป๋เหมียน และคนอื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงเปิดไฟฉายส่องไปที่มือตัวเอง
ลำแสงสีเหลืองแผ่กระจายออกไปเล็กน้อย ส่องให้เห็นใบหน้าของซางเจี้ยนเย่ามืดวับๆ แวมๆ ทำเอาหลงเยว่หงเกือบจะกระโดดโหยงชักปืนออกมายิง
“ดูที่มือฉันนี่” ซางเจี้ยนเย่าราวกับคาดเอาไว้แล้วว่าหลงเยว่หงจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่เขารอจนกระทั่งตอนนี้ถึงค่อยพูดออกมา
หลงเยว่หงค่อยๆ ระบายลมหายใจ จากนั้นก็เบนสายตามามองดู
ในลำแสงสีเหลือง ฝุ่นผงละเอียดปลิวว่อน เส้นผมสีขาวส่ายไหวเบาๆ
“ไปเจอมาจากไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
ซางเจี้ยนเย่าชี้ผนังฝั่งที่แขวนจอ LCD ไว้
“อยู่บนหมอนในห้องนอนห้องนั้น”
“มีแค่เส้นเดียวเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอีกหนึ่งประโยค
“ตามทฤษฎีแล้วก็ใช่แหละ นอกเสียจากว่ามันจะกินเส้นอื่นไปแล้วก็วิวัฒนาการตัวมันเอง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“หลักสูตรพื้นฐานเดี๋ยวนี้เขาสอนเรื่องพวกนี้หรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่ใส่ ราวกับกำลังครุ่นคิดใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆ
ไป๋เฉินที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ ดึงขยับผ้าพันคอเก่าล้าสมัยผืนนั้นขึ้นเล็กน้อยแล้วพูด
“หล่นไว้ตั้งแต่ตอนที่โลกเก่าถูกทำลายหรือเปล่า”
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ส่งผลให้เส้นผมเปื่อยสลายตัวยากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงเหลือผมแค่เส้นเดียวล่ะ ฟังแล้วไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดในสิ่งที่เธอสงสัย “และพวกเราก็ประเมินเบื้องต้นไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าเมืองนี้ถูก ‘ดูแล’ ในระดับหนึ่ง สถานการณ์ในห้องนี้ก็ยิ่งยืนยันเรื่องนี้เข้าไปอีก อย่างเช่นว่าก่อนหน้านี้เราเห็นร่องรอยของหนูในห้องกินข้าวและห้องครัว แต่นอกจากรอยกัดกับรอยข่วนแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยอื่นๆ ของพวกมันเลย”
“ยิ่งฟังก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกที…” หลงเยว่หงได้แต่บ่นพึมพำ
เมืองที่ได้ตายลงไปนานแล้ว แต่ยังคง ‘ดูแล’ ตัวเองอยู่เป็นระยะ ทั้งทำความสะอาดและเก็บขยะ!
การที่ไม่รู้สาเหตุ เทียบแล้วยังน่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องผีที่เล่าในรายการวิทยุซะอีก!
“หนูอาจจะถูกพวก ‘คนไร้ใจ’ ที่นี่จับไปกินหมดแล้ว ถึงยังไงพวกมันก็ยังต้องกินอาหาร” ไป๋เฉินเดาออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อื้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“เป็นไปได้เหมือนกัน แต่ว่า ‘คนไร้ใจ’ จะช่วยจัดการสุขอนามัย ช่วยเก็บขี้หนูให้ด้วยหรือไง พวกมันมีแค่เพียงสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดแค่นั้นเอง”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ พวกมันยังร้องเพลงได้เลยไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าปิดสวิทช์ไฟฉายในมือ แล้วพูดอย่างจริงจัง
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่เขา “ไหงนายถึงเรียกการหอนว่าการร้องเพลงล่ะยะ อีกอย่างนะ ต่อให้พวกมันมีสัญชาตญาณทำความสะอาดสภาพแวดล้อมได้ก็เถอะ ถึงแม้ว่าตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยพบเคยเห็นว่ามี ‘คนไร้ใจ’ ที่ไหนทำแบบนั้นได้ แต่สมมติว่าพวกมันทำได้จริงๆ นะ พวกมันก็ควรจะ ‘ดูแล’ เป็นประจำไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่ว่านานๆ ถึงจะทำสักที ถึงยังไงพวกมันก็ไม่มีความสามารถในการคิดสักเท่าไหร่ เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น”
เมื่อพิจารณาจากสภาพถนน อาคาร และห้องหับต่างๆ นี่มันก็นานมากแล้วที่ไม่ได้รับการดูแล
ซางเจี้ยนเย่าพยายามหา ‘เหตุผล’ ขึ้นมาแย้ง
“มนุษย์ยังมีสัญชาตญาณความขี้เกียจเลย
“คุณทำความสะอาดห้องบ่อยแค่ไหนล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เธอเหลือบมองเฉียวชูก่อนจะตอบออกมา
“ตอนออกไปปฏิบัติภารกิจในแดนร้างฉันค่อนข้างปล่อยตัวตามสบายสักหน่อย ไม่มัวห่วงเรื่องทำความสะอาดหรอก
“ตอนอยู่ที่บริษัท ถ้าทำอาหารเองก็ต้องทำความสะอาดทุกวัน บางทีก็ทำมากกว่าวันละครั้งด้วย แต่ถ้าไปกินที่โรงอาหาร ได้สักสามวันก็ค่อยทำความสะอาดสักหนก็พอ เดือนนึงก็ค่อยทำความสะอาดใหญ่สักทีหนึ่ง”
ตั้งแต่ที่พวกเขาพูดคุยกันมา เฉียวชูที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้น
“พวกคุณมาจากไหน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ‘ยูไนเต็ดอินดัสตรี’ ‘ออเรนจ์คอมพานี’ หรือว่า ‘ฟิวเจอร์อินเทลิเจนซ์’”
“พวกเรามาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตามตรง
เฉียวชูแตะปืนไรเฟิลสีเงินที่วางอยู่บนตัก พยักหน้าเล็กน้อย
“ไม่จำเป็นต้องมาถกกันเรื่องเส้นผมหรอก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“กินข้าวแล้วนอนพักกันได้แล้ว จากนั้นก็รอให้ถึงเช้ามืด”
“ทราบแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เลิกพูดคุยสนทนา ต่างก็หาที่นั่งให้ตัวเอง กินบิสกิตอัดแข็ง ธัญพืชอัดแท่ง และดื่มน้ำจากถุงน้ำ
หลังจากท้องอิ่มแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่างบริเวณห้องอาหาร มองลงไปยังสนามหญ้าด้านล่างที่เต็มไปด้วยวัชพืช
ตอนแรกเธอว่าจะพูดสิ่งที่ต้องการออกมาตรงๆ แต่พอมองดูเฉียวชูแล้วก็รู้สึกอายเล็กน้อย
“ฉัน… จะไปข้างล่าง ไปทำธุระหน่อย”
“ห้องน้ำที่นี่ก็ทำธุระได้นะ” ซางเจี้ยนเย่าดูกระตือรือร้นราวกับว่าเขาอยากจะแบ่งปันวิธีการที่ค้นพบให้เพื่อนพ้องได้รู้
“อย่าเลย… มันจะกระทบกับพวกนายน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนปฏิเสธความหวังดีของเขา
เฉียวชูที่ดูเหมือนว่าหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ก็พลันลืมตาขึ้นมาพูด
“ไปที่มุมห้อง 601 ก็ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะโดยอัตโนมัติทันที
“สถานที่แปลกๆ แบบนี้ ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า
“พวกกลิ่นรุนแรงถ้าไม่ฝังกลบและอยู่ใกล้ตัว มันจะก่อปัญหาโดยไม่จำเป็น”
“ไม่เป็นไรหรอก” เฉียวชูยืนกรานความเห็น
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อยากเถียงเขาจึงยอมทำตามแต่โดยดี
ไป๋เฉินลุกตามขึ้นมา
“ฉันไปด้วยสิ”
“ดีเลย จะได้ช่วยกันระวัง” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม “ถึงเธอจะไม่ไป ฉันก็จะลากเธอไปอยู่ดีนั่นแหละ”
หลงเยว่หงบีบต้นขาตัวเอง มองซางเจี้ยนเย่า
“อีกเดี๋ยวไปด้วยกันไหม”
“ได้สิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความเสียใจเล็กน้อยที่ถูกปฏิเสธไปเมื่อครู่ “ในเมื่อเฉียวชูบอกว่าไม่เป็นไร งั้นพวกเราก็ใช้วิธีง่ายๆ อย่างเช่นขึ้นไปยืนบนราว เปิดหน้าต่างออก หันหน้าออกไปข้างนอกแล้วก็…”
“พอเลย!” หลงเยว่หงรีบหยุดความคิดที่ก้าวกระโดดของเขาทันที หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความคิดพิลึกพิลั่นก็ได้
หลังจากพักคั่นจังหวะทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว หลงเยว่หงกับไป๋เฉินต่างแบ่งกันครอบครองพื้นที่คนละด้านของโซฟา ขดตัวเตรียมพักผ่อน เฉียวชูยังคงหลับตานั่งบนเก้าอี้ ไม่รู้ว่ากำลังพักออมแรงอยู่หรือว่าหลับไปแล้ว
ซางเจี้ยนเย่านั่งขัดสมาธิอยู่บนราวด้านหน้าของหน้าต่างสูง มองไปยังทิศทางของอุโมงค์เพื่อสอดส่องดูความเคลื่อนไหวในเมืองอันมืดมิด เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถือปืนยิงระเบิดแต่เป็นปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ เธอเดินกลับไปกลับมาในห้องนั่งเล่น คอยเฝ้าดูว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับคนที่กำลังหลับอยู่หรือไม่
ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งภายในเมือง
ในคืนที่เงียบสงัดผิดปกติเช่นนี้ ภายในซากเมืองที่ราวกับเป็นป่าที่ตายไปแล้ว เสียงกรีดร้องโหยหวนจึงดังออกไปไกล หลงเยว่หงที่ยังไม่ได้หลับถึงกับหนังศีรษะชาหนึบ ตัวสั่นเทา
หลังจากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ดังไปเรื่อยๆ
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
การเคลื่อนไหวนี้ราวกับจุดพลุ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็กลับสู่ความเงียบอย่างรวดเร็ว
ชั่วครู่ต่อมาซางเจี้ยนเย่าอาศัยแสงดาวเลือนลางส่อง จึงเห็นเงาร่างสายหนึ่งโผล่ออกมาจากตรอกใกล้ๆ
เงาร่างนั้นค้อมตัว เคลื่อนไหวคล้ายลิง ไม่เหมือนมนุษย์
เขาสวมเสื้อผ้ารุงรัง มีผ้าผูกไว้ เข้ามาใกล้อาคารที่ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ อยู่อย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็วิ่งไปทางถนนอีกสายที่มีใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นอยู่เต็มพื้น บางทีก็ปีนขึ้นที่สูงอย่างคล่องแคล่วแล้วกระโดดลงมาอย่างนุ่มนวล
เมื่อเห็นอากัปกิริยาดังกล่าว ซางเจี้ยนเย่ารู้ว่าต่อให้เขาได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมและฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ ก็ยังเป็นเรื่องยากมากที่เคลื่อนไหวเช่นนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ และนอกจากนั้นการปรับปรุงพันธุกรรมก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เคลื่อนไหวได้แบบนั้น
ในเวลานี้ เมฆบนฟ้าเคลื่อนตัว ทำให้แสงจันทร์เล็ดลอดออกมาเล็กน้อย ซางเจี้ยนเย่าจึงพอจะเห็นรูปลักษณะของร่างนั้นได้รางๆ
ร่างนั้นน่าจะเป็นเพศชาย ผมสีดำดูสกปรกยุ่งเหยิงแต่ก็ไม่ได้ยาวเกินไปนัก ยังยาวไม่ถึงบ่า
ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของซางเจี้ยนเย่า ร่างนั้นจึงหันศีรษะกลับมามองที่ชั้นบน
ใบหน้าที่มีสีหน้าว่างเปล่าปรากฏขึ้นในดวงตาของซางเจี้ยนเย่าทันที
‘คนไร้ใจ’
นี่คือ ‘คนไร้ใจ’ ตนหนึ่ง เป็น ‘คนไร้ใจ’ วัยหนุ่ม
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้หลบเลี่ยงการจ้องมองจาก ‘คนไร้ใจ’ แต่กลับถ่างตาจ้องมอง ‘คนไร้ใจ’ ที่ยืนอยู่ในระยะไกลอย่างเงียบเชียบ
ในที่สุด ‘คนไร้ใจ’ ก็ละสายตาหันหลังจากไป มุ่งหน้าต่อไปยังเงามืดของอาคารสูงซึ่งอยู่ห่างออกไป แล้วหายลับไปจากสายตา
ใบหน้าของซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับชัยชนะอย่างงดงามในการแข่งขันอะไรสักอย่างมา
ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาร่างมนุษย์อีกหนึ่งร่าง
เงาร่างนี้ก็ค้อมตัวเช่นกัน แต่ความเร็วนั้นช้ากว่า ‘คนไร้ใจ’ เมื่อสักครู่อยู่ไม่น้อย
ซางเจี้ยนเย่ามองดู เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและผมสีขาวยุ่งเหยิง
ร่างนี้พุ่งแว่บผ่านแล้วเข้าไปในตรอกด้านซ้าย ซึ่งเป็นจุดอับสายตาของซางเจี้ยนเย่า
สองชั่วโมงถัดมา ซางเจี้ยนเย่าก็เห็น ‘คนไร้ใจ’ อีกหลายตน เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน สีหน้าแสดงความสงสัยเกี่ยวกับจำนวนของ ‘คนไร้ใจ’ ที่อยู่ที่นี่
หลังจากนั้นไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็ตื่นขึ้นมา แล้วรับหน้าที่เฝ้าระวังต่อ
เมื่อถึงเวลาที่หลงเยว่หงปลุกซางเจี้ยนเย่าขึ้นมาอีกครั้ง เฉียวชูก็ลุกจากเก้าอี้แล้ว เขากำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของหน้าต่างสูง
“เช้ามืดแล้ว” เฉียวชูพูดเรียบๆ
แล้วเขาก็ละสายตาจากซากปรักเมืองอันมืดมิด หันมาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่สายตาเย็นชา
“ช่วยผมสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงหน่อย”
ด้วยความช่วยเหลือจากเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉิน เพียงไม่นานเขาก็สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเสร็จและเปิดระบบการทำงานของชุดเกราะ
หลังจากหยิบปืนไรเฟิลสีเงินขึ้นมาแล้ว เฉียวชูที่ร่างปกคลุมด้วยเกราะโลหะสีดำก็เดินไปที่หน้าต่างสูง ชี้ไปยังอาคารที่อยู่ถัดไปไม่กี่ช่วงตึก
“จุดหมายของเราคือที่นั่น”
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ มองไปยังทิศทางที่เขาชี้ ก็เห็นอาคารที่อยู่ค่อนข้างห่างออกไปจากอาคารรอบข้างพอสมควร
ดูเหมือนว่ามีสนามหญ้าขนาดใหญ่อยู่ติดกับอาคารด้วย
ในขณะนี้อาคารหลังนั้นตั้งตระหง่านอย่างเงียบสงบอยู่ในซากเมืองอันมืดมิด ไม่มีแสงใดๆ ส่องออกมา ราวกับว่ามันได้ตายไปแล้ว
สองสามวินาทีถัดมาเฉียวชูก็หันกลับมาแล้วเดินไปที่ประตูพร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้ม
“ออกเดินทาง!”