รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 73 ผู้ทำลายจินตภาพ
ความหดหู่หม่นหมองที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นพลันหายไปหมดสิ้น เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะยังคงหวาดผวาและไม่อยากจะเข้าไปใน ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ แต่เขาก็รู้สึกว่าจะยอมเสี่ยงเพื่อเฉียวชูผู้เป็นประดุจเทวทูต
เนื่องจากเฉียวชูนั้นสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรง จึงต้องถอดนาฬิกาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการรับรู้เวลาของเขา เขารู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่นาทีกี่วินาที เพราะว่ามีเวลาแสดงอยู่บนหน้าจอของแว่นคริสตัล
เขาเหลือบมองดูที่มุมขวาล่างของแว่นคริสตัลเพื่อคำนวณเวลาว่าเหลืออีกนานเพียงใดก่อนที่ผลของการ ‘ทำเสน่ห์’ จะกลายสภาพ จากนั้นก็พูดเร่งคนอื่นๆ
“ลงไปห้องเครื่องใต้ดินกันได้แล้ว”
คราวนี้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ไม่ได้คัดค้านอะไรอีก พวกเขาเดินตามเจ้าหน้าที่พิเศษของสถาบันวิจัยที่แปด อ้อมสระน้ำมาที่ด้านหน้าอาคาร ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’
ประตูของที่นี่ทำจากกระจก ไม่รู้ว่าถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าถูกเปิดค้างไว้ตั้งแต่ครั้งที่โลกเก่าถูกทำลายลง พูดโดยสรุปก็คือด้านในของห้องโถงที่กว้างขวางและมืดมิดนั้นถูกเปิดเผยออกมาให้มองเห็นได้ตรงๆ
เฉียวชูไม่ได้รีบร้อนเข้าไปข้างใน เขาใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่อสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกก่อน ราวๆ 10-20 วินาที
จากนั้นก็ก้มตัวเล็กน้อยแล้ววิ่งตรงดิ่งไปยังลิฟต์
เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ วิ่งตามไปติดๆ โดยรักษารูปขบวนเอาไว้ตลอดเวลา
ในระหว่างนี้ เสียงที่ดังอยู่ในห้องโถงกว้างนั้นมีเพียงเสียงโลหะกระทบพื้นและเสียงฝีเท้าพวกเขาที่ดังก้องอยู่เบาๆ นอกจากความเงียบสงัดแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงลิฟต์
สองฝั่งซ้ายขวาแต่ละด้าน มีลิฟต์สีดำเทาอยู่ด้านละสามตัว
แน่นอนว่าลิฟต์ย่อมไม่อาจใช้งานได้ เพราะไม่มีพลังงานไฟฟ้า
เป้าหมายของเฉียวชูนั้นไม่ใช่ลิฟต์ แต่เป็นประตูฉุกเฉินที่ออกไปยังบันไดหนีไฟที่อยู่ด้านข้าง
บานประตูไม้สีแดงสดนั้นผุเล็กน้อย มันถูกปิดเอาไว้ ไม่รู้ว่าล็อคไว้หรือเปล่า
ไป๋เฉินกำลังจะสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าช่วยเปิดประตูให้เฉียวชู แต่ทันใดนั้นภายในใจรู้สึกแปลกๆ เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
ด้านหลังบานประตูมีของล้ำค่าอยู่ จะต้องไปเอามาให้ได้!
นี่ทำให้เธอเกิดความปรารถนาและแรงกระตุ้นที่ไม่อาจควบคุม อยากรีบเปิดประตูเข้าไปข้างในเพื่อหยิบของชิ้นนั้นมาทันที
ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้น แต่ทั้งเฉียวชู หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ล้วนแต่อดใจรอเข้าไปใกล้ประตูไม่ไหวแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วร้องตะโกนขึ้นมา
“จำเรื่องที่เพื่อนร่วมทีมของอู๋โส่วสือบอกไว้ได้ไหม”
เธอกำลังพูดถึงการล่อใจเพื่อวางกับดักโดย ‘คนไร้ใจขั้นสูง’
เป็นเพราะว่าเธอจดจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ จึงไม่ถึงกับหน้ามืดตามัวไปเสียทีเดียว ยังพอจะต้านทานแรงปรารถนาที่อธิบายไม่ถูกได้ในระดับหนึ่ง
เท้าของเธอนั้นกระวีกระวาดอยากจะก้าวไปข้างหน้า ร่างกายก็อยู่ในท่าเตรียมจะพุ่งเข้าใส่แล้ว แต่ทว่าเธอยังคงยืนหยัดปักหลักอยู่กับที่อย่างแน่นหนาโดยไม่ขยับสักก้าว
คำพูดของเธอได้ปลุกเฉียวชูและคนอื่นๆ ให้กลับมามีสติเล็กน้อย ทำให้พวกเขาพยายามขัดขืน ไม่เปิดประตูออกไป
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ท้ายขบวนได้สับเท้าวิ่งออกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ก้าวเลยต่อไป กลับมาหยุดอยู่ด้านข้างเจี่ยงไป๋เหมียน
“ผมรู้สึกว่ามีความลับที่สามารถช่วยมนุษยชาติได้” เขาพูดอย่างจริงจัง “แต่ว่าความลับนั้นถูกป้องกันเอาไว้หลายชั้น และมีอันตรายมากมายซ่อนอยู่รอบด้าน”
ในช่วงเวลานี้ เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้ว่าจะกลอกตาใส่เขาดี หรือจะชมเขาสักคำดี
“พวกเราต้องระวัง ประมาทไม่ได้” ซางเจี้ยนเย่าเกาะติดแนวคิดนี้ แล้วครุ่นคิดอยู่สองวินาที
จากนั้นกระโดดไปหน้าลิฟต์ ใช้ผิวโลหะแทนกระจก ด้วยแสงจันทร์และแสงดาวที่ส่องผ่านหน้าต่างมาทำให้เห็นเงาพร่าเลือนของตัวเอง
ขณะที่มองดูเงาตัวเอง ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น
“เจี่ยงไป๋เหมียนมีขายาว ฉันก็มีขายาว
“เจี่ยงไป๋เหมียนเก่งมาก ฉันก็เก่งมาก
“ดังนั้น…”
ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นดำมืดตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ จากนั้นก็เปิดปากพูดกับตัวเองเบาๆ
“ดังนั้น พวกเราก็เหมือนกัน”
ในตอนแรกนั้นเฉียวชูต้องการจะหยุดยั้งเขาไว้ แต่ทว่าด้านหนึ่งเขาต้องต่อสู้กับความปรารถนาแรงกล้าที่อธิบายไม่ถูก ไม่อาจแบ่งแยกสมาธิ อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าซางเจี้ยนเย่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและทำลายสภาวการณ์นี้ได้ จึงมีความคาดหวังอยู่บ้าง สุดท้ายก็เลยเลือกเตรียมตัวไว้ให้พร้อมและมองดูด้วยสายตาเย็นชา
หลังจาก ‘หลอกลวง’ ตัวเองเสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็หันหน้าไปจ้องมองเจี่ยงไป๋เหมียน
ดวงตาเขาดำมืดขึ้นทุกขณะ
จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนพลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างรุนแรง
ถึงแม้ว่าฉันอยากได้ของที่หลังประตูนั่นมาก ต้องการครอบครองเอาไว้ แต่จะแสดงท่าทีออกมาโต้งๆ ไม่ได้ พูดออกไปตรงๆ ก็ไม่ได้ ไม่งั้นเสียหน้าหมด!
พอเกิดความคิดแบบนี้ขึ้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอี้ยวตัวไปครึ่งร่าง กระทืบเท้าเบาๆ
“ถ้าพวกนายอยากเข้าไปก็ไปเถอะ ฉันไม่เอาด้วยแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าเอี้ยวตัวกลับไปแบบเดียวกันแล้วกระทืบเท้าเบาๆ
“ถ้าพวกนายอยากเข้าไปก็ไปเถอะ ฉันไม่เอาด้วยแล้ว”
เมื่อเห็นแบบนี้ ทั้งไป๋เฉินและหลงเยว่หงต่างก็รู้สึกว่าทั้งประหลาดพิกล ทั้งงุนงง ทั้งน่าหัวร่อ
ทันใดนั้นความปรารถนาแรงกล้าในใจก็บรรเทาลงไปไม่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ในสภาวะไร้เหตุผลก็ถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า
“ทำไมต้องเลียนแบบฉันด้วย”
“ทำไมต้องเลียนแบบฉันด้วย” ซางเจี้ยนเย่านั้น ไม่ว่าจะเป็นดวงตา คำพูด ไปจนถึงการแสดงออกแม้เพียงเล็กน้อยก็ลอกเลียนได้อย่างสมบูรณ์
ถึงตอนนี้สภาวะไร้เหตุผลของเจี่ยงไป๋เหมียนก็สลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
เมื่อนึกถึงฉากเมื่อครู่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นี่นายอยากให้พวกเราใช้วิธีหัวเราะจนขาดใจตาย เพื่อต้านทานแรงปรารถนาที่อธิบายไม่ได้นั่นหรือไง”
“นี่นายอยากให้พวกเราใช้วิธีหัวเราะจนขาดใจตาย เพื่อต้านทานแรงปรารถนาที่อธิบายไม่ได้นั่นหรือไง” ซางเจี้ยนเย่าพูดพลางหัวเราะ
เมื่อเฉียวชูเห็นเช่นนี้ มุมปากเขาก็กระตุกเล็กน้อย คิดอยากจะเตือนออกมาโดยไม่รู้ตัว ว่าให้พวกเขาจริงจังสักหน่อย
ที่นี่คือศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะของซากเมือง มีอันตรายอยู่ทั่วทุกแห่งหน ความเงียบสงัดวังเวงทำให้ผู้คนหวาดหวั่นขวัญผวา จะมาทำเป็นเล่นหัวเราะเฮฮาได้ยังไง
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะอยู่สองวินาทีก่อนจะพยายามกลั้นเอาไว้
“ผมฉันยาวมาก ส่วนผมนายน่ะสั้นมาก”
“ผมฉันยาวมาก…” ซางเจี้ยนเย่าพูดตามมาถึงตรงนี้ แต่แล้วก็หยุดชะงัก พูดต่อไม่ได้
ดวงตาเขากลับคืนเป็นปกติ
“รีบใช้โอกาสนี้ซะ” เขารีบพูดทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกตัวทันที เธอรีบใช้ช่วงจังหวะนี้ก่อนที่ความปรารถนาที่อธิบายไม่ได้จะส่งผลอีกครั้ง รีบวิ่งไปที่หน้าประตูไม้สีแดงสด
“เข้าประชิดสองฝั่ง” ด้านหนึ่งเธอออกคำสั่งไป๋เฉิน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ อีกด้านหนึ่งก็ยื่นมือไปจับด้ามจับโลหะที่ขึ้นสนิม
รออยู่สองสามวินาที เธอก็บิดด้ามจับประตู แล้วผลักเปิดออกทันที
จากนั้นเธอกระโดดพุ่งม้วนตัวไปซ่อนตัวหลบอยู่ข้างลิฟต์โดยไม่มีการหยุดชะงักแม้แต่น้อย
ปัง ปัง ปัง! เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
เสียงปืนดังต่อเนื่องทั้งจากด้านล่างและด้านบนของบันได พายุกระสุนปลิวว่อนปกคลุมพื้นที่ทางออกประตูทางหนีไฟ
ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้หลงเยว่หงและคนอื่นๆ ผลีผลามเปิดประตูออกไป ตอนนี้ก็คงถูกยิงพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เฉียวชูถูกความปรารถนาแปลกประหลาดอันแรงกล้าควบคุมอยู่ จึงทำให้เขาลืมใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ที่ติดมากับชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไปโดยสิ้นเชิง
ท่ามกลางเสียงปืน เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบระเบิดยุทธวิธี[1]ที่แขวนห้อยไว้ที่เข็มขัดออกมา เตรียมจะดึงห่วงสลักออกเพื่อขว้างไปที่ช่องทางออกฉุกเฉิน
เธอคำนวณวิถีระเบิด คิดจะใช้การสะท้อนผนังเพื่อทำให้ลูกระเบิดหล่นลงไปยังบันไดชั้นล่าง
แต่ทันใดนั้นการยิงถล่มก็หยุดลง
เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บระเบิดยุทธวิธีกลับไปแขวนคืนอย่างเงียบๆ มือหนึ่งถือปืนยิงระเบิด อีกมือหนึ่งถือ ‘ยูไนเต็ด 202’ ตั้งสมาธิจดจ่อกับการตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าต่างๆ ที่บริเวณทางออกฉุกเฉิน
“พวก ‘คนไร้ใจ’ ข้างบนถอยไปหมดแล้วล่ะ ส่วนทางด้านล่างถูกรบกวน สัญญาณเลยไม่ค่อยชัดนัก แต่มากสุดก็มีไม่เกินสอง…” เพียงไม่นานเจี่ยงไป๋เหมียนก็ให้ข้อมูลออกมา
ในตอนนี้ความปรารถนาที่อธิบายไม่ได้ ที่ต้องการไปเอาของล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ด้านหลังประตูทางออกฉุกเฉินนั้นหายไปจนหมดสิ้นแล้ว เฉียวชูเองก็กลับเป็นปกติโดยสมบูรณ์
เขาอาศัยชุดเกราะกระดูกเสริมแรงและ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ พุ่งตัวกลิ้งเข้าไปที่ประตูทางออกฉุกเฉิน
ณ บันไดชั้นล่างที่อยู่ลึกลงไป ที่นำไปสู่ห้องเครื่องใต้ดิน เงาร่างหนึ่งกำลังแหงนมองขึ้นมา
นี่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตายังดูวัยรุ่นอยู่ ใบหน้าค่อนข้างสะอาดเรียบร้อย แต่ดวงตานั้นมีสีขาวมากสีดำน้อย ค่อนข้างขุ่นมัวและเส้นเลือดแดงก่ำ
เธอสูงประมาณ 165 เซนติเมตร สวมเสื้อขนเป็ดสีขาวที่แข็งกระด้าง ตั้งแต่หัวจรดเท้าดูแล้วสะอาดสะอ้านกว่า ‘คนไร้ใจ’ ตนอื่นๆ มาก
เธอยืนอยู่เงียบๆ ในความมืดราวกับเป็นภูติผีที่ล่องลอยในยามราตรี จ้องมองอย่างเงียบงันไปยังเป้าหมายที่ต้องการสังหารให้ตายไป
หากไม่ใช่เพราะ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ แล้ว เฉียวชูก็คงไม่อาจมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
ก่อนที่เฉียวชูจะทันได้ยิงระเบิดออกไป ‘คนไร้ใจ’ นั่นก็ใช้มือหนึ่งกดราวบันไดดีดตัวกระโดดลงไป แล้วหายลับไปในส่วนลึกของบันได
“นี่ใช่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่พวกอู๋โส่วสือเจอหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าไปใกล้ทางออกฉุกเฉินแล้วถามขึ้น
เฉียวชูผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วตอบ
“อืม”
“ฟู่… อย่างที่คิดเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนพ่นลมหายใจออกมา
เวลานี้หลงเยว่หงก็ถอนใจออกมาราวกับว่าเพิ่งจะรอดชีวิตจากหายนะมาได้
“ดีที่พวก ‘คนไร้ใจ’ นั่นไม่ฉลาดเท่าไหร่ ถ้าหากเมื่อกี้พวกมันยิงออกมาโดยไม่ได้รอให้เราเปิดประตูล่ะก็ ทางเราคงตายไปอย่างน้อยครึ่งทีมแล้วล่ะ”
บานประตูสีแดงสดนี้ไม่อาจป้องกันกระสุนได้แม้แต่น้อย
แต่ว่าในสายตาของ ‘คนไร้ใจ’ ที่เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณ สิ่งกีดขวางนั้นสามารถกีดขวางได้ ต้องรอกำจัดมันออกไปเสียก่อน
“ตอนนี้อย่าพูดเรื่องแบบนี้สิ พูดเป็นลางไปได้” ไป๋เฉินหันมาชำเลืองมองหลงเยว่หงแวบหนึ่ง
พอได้ยินคำจำพวก ‘โชคดี’ ‘โชคร้าย’ ‘ลางไม่ดี’ ‘โชคชะตา’ อะไรทำนองนี้ หลงเยว่หงมักจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ เขารีบหุบปากสนิททันที
เฉียวชูเหลือบมองบันไดมืดมิดเบื้องหน้า พูดด้วยเสียงทุ้ม
“ไปข้างล่างเถอะ”
เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนจะสั่งต่อ
“พวกคุณนำหน้าไป”
ถึงเวลาที่พวกแกต้องทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อแล้ว
* * * * *
[1] ระเบิดยุทธวิธี (战术手雷 Tactical Grenade) คือ ระเบิดสำหรับสร้างความปั่นป่วนให้กับศัตรู เช่น ระเบิดแสง ระเบิดควัน ต่างจากระเบิดสังหาร (Lethal Grenade) ที่มีวัตถุประสงค์สำหรับสร้างความเสียหาย หรือทำร้ายศัตรูโดยตรง
Next