รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 79 เพื่อน
เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชาย ซางเจี้ยนเย่าก็หันขวับมามองเขาทันที
หลังจากมองอย่างเงียบๆ สองสามวินาที ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมาแล้วหันกลับไปมองจอ LCD ต่อดังเดิม
“ที่แท้เธอก็คือเสี่ยวชงนี่เอง” เขาถามอย่างกระตือรือร้น “งั้นเธอรู้จักคุณยายที่สวมหมวกไหมพรมสีเข้มหรือเปล่า คุณยายหน้าตาเหี่ยวย่นที่สวมกระโปรงยาวทำจากผ้าขนสัตว์น่ะ”
เสี่ยวชงที่ถือแป้นควบคุมตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมอย่างจริงจัง ตอบกลับอย่างกันเอง
“รู้จักฮะ
“ยายเป็นคนดีนะ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยายคอยช่วยกันประตูไว้ไม่ให้คนมากวนผมฮะ
“ฮะ ฮะ ผมบอกยายว่าชอบเล่นเกมเงียบๆ แล้วก็อ่านหนังสือทุกประเภท ไม่อยากให้ใครมากวน ยายก็เลยช่วยกันคนอื่นไว้ให้”
ซางเจี้ยนเย่าฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ มองหน้าจอเกมพลางถามต่อ
“ยายเขาเข้าใจที่เธอพูดด้วยเหรอ”
“พี่ก็ฟังยายรู้เรื่องไม่ใช่เหรอ” เสี่ยวชงรู้สึกว่าคำถามของอีกฝ่ายฟังดูแปลกๆ
“อืม รู้” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ตามน้ำไปกับคำพูดของเด็กชายตัวน้อย “งั้นพอยายตายไปแล้ว ก็เลยไม่มีคนช่วยเฝ้าประตูให้เธองั้นเหรอ”
“มีฮะ…” พอเสี่ยวชงตอบมาแล้วก็ปิดปากเงียบทันที จากนั้นก็จดจ่ออยู่กับเกมเบื้องหน้า
ซางเจี้ยนเย่าเห็นว่าฉากบนจอนั้นดูเหมือนจะดุเดือดเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย
รอจนกระทั่ง ‘การต่อสู้’ บนหน้าจอจบลง เสี่ยวชงก็พูดต่อ
“มีคุณอาคุณน้า แล้วก็พี่ชายพี่สาวอีกสองสามคน ช่วยเฝ้าประตูให้ผมอยู่”
“พวกเขายังช่วยทำความสะอาดให้ด้วย คอยดูแลนู่นนี่เป็นพักๆ คอยพาผมไปขี่ม้าเพื่อให้ผมได้สูดอากาศบริสุทธิ์ อ้อ พี่เห็นแมวผมหรือยัง ผมเก็บแมวจรจัดมาตัวนึงแล้วก็ยกปลาให้มันไปบ่อนึงด้วย ผมเก่งใช่ไหมล่ะ”
“หือ นั่นแมวเธอเองเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าตบต้นขาตัวเอง “เจ้าตัวที่ไม่มีขนนั่นใช่ไหม”
“ใช่ ใช่ ใช่ นั่นมันพันธุ์พิเศษเลยนะฮะ อย่าเห็นว่ามันไม่มีขนแล้วรังเกียจมันเชียว” เสี่ยวชงพยักหน้ารัว
“แต่มันทำให้ฉันหลับน่ะสิ” ซางเจี้ยนเย่าบ่นมาคำหนึ่ง
“มันชอบแกล้งน่ะฮะ” รอยยิ้มกระจ่างชัดปรากฏบนใบหน้าตุ้ยนุ้ยของเสี่ยวชง “ไว้พอมันกลับมา ผมจะบอกมันว่าต่อไปห้ามทำให้พี่ชายหลับอีก”
“เธอเข้าใจภาษาแมวด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกประหลาดใจมาก
“ฟังไม่ออกหรอกฮะ แต่ว่ามันฉลาดมากนะ มันฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วย” เสี่ยวชงตอบ
ซางเจี้ยนเย่ขยับตัวปรับท่านั่งเพื่อให้นั่งสบายขึ้น
“ปกติเธอกินอะไรเหรอ” เขาถามออกมา
เสี่ยวชงเงียบไปทันทีแล้วหันหน้ามามองเขา
ภายใต้แสงกะพริบวูบวาบจากหน้าจอ LCD ทำให้ใบหน้าตุ้ยนุ้ยนั้นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเสี่ยวชงอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แต่ยังคงทำเป็นสุขุมเยือกเย็นอยู่
เสี่ยวชงหันกลับไปสนใจเกมต่อ
“ผมไม่ค่อยกินอะไร แล้วก็กินง่ายๆ บางทีก็เป็นอาหารกระป๋อง บางทีก็เป็นพวกนกหนูแมลงที่พวกเขาจับกลับมาให้ บางทีก็เป็นพวกเนื้อแช่แข็งกับพวกผักป่าที่หามาได้ บางทีก็เป็นปลาที่ผมเลี้ยงเอาไว้”
“เธอยังเด็ก กินพวกของดิบไม่น่าจะดีต่อกระเพาะมั้ง” ซางเจี้ยนเย่าถกประเด็นทางวิชาการอย่างจริงจัง
เสี่ยวชงหัวเราะ “ฮะ” มาคำหนึ่ง
“ผมสอนพวกเขาให้ทำของย่าง สอนให้ทำอาหารด้วยนะ
“เก่งไหมล่ะ”
“เก่งมาก!” ซางเจี้ยนเย่าตบมือ
พอเขาตบมือให้ เสี่ยวชงเลยรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
“เอ่อ… ที่จริงก่อนนี้พวกเขาก็ใช้ไฟแช็คกันเป็นอยู่แล้วน่ะฮะ ผมแค่บอกพวกเขาไปว่า เอาไฟไปใช้ย่างอาหาร ใช้ทำอาหารได้ แค่นั้นเอง
“พี่อยากกินสักหน่อยไหม”
ซางเจี้ยนเย่าไม่เกรงใจอะไรอีกต่อไป
“แล้วยังมีของกินอย่างอื่นอีกไหม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอดูว่าพวกเขาขนอะไรกลับมาบ้าง ผมไม่ค่อยเลือกกินหรอก จริงๆ นะ!” เสี่ยวชงเน้นย้ำ
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เธออยู่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”
“ผมไม่รู้” เสี่ยวชงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ผมไม่มีปฏิทิน แต่ก็น่าจะนานแล้วล่ะ นานมากๆ อยู่มาตั้งแต่ก่อนที่คุณยายที่พูดถึงคนนั้นจะกลายเป็นคุณน้าซะอีก จนกลายมาเป็นคุณยายนี่แหละ”
“การที่เธออาศัยอยู่ที่นี่ มันเลยทำให้เธอไม่โตขึ้นงั้นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความเป็นห่วง
เสี่ยวชงขมวดคิ้ว
“พี่นี่น่ารำคาญจัง อย่าถามคำถามพวกนั้นได้ไหม”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับ เขาพูดต่ออย่างมีความสุข
“ที่จริงได้เป็นเด็กตลอดไปนี่ดีจะตาย ไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ต้องไปค่อยห่วงนู่นห่วงนี่ ได้เล่นเกม ได้อ่านหนังสือ แถมยังไม่มีพ่อแม่มาคอยห้าม มาควบคุมเวลาเล่นด้วย”
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปอึดใจก่อนจะถามต่อ
“แล้วไม่คิดถึงพวกเขาบ้างหรือไง”
เสี่ยวชงเม้มปากไปสองสามวินาที
“คิดถึงสิ
“แต่คิดถึงแล้วจะทำอะไรได้ พวกเขาตายไปตั้งนานแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าอึ้งไปพักใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรต่อ เสี่ยวชงก็กลับไปก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อ โดยไม่ได้สนใจท่าทีแปลกๆ ของซางเจี้ยนเย่าอีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจ้องมองหน้าจอ LCD ที่อยู่ตรงหน้าก็เอ่ยปากถามขึ้น
“ทำไมที่นี่ถึงมีไฟฟ้าใช้ล่ะ”
“พวกเขาเดินสายมาจากห้องเครื่องใต้ดินน่ะ ฮ่า ฮ่า ผมเป็นคนแนะนำพวกเขาให้ทำเองแหละ!” เสี่ยวชงรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้มาก
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังหน้าจอเกมที่วูบวาบตื่นตา แล้วหยิบแป้นควบคุมอีกอันของเครื่องสีดำขึ้นมา
“นี่เล่นยังไงเหรอ”
ดวงตาของเสี่ยวชงสว่างวาบขึ้นมาทันที
“มา ผมสอนให้
“ปุ่มนี้กระโดด ปุ่มนี้กลิ้ง ปุ่มนี้ไว้ป้องกัน พอป้องกันเสร็จก็โจมตีสวนกลับไป…”
* * * * *
ที่ทางเดิน
หลังจากรอมานานเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยังไม่เจอสัญญาณการโจมตีระลอกสอง จึงกลับมายังตำแหน่งเดิม
เธอตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างรอบคอบถี่ถ้วน แล้วพูดเสียงดัง
“ออกมาได้แล้ว พวกที่โจมตีมันไปกันหมดแล้วล่ะ”
ไป๋เฉิน หลงเยว่หง ออกมาจากจุดที่ซ่อนตัว ค่อยๆ เดินไปหาเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างระมัดระวัง
“ที่นี่มันแปลกมาก ต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด” ไป๋เฉินไม่ได้ปิดบังความคิดตัวเอง
หลงเยว่หงมองดูรอบๆ
“แล้วซางเจี้ยนเย่าล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“ทางด้านนี้มีสัญญาณไฟฟ้าอยู่ชัดๆ นี่นา…
“เดี๋ยวนะ มีสัญณาณไฟฟ้าอยู่สองจุด เกือบจะซ้อนทับกันเลย
“ซางเจี้ยนเย่าถูกทำให้หลับไปงั้นเหรอ”
เมื่อคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ผนวกกับสิ่งที่ได้เผชิญมาก่อนหน้านี้ นี่เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดที่เธอนึกขึ้นมาได้
ถ้าหากว่าไม่ได้ถูกควบคุมตัวไว้ อย่างนั้นซางเจี้ยนเย่าที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่น่าจะไม่ตอบสนองอะไรเลย
หลงเยว่หงที่เข้าใจซางเจี้ยนเย่าดีกว่า พูดขึ้นมาอย่างตระหนก
“หรือว่าเขากำลังเจอกับสิ่ง ‘อันตราย’ และกำลังแข่งจ้องตากับเจ้าสิ่ง ‘อันตราย’ นั่นอยู่ แข่งกันว่าใครกะพริบตาก่อนหรือใครพูดก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้”
“ฉันเชื่อว่าซางเจี้ยนเย่าทำแบบนี้ได้จริงๆ นั่นแหละ แต่ว่านะ… ทำไมเจ้าสิ่ง ‘อันตราย’ นั่นถึงยอมแข่งจ้องตากับเขาล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดไปพลาง ก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้บานประตูไม้ที่ทะลุเป็นรูคล้ายรูปร่างมนุษย์ไปด้วย
หลังจากที่เข้าใกล้ เธอก็เห็นแสงวูบวาบอยู่ด้านใน
“อาจจะเป็นเพราะพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็ได้…” ไป๋เฉินลดเสียงลงในขณะที่พูด
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นไงก็ตาม ช่วยคนออกมาก่อนเถอะ”
ถ้าหากว่าหลับก็ต้องปลุก ถ้าหากว่า ‘แข่งจ้องตา’ ก็ต้องเข้าไปขัดจังหวะ
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงรีบเข้าไปคุ้มกันหัวหน้าทีมทันทีตามที่ได้ฝึกซ้อมมา
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมาก่อนจะยิงผ่านช่องแตกบนบานประตูทะลุเข้าไปที่พื้นกระเบื้อง
เสียงปังดังกึกก้อง เธอกระแทกบานประตูที่ถูกปิดล็อคแล้วดีดตัวกลับมาเมื่อได้ยินเสียงดังคลิก จากนั้นพิงกายแนบผนังเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
หลงเยว่หงและไป๋เฉินยืนแนวเฉียงเล็งปืนเข้าไปข้างใน เตรียมพร้อมว่าหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ จะลั่นไกทันที
แต่ทว่าภายในห้องนั้นกลับไม่มีเสียงปืนดังออกมา และไม่มีเงาร่างของซางเจี้ยนเย่าขยับวูบออกมาเช่นกัน มีเพียงเสียงต่อยตีที่ฟังดูแปลกพิกลดังออกมาเบาๆ เท่านั้น
เมื่อมองดูในห้องก็เห็นแสงกะพริบวูบวาบเล็ดรอดออกมา เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็เริ่มงุนงงสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของซางเจี้ยนเย่าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
โดยไม่มัวรีรอชักช้าให้เสียเวลาอีกต่อไป เจี่ยงไป๋เหมียนกลิ้งม้วนตัวเข้าไปในห้องโดยมีสมาชิกของทีมอีกสองคนคอยช่วยคุ้มกันให้
จากนั้นเธอก็กระโดดเข้าไปด้านหลังโต๊ะ มองลอดผ่านช่องว่างประตูจากระยะไกลเพื่อดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สิ่งแรกที่ปรากฏในครรลองสายตาเธอก็คือซางเจี้ยนเย่าที่กำลังมีท่าทางใจจดใจจ่อและเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบ จากนั้นก็เห็นแป้นควบคุมสองอัน เครื่องสีดำ และหน้าจอ LCD ที่สว่างวูบวาบ และอย่างสุดท้ายก็คือภาพแปลกประหลาดบนหน้าจอที่เปลี่ยนเป็นระยะระยะ
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับตาค้างไปในทันที
เธอเตรียมใจว่าจะเจอเหตุการณ์พิสดารไว้สารพัดประการ แต่ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเธอนั้นเกินความคาดหมายยิ่งขึ้นไปอีก
“พวกนายทำไรกันอยู่น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงดังโดยยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา
“เล่นเกม” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ได้หันหน้ามา
มุมปากของเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกเล็กน้อย เธอลุกขึ้นยืนด้วยความระแวดระวังอย่างยิ่ง แต่ทว่าภายในห้องก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เมื่อหลงเยว่หงกับไป๋เฉินเห็นแบบนี้ก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาช้าๆ และถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นฉากที่อยู่เบื้องหน้า
“…สนุกไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนเจตนาเลือกคำถามที่ไม่ค่อยอ่อนไหวมากนัก
“สนุกมาก!” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล
ใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ คลายเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“คนที่อยู่ข้างๆ นายนี่คือ…”
“เขาเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองตัวละครในเกมด้วยสายตาวาววับ “เป็นเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ยังไม่ลดความระวังลง ยังคงรักษาท่าทางที่สามารถหลบหลีกและโต้กลับได้ตลอดเวลา
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน ในซากเมืองแบบนี้ ในอาคารใต้ดินแบบนี้ ต่อให้เจอผู้ใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักล่าซากอารยะก็เถอะ ไม่ว่ายังไงก็ดูน่าสงสัยทั้งนั้นแหละ ต้องคอยระวังเอาไว้ก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กชายตัวจ้อยอายุแค่เจ็ดแปดขวบนี่เลย
นี่เขารอดชีวิตมาได้ยังไงกัน
ซางเจี้ยนเย่าแนะนำตัวเพิ่ม
“เขาชื่อเสี่ยวชง”
เสี่ยวชง… หลงเยว่หงถึงกับตะลึงเมื่อได้ยิน จากนั้นก็รู้สึกขนลุกเกรียวตั้งแต่กระดูกสันหลังขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม
ขนทั่วร่างลุกชี้ชัน ได้ยินเสียงแว่วของ ‘หญิงชรา’ ที่กระซิบดังก้องสะท้อนอยู่ในหู
“พวกเจ้า… ส่งเสียง… รบกวน… เสี่ยวชง…”
ณ ตอนนี้ หลงเยว่หงเกือบจะนิ้วกระตุกลั่นไกออกไป
ยังดีที่ในวินาทีถัดมา ซางเจี้ยนเย่าพูดขึ้นอย่างเจ็บใจ
“เฮ้อ ตายอีกแล้ว
“เสี่ยวชง พี่จะต้องไปแล้วนะ ไว้มีโอกาสค่อยเจอกันใหม่”
เสี่ยวชงหันมามอง สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอฮะ ไม่มีใครเล่นเกมกับผมมาตั้งนานแล้ว
“สอนให้พวกเขาหัดเล่นเท่าไหร่ก็ยังเล่นกันไม่เป็นซะที”
เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังสงสัยอยู่ว่าสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี่มันเป็นความฝันร่วมหรือว่าเป็นภาพหลอนหมู่หรือเปล่านั้น ก็พลันรับรู้ถึงสัญญาณไฟฟ้าหลายจุดกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
“ระวัง!” เธอรีบร้องเตือนและยกปืนยิงระเบิดขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง
ขณะหลงเยว่หงและไป๋เฉินกำลังเฝ้าระวังอยู่ในห้องนั้น ซางเจี้ยนเย่ามองดูเสี่ยวชงอย่างครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“ตามพี่ไปด้วยไหมล่ะ เราจะได้ไปเล่นเกมด้วยกันไง
“จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย”
เสี่ยวชงคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะยิ้มออกมา
“ตกลงฮะ!”
พอเขาพูดขาดคำ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สังเกตเห็นว่าสัญญาณไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาใกล้นั้นหยุดเคลื่อนที่ทันที จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป
นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนหุบปากอย่างไม่วางใจ ไม่พูดอะไรออกมาอีก
เสี่ยวชงหยิบกระเป๋าเป้นักเรียนสีแดงออกมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ แล้วก็เอาเครื่องเล่นเกมสีดำ แป้นควบคุม และข้าวของอย่างอื่นใส่ลงไป
เขาสวมชุดสีเหลือง รีบสะพายกระเป๋าแล้วมองซางเจี้ยนเย่าที่ยืนรออยู่
“เสร็จแล้วฮะ ไปกันได้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่ามองเขาแล้วก็ยิ้มออกมา
“เธอดูเหมือนไข่เจียวผัดมะเขือเทศเลย”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ต่างก็พูดไม่ออก
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าซางเจี้ยนเย่าจะพูดอะไรอย่างนี้กับเด็กชายประหลาดคนนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้