รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 86 คำเตือน
ในรถออฟโรดคันที่ ‘ไฮยีน่า’ นั่งอยู่นั้น คนขับรถรอจนกระทั่งรถแล่นกลับมาถึงตำแหน่งที่ตั้งของ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ แล้ว ถึงจะกล้าแบ่งสมาธิหันกลับมาดูหัวหน้าที่นั่งข้างกาย
แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ในใจก็จมดิ่งลงทันที รู้สึกเสียววาบไปทั้งสันหลัง
หลินลี่ที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งข้างคนขับนั้นไม่รู้ว่าล้มพับลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หมวกเบเร่ต์สีเขียวอมเทาถูกย้อมจนเป็นสีแดง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
“พี่ใหญ่…” คนขับรถชะลอความเร็วลง ร้องตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่หลินลี่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
ในที่สุดเขาก็ยืนยันสถานการณ์ในตอนนี้ได้แล้ว
พี่ใหญ่ที่มีจิตใจฮึกเหิม ผู้ที่กวาดล้างนิคมมนุษย์ชั้นรองโดยไม่กะพริบตาและไม่เปลี่ยนสีหน้า ทั้งยังหัวเราะร่าอีกด้วย ตอนนี้ได้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มสี่คนที่ดูแล้วไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ แต่กลับถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด
ยิ่งกว่านั้นสมาชิกในทีมอย่างน้อยหกคนก็เสียชีวิตด้วยเช่นกัน สมาชิกหลักหายไปเกือบครึ่งทีม
นี่ทำให้คนขับรถแทบจะสติแตก ขณะที่กำลังควบคุมพวงมาลัยเขาก็กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก
หลังจากรถพ่นน้ำที่เปิดดนตรีไพเราะแล่นผ่านไป เขาก็สะดุ้งและตระหนักบางเรื่องขึ้นมาได้
“ไม่ว่ายังไง ในครั้งนี้ก็เก็บเกี่ยวกันมาได้มากพอควร ตราบใดที่หลบหนีการไล่ล่าของทีมสี่คนนั่นได้ พรุ่งนี้เช้าก็ออกจากซากเมืองนี้หลบหนีไปได้
“ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเสียพี่ใหญ่ รถหุ้มเกราะ ปืนกลหนัก แล้วก็สมาชิกคนอื่นๆ ไปหลายคน แต่ก็ยังมีรถเหลืออีกสามคัน คนอีก 6-7 คน กับปืนบาซูก้าแบบพกพาหนึ่งกระบอก นอกจากนั้นพวกอาวุธปืนก็ยังมีอีกเหลือเฟือ
“พอขายข้าวของที่เก็บเกี่ยวมาได้ แล้วก็จ้างพวกคนเร่ร่อนที่มีฝีมือดีมาเพิ่มอีกซักห้าหกคน คราวนี้พวกเราก็จะกลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งทรงพลังได้อีกครั้ง
“ถึงแม้ว่าจะยังเทียบกับสมัยก่อนไม่ได้ แต่นั่นก็พอแล้วสำหรับการคุกคามพวกอ่อนแอในแดนธุลี”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าคนขับรถก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง และยังเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วย
ขอเพียงแค่หลังจากนี้ไปเขาสามารถฉกฉวยโอกาสไว้ได้ แล้วสร้างอำนาจบารมีของตัวเองขึ้นมา เขาก็จะกลายเป็นพี่ใหญ่คนต่อไป!
หลินลี่ยังทำได้ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้
จิตใจอันเย็นชาของคนขับลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะการตายของหัวหน้า
เขาหักพวงมาลัยขับตรงไปยังจุดที่สมาชิกคนอื่นๆ รออยู่
* * * * *
รถหุ้มเกราะสีเขียวขี้ม้ามุ่งหน้าตรงไปสี่แยกพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนบนพื้นถนน
หลงเยว่หงมองดูอาคารริมถนนผ่านแท่นปืนกลบนหลังคารถและกระจกกันกระสุนที่ประตู เขาฆ่าเวลาด้วยการนั่งนับจำนวนหน้าต่างที่มีแสงส่องออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
ในตอนนี้เขาไม่กล้าชะโงกศีรษะออกนอกรถเพราะกลัวว่าอยู่ดีๆ ลูกกระสุนจะปลิวมาเจาะกะโหลกเหมือนกับที่พวกกลุ่มโจรก่อนหน้านี้โดนเข้าไป
“นั่น… ดูสิ ตรงนั้นมี ‘คนไร้ใจ’ อยู่ด้วย…” จู่ๆ หลงเยว่หงก็พูดขึ้นพร้อมกับชี้มือไปด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตามไปก็เห็นเงาร่างคล้ายลิงกำลังนั่งอยู่บนเสาคอนกรีตที่เดินสายไฟระโยงระยางเอาไว้ กำลังก้มหน้าซ่อมแซมอุปกรณ์อย่างจริงจังด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ถืออยู่
นั่นคือผู้ชายสวมเสื้อผ้าสีเข้ม ที่เอวห้อยปืนพกสีดำที่เก็บมาจากไหนไม่อาจทราบได้
“พวกที่โจมตีพวกเราก่อนหน้านี้ มีเจ้านี่อยู่ด้วยหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาแล้วถามขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
เธอพูดถึงการปะทะกันกับคนไร้ใจในระหว่างที่เดินทางไปยัง ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ กับเฉียวชู
“ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่” ไป๋เฉินสั่นศีรษะ “ตอนนั้นมี ‘คนไร้ใจ’ ตั้งเยอะแยะ”
“อืม ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น ใครจะมีเวลาไปแยกแยะได้ว่าเจ้าพวกนั้นตัวไหนมีลักษณะหน้าตาเป็นยังไง” หลงเยว่หงเห็นด้วย
“ช่างเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นไปดูอีกครั้ง “ดูพวกมันแล้วเหมือนเป็นช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญจริงๆ”
เธอพูดจบก็มีรถคันใหญ่ขับมาจากสี่แยกด้านหน้า
รถคันนี้ใหญ่มาก ตลอดทั้งคันทาสีแดงสะดุดตา มีทั้งหมดหกล้อ ดูแข็งแรงทนทาน
มันขับตรงมาตามถนนซึ่งมีรถจอดขวางทางจนเกินครึ่งความกว้างถนน มุ่งหน้ามาทางรถหุ้มเกราะ
“ทำไงกันดี” หลงเยว่หงรู้สึกตระหนกเล็กน้อย
นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยเผชิญมาก่อน
“จะทำไงได้ล่ะ หรือว่านายอยากจะให้ชนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองหลงเยว่หง “เจอแบบนี้ ถึงแม้ว่ารถหุ้มเกราะชนแล้วจะไม่สะดุ้งสะเทือนก็เถอะ แต่ถ้าเกิดมีชิ้นส่วนพังจนขับต่อไม่ได้ กลายเป็นพวกเราต้องกลับไปเดินเท้ากันอีกรอบ รู้ไหมว่ามันจะอันตรายขนาดไหน”
โดยไม่ต้องรอให้เจี่ยงไป๋เหมียนสั่ง ซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มควบคุมให้รถหุ้มเกราะเลี้ยวไปในซอยด้านหน้าที่อยู่เยื้องกันเพื่อเปิดทางให้
“โอ้ มีสติดีนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกลั้วหัวเราะ “คิดว่านายจะพุ่งไปชนจังๆ แล้วดูว่าใครจะแข็งกว่ากันซะอีก”
ซางเจี้ยนเย่าพูดโดยไม่ได้หันหน้ามามอง
“มันไม่คู่ควร”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออก
ขณะที่กำลังจะหาเรื่องอื่นมาพูด รถสีแดงคันใหญ่ก็ขับผ่านเลยไป แล้ววิ่งหายลับไปจากสายตา
ในตำแหน่งที่นั่งคนขับ มี ‘คนไร้ใจ’ เพศชายสวมเสื้อสีเขียวตัวหนาและสวมหมวกนิรภัยสีเหลืองนั่งอยู่ มันจับพวงมาลัยอย่างแข็งทื่อแต่สีหน้ากำลังตั้งอกตั้งใจ
พูดตามตรงว่านี่ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็คงไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายนั้นเป็น ‘คนไร้ใจ’
แสงไฟที่สาดส่องมาจากรอบด้าน ทำให้สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ตกอยู่ในความเงียบ
รถหุ้มเกราะแล่นย้อนกลับไปยังถนนก่อนหน้า มี ‘คน’ เดินไปเดินมาเป็นระยะ ทำให้ดูมีคึกคักชีวิตชีวามาก
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดสายตามองดูก็พลันเห็นร่างที่คุ้นเคย
เป็นหญิงสาวผมบลอนด์ตาสีฟ้า สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่น
กาโลแรน!
กาโลแรนที่พวกเขาได้เจอในแดนร้างก่อนหน้านี้!
“นักพรตเต๋าคนนั้น…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยเสียง ‘เบา’ แล้วส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่าหยุดรถ
เธอเปิดประตูรถตะโกนเรียกกาโลแรน
“ท่านนักพรต!”
กาโลแรนที่กำลังเดินทอดน่องอยู่ริมถนนหันหน้ามา พอเห็นพวกเขาก็แย้มยิ้มทักทาย
“โชคชะตานำพาให้เราได้พบกันอีกครั้ง”
“คุณได้เจออะไรบ้างไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
กาโลแรนผงกศีรษะ
“พวกคุณรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเถอะ”
“ทำไมเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
กาโลแรนแหงนหน้ามองฟ้า
“ที่นี่มีกลิ่นอายของ ‘ผู้ครองกาล’ ที่หลงเหลือตกค้างอยู่”
กลิ่นอายของ ‘ผู้ครองกาล’ ที่หลงเหลือตกค้างอยู่…
เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ต่างทวนคำอยู่ในใจพร้อมๆ กัน แล้วย้อนนึกถึงสิ่งผิดปกติต่างๆ ในซากเมืองแห่งนี้
“ผู้ครองกาลองค์ไหน” หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ซางเจี้ยนเย่าก็เอนตัวลงมาพิงนอนบนเบาะฝั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อถาม
กาโลแรนถอนหายใจ
“มหาปราชญ์จวง”
จากนั้นเธอก็ภาวนาต่อทันที
“มหาเทพทรงประทานพร”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบถามต่อ
กาโลแรนผมบลอนด์ส่ายหน้า
“ฟ้าสางเมื่อไหร่ พวกคุณก็รีบออกไปเถอะ”
เธอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ รุดเดินหน้าจากไป
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตามแผ่นหลังของนักพรตหญิงอยู่สองสามวินาที ก่อนจะผลักซางเจี้ยนเย่ากลับไปนั่งตำแหน่งสารถีตามเดิม
“ออกรถ กลับไปที่รถจี๊ป ฟ้าสางเมื่อไหร่เราจะออกจากที่นี่ทันที” เธอพูดพลางปิดประตูรถ
รถหุ้มเกราะยังคงเดินหน้าต่อไปในโลกอันสว่างไสวที่เกิดจากไฟถนนและแสงไฟจากหน้าต่างอาคารทั้งสองฟาก มุ่งหน้ากลับไปทางอุโมงค์
ระหว่างทางก็เห็นผู้ชายกำลังซ่อมรถอยู่ เห็นผู้หญิงใช้ตะหลิวคนหม้อเปล่าไม่หยุด เห็นเด็กเดินไปเดินมาไม่ได้ทำอะไร เห็น ‘คนไร้ใจ’ ทำเรื่องสารพัดอย่าง
พวกมันไม่ได้มีกันมากนัก ร่างอาบด้วยไฟสีเหลืองบ้างสีขาวบ้าง ราวกับเป็นภาพฉายของเหตุการณ์ในอดีตจากโลกเก่า
มีรถขนาดใหญ่ขับผ่านไปพร้อมกับดันรถที่จอดขวางทางให้เคลื่อนไปกองอยู่ข้างถนน เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจเงียบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในที่สุดฉันก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมกลางถนนถึงได้โล่งนัก ทำให้พวกเราขับรถผ่านมาได้”
“ตอนแรกน่าจะยังมีแบบนี้ไม่มากเท่าไหร่” ไป๋เฉินจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “เพราะถ้าพวก ‘คนไร้ใจ’ ชุดแรกสุดสามารถทำอย่างนี้ได้ พวกมันก็คงจะขับรถออกไปเองแล้วเอาไปจอดในที่ที่ควรจอดแหละ…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ รถหุ้มเกราะก็กลับมาถึงถนนจุดที่พวกเขาจากมา
พวกป้ายที่มีคำว่า ‘แช่เท้า’ ‘ซูเปอร์มาร์เก็ต’ ‘บาร์บีคิว’ ‘หม้อไฟ’ ‘บริการประชาชน’ ที่อยู่ริมถนนข้างทางนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงไฟ
ซุ้มประตูหินสีน้ำตาลอมเหลืองที่ประตูทางเข้าบริเวณที่พักสะท้อนแสงสีทองเสริมความสง่างามให้กับคำว่า ‘สวน’ และ ‘หยาง’ ที่ยังเหลืออยู่
อาคารเจ็ดแปดหลังที่อยู่ด้านในนั้น หน้าต่างหลายบานส่องแสงสว่างแตกต่างกันไป ขับไล่ความมืดยามวิกาลออกไปบางส่วน
หลังจากกลับมาถึงสถานที่อันคุ้นเคย เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นอีกเล็กน้อย
“เลี้ยวเข้าไป” เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ละสายตากลับมาแล้วออกคำสั่ง
ซางเจี้ยนเย่าหันกลับมาควบคุมรถหุ้มเกราะให้แล่นผ่านประตูเข้าไปข้างใน
เนื่องจากถนนหลายเส้นนั้นคับแคบจนรถหุ้มเกราะเข้าไปไม่ได้ ซางเจี้ยนเย่าจึงมองหาจุดที่ใกล้รถจี๊ปที่สุดเพื่อจอดรถหุ้มเกราะไว้
“คืนนี้นอนในรถกันดีไหม” หลงเยว่หงรู้สึกว่าการอยู่ในรถหุ้มเกราะนั้นให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่า
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าตอนนี้เราอยู่ที่อื่น การเลือกนอนในนี้ก็ไม่เลวนักหรอก
“แต่ในซากเมืองนี้มีพวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลังอยู่ไม่น้อย พลังของพวกมันค่อนข้างแปลกประหลาด ถ้าไม่ระวังตัวไว้ก็อาจจะได้รับผลกระทบจากพลังของพวกมันได้ วิธีง่ายๆ อย่างเช่นการเฝ้ายามนั้นยากที่จะป้องกันเรื่องพวกนี้ได้
“แล้วรถหุ้มเกราะแบบนี้ก็ค่อนข้างสะดุดตามาก อาจจะตกเป็นเป้าของพวกนักล่าได้ง่ายๆ
“ถ้าเป็นแบบนั้นละก็… รถหุ้มเกราะไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยปกป้องเรา แต่กลับกลายเป็นกรงเหล็กที่ขังเราไว้ด้วยซ้ำ”
หลงเยว่หงตกตะลึง รีบถามต่อทันที
“งั้นควรทำไงดี”
เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่อาคารหลังที่พวกเขาพักกันก่อนหน้านี้
“เข้าไปที่นั่นกันก่อน แล้วค่อยหาห้องที่ไม่มี ‘คนไร้ใจ’ อยู่
“ส่วนเรื่องเวรยามก็ให้คนนึงคอยสอดส่องรถจี๊ปกับรถหุ้มเกราะเอาไว้ ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอะไรเข้ามาใกล้ก็ยิงได้ทันที
“พูดง่ายๆ ก็คือเราจะใช้รถจี๊ปกับรถหุ้มเกราะเป็นเหยื่อล่อ”
หลงเยว่หงอ้าปากอยากจะชมหัวหน้าทีม แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคำที่จะชมนั้นไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่
“หัวหน้า เขาอยากจะพูดว่าคุณจิตใจอำมหิตมาก” ซางเจี้ยนเย่าเสนอตัวช่วยพูดแทนหลงเยว่หง
“เฮ้ย ปะ… เปล่านะ!” หลงเยว่หงรีบปฏิเสธพัลวัน
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพลางหัวเราะ
“อำมหิตก็ดีกว่าโง่เขลาเบาปัญญาแหละน่า
“แล้วก็นะ… ที่จริงแล้วต้องชมฉันว่าฉลาดหลักแหลมต่างหากย่ะ เข้าใจมั้ย”
ในระหว่างที่พูดพวกเขาก็ลงจากรถหุ้มเกราะ แล้วขนเอาอาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง และธัญพืชอัดแท่งจำนวนมากลงมาจากท้ายรถจี๊ปด้วย โดยใส่เอาไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลัง
ด้วยวิธีนี้ หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจเข้าก็จะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเสบียงจะถูกลูกหลงจากระเบิดไปด้วย
หลังจากที่สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว คนทั้งสี่ก็กลับเข้าไปในอาคารหลังแรกอีกครั้ง
ภายใต้แสงไฟส่องสว่าง พวกเขามองเห็น ‘คนไร้ใจ’ ได้ในแวบแรกทันที
‘คนไร้ใจ’ นั้นอยู่ในวัยฉกรรจ์ สวมเสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ
ผมเผ้ายุ่งเหยิงสกปรก แต่ก็ไม่ได้ยาวเกินไปนัก ยังยาวไม่ถึงบ่า
ณ ขณะนี้ ‘คนไร้ใจ’ เพิ่งจะเปิดประตูลิฟต์สีเงินดำ ถือเครื่องมือปีนขึ้นไปบนสลิงนิรภัย
เขาเงยหน้าขึ้นมา มองดูเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ด้วยดวงตาที่ขุ่นมัว จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปเหมือนเดิมอย่างเงียบงัน
“มันกำลังซ่อมบำรุงลิฟต์อยู่งั้นเหรอ” หลงเยว่หงชะงักไปสองสามวินาทีก่อนจะโพล่งออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ก็น่าจะอย่างนั้นนะ”
ซางเจี้ยนเย่าพูดขึ้น
“ผมเคยเจอคนนี้
“เมื่อคืนตอนที่ผมเฝ้ายามอยู่ ก็เห็นเขามาทางนี้ ท่าทางเหมือน…”
เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“เหมือนกับสัตว์ร้าย”