รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 88 จบเพลง (จบองก์)
บนหลังคาสูง ดาดฟ้าที่ว่างเปล่า เสียงร้องเพลงอันโศกเศร้าของหญิงสาวดังอย่างแผ่วเบาและไพเราะ
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปรอบๆ ดูเมืองมืดมิดที่ตายลงไปอีกครั้ง แล้วก็ทอดถอนใจออกมา
“เพลงนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นตอบสนอง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ
“ลงไปกันเถอะ ไฟฟ้าดับหมดแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก พวกเราต้องคอยเฝ้าระวังรถจี๊ปกับรถหุ้มเกราะเอาไว้ให้ดี
“ถ้าเกิดประมาทแล้วทำรถหายขึ้นมา ทีหลังถ้าพวกเราไปเจออันตรายหนักๆ แล้วไม่มีรถหุ้มเกราะช่วยนี่จะเป็นปัญหาไม่ใช่น้อย”
เธอไม่ได้กังวลว่าในตอนรุ่งสาง จะมีพาหนะไว้ใช้เดินทางหรือไม่ เพราะว่าในซากเมืองแห่งนี้มีรถที่ยังใช้งานได้อยู่ไม่น้อย
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบรับตามปฏิกิริยาตอบสนองทันที
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่า
“ปิดลำโพงก่อนเถอะ ไม่งั้นจะทำให้พวกเราตกเป็นเป้าหมายได้”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แย้งอะไร นั่งยองลงไปหยิบลำโพงตัวเล็กที่ก้นสีน้ำเงินพื้นผิวสีดำขึ้นมา กดปิดสวิทช์แล้วโยนกลับเข้าไปในเป้ยุทธวิธีของตน
สภาพแวดล้อมกลายเป็นเงียบสงัดในทันที มีเพียงเสียงลมพัดดังหวีดหวิวเท่านั้น
ขณะที่ทั้งสี่คนจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เดินตรงไปยังบันได ไป๋เฉินก็อดหันกลับมามองภาพเมืองที่ทอดยาวออกไปไม่ได้
อาคารต่างๆ นั้นซ่อนหลบอยู่ในความมืด ไม่มีเสียงสำเนียงใดๆ และไร้ซึ่งแสงสว่างปรากฏให้เห็น
“หัวหน้าคิดว่าแบบนี้ดูเหมือนหินป้ายสุสานไหม” ไป๋เฉินละสายตากลับมาพร้อมกับถามเบาๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองแล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“อืม อาคารพวกนั้นดูเหมือนป้ายสุสานของโลกเก่าจริงๆ นั่นแหละ ป้ายสุสานที่เรียงต่อๆ กันไปเป็นแถว…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมา
“ป้ายสุสานคืออะไรเหรอ”
‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นไม่มีสุสาน พนักงานทุกคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะมีเพียงแค่ข้อความหนึ่งแถวที่สลักเอาไว้บนกำแพงที่จัดเตรียมไว้เท่านั้น
“มันคือ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามเรียบเรียงคำพูด “ช่างมันเถอะ ไว้ทีหลังค่อยอธิบายให้ฟัง”
เธอเดินลงบันได และเปิดสวิทช์ไฟฉาย
ตอนนี้พวกเขาใช้ลิฟต์ไม่ได้แล้ว จึงต้องวิ่งเหยาะๆ ลงบันไดไป
ยังดีที่สมรรถภาพร่างกายพวกเขานั้นค่อนข้างดี คนทั้งสามได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้ว ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงห้อง 805 ก็เพียงแค่หายใจแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถึงกับเหนื่อยหอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าแยกย้ายไปสำรวจห้องอีกครั้ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอันตรายบุกรุกเข้ามา
“ไป๋เฉิน เธอกับหลงเยว่หงไปพักกันเถอะ ฉันจะรับผิดชอบการเฝ้าระวังรถจี๊ปกับรถหุ้มเกราะต่อเอง ซางเจี้ยนเย่า นายคอยระวังข้างนอกไว้นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบไฟฉายเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“ค่ะ” ไป๋เฉินมองดูหัวหน้าทีมเดินไปที่หน้าต่างห้องอาหารแล้ววางปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ พาดไว้ แล้วครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นมา “สถานที่ที่เกิดการระเบิดดูเหมือนว่าน่าจะเป็นห้องแล็บลึกลับที่เฉียวชูพูดถึงนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา เธอตั้งใจจดจ่ออยู่กับการเฝ้าระวังยานพาหนะด้านล่าง
“ดูจากทิศทางและตำแหน่งแล้วก็มีความเป็นไปได้สูง
“ไม่รู้ว่าภารกิจของเฉียวชูคือการทำลายที่นั่น หรือว่าเป็นเพราะเขาปะทะกับจิ้งฝ่าเข้า เลยเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นกันแน่…”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูสถานที่ที่เกิดเปลวเพลิงและกระแสอากาศพุ่งขึ้นไปก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“ผมเดาว่าเป็นข้อแรก”
“ตัดสินจากสถานการณ์ของสถาบันวิจัยที่แปดที่ตู้เหิงเล่าให้ฟังน่ะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาโดยอัตโนมัติ
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“ตะกี้ผมนับรถที่จอดอยู่ข้างทาง
“มันเป็นเลขคี่”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถ่มน้ำลาย “ฉันไม่น่าเสียเวลาคุยเป็นจริงเป็นจังกับนายเลย ให้ตายสิ”
หลงเยว่หงที่ยังไม่ได้พูดออกมาสักคำตั้งแต่ที่กลับลงมาจากดาดฟ้า ในตอนนี้เขามองดูซากเมืองด้านนอกที่จมอยู่ในความมืด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาบาง
“หัวหน้า… ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงต้องการสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า ทำไมถึงชอบขุดค้นประวัติศาสตร์แห่งอดีตกาลจากซากปรักของเมือง…”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังเงียบๆ แล้วยิ้มอย่างโล่งใจ
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
หลงเยว่หงอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้อีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี จึงได้แต่เพียงจ้องมองดูซากเมืองที่เต็มไปด้วยความเงียบและอันตรายซุกซ่อนอยู่ ก่อนจะพูดต่อ
“ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกนะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงเฝ้ามองรถจี๊ปและรถหุ้มเกราะอยู่ “หวังแค่เพียงว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเรา หวังแค่เพียงว่าจิ้งฝ่าสามารถไล่เฉียวชูออกจากซากเมืองไปได้ จะให้ดีก็ซัดกันให้เจ็บหนักด้วยกันทั้งคู่เลย สรุปก็คือฉันหวังว่าพวกเราจะรออยู่นี่ได้จนถึงรุ่งสางโดยไม่เกิดเรื่องอะไร แล้วก็จะได้ขับรถออกไปกัน”
“หัวหน้า คุณพูดแบบนี้มันเป็นลางชัดๆ” ซางเจี้ยนเย่าพูดขึ้นมาลอยๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดตอบอย่างจนใจและไม่ค่อยพอใจนัก
“พวกเราเจอพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกกันมาตั้งหลายรอบแล้ว พอโชคร้ายสุดๆ แล้วมันก็ต้องโชคดีกันบ้างแหละน่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ไม่เคยได้ยินหรือไง”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘โชคร้าย’ สองคำนี้ ในใจหลงเยว่หงก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ยกมือขึ้นมาแตะปากตัวเอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า เพราะถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจะมีเสียงระเบิด เสียงยิงปืน เสียงหอน ดังขึ้นมาจากในซากเมืองเป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ไม่ได้ลามจนมาถึงอุโมงค์ทางนี้
รอจนครึ่งคืน ทุกอย่างก็เงียบสงัดลง
เวลาผ่านไป ขอบฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น อาคารต่างๆ ก็หลุดพ้นออกจากความมืด เปิดเผยรูปลักษณ์ของตนออกมา
แต่ในสายตาของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ นั้น อาคารเหล่านี้กลับดูเหมือนป้ายสุสานมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นป้ายสุสานซีดจาง เป็นสีเหลือง สีเทา สีดำ
“ไปกันเถอะ” หลังจากที่รีบกินอาหารเช้ากันจนเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ออกคำสั่ง
คราวนี้เธอให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงนั่งในรถหุ้มเกราะแล้วขับไป ส่วนเธอกับซางเจี้ยนเย่านั้นรับผิดชอบขับรถจี๊ป
ภายใต้แสงแห่งอรุโณทัย พวกเขาไม่ได้ย้อนกลับไปทางอุโมงค์ที่เข้ามา เพราะว่าเส้นทางนั้นมันคดเคี้ยวและอันตรายเกินไป ถ้าไม่มีเฉียวชูที่คุ้นเคยกับสภาพเส้นทางคอยบอกทางให้ รถคงจะวิ่งลงหล่มได้ง่ายๆ
และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าถนนบางจุดบนเส้นนั้นไม่น่าจะรับน้ำหนักรถหุ้มเกราะได้
จากคำบอกเล่าของอานหรูเซียงกับร่องรอยที่นักล่าซากอารยะคนอื่นทิ้งเอาไว้ พวกเขาจึงอ้อมตีวงไปทางเหนือแล้วออกจากซากเมืองไปตามเส้นทางที่ถนนค่อนข้างดีกว่า
ระหว่างทางพวกเขาก็ไม่ลืมเก็บนาฬิกาข้อมือ หน้าจอ LCD แว่นกันแดด และพวกสารพัดโลหะที่มีประโยชน์กลับไปด้วย นอกจากนี้ก็ยังเจอน้ำมันอีกสองถังสำหรับเติมรถหุ้มเกราะด้วย
ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หรี่ตาลง พูดกับซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ
“มีขบวนรถด้านหน้ากำลังตรงมา มีคนหลายสิบหรืออาจจะถึงร้อยคน”
พอพูดจบเธอก็นึกขึ้นมาได้
“ประมาณร้อยคนงั้นเหรอ… นั่นมันหน่วยปฏิบัติการของหวังเป่ยเฉิงนี่นา”
นั่นเป็นทีมที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ส่งมาเพื่อตรวจสอบสาเหตุผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่
อย่างที่คาดไว้ เพียงไม่นานพวกเขาก็เห็นรถหุ้มเกราะและรถคันอื่นๆ อีกทั้งยังเห็นหวังเป่ยเฉิงหัวหน้าหน่วยด้วย
หวังเป่ยเฉิงแปลกใจมากที่ได้พบกับเจี่ยงไป๋เหมียนและสมาชิกทีมคนอื่นๆ อีกครั้ง เขาขยับหมวกเบเร่ต์สีเทาแก่บนศีรษะให้ตรง มองดูรถหุ้มเกราะที่ไม่ใช่ของบริษัทซึ่งขับตามรถจี๊ปมา
“พวกคุณไม่ใช่ว่าไปเมืองฉีเฟิงกันหรอกเหรอ
“แล้วไหงถึงมาอยู่นี่กันได้ล่ะ แถมยังมีรถหุ้มเกราะอีกด้วย ไปเอามาจากไหนเนี่ย”
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือดูเหมือนว่าพวกทีมสำรวจเก่าเข้าไปในซากเมืองที่เพิ่งค้นพบเร็วกว่าตนเองเสียอีก
“ฮ่า ฮ่า เป็นอุบัติเหตุน่ะ อุบัติเหตุ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแห้งๆ
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าโหมดจริงจังทันที เล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ว่าพวกเธอและพวกถูกเฉียวชูทำเสน่ห์ แล้วหลังจากนั้นก็เข้าไปในซากเมืองโดยใช้ทางเส้นย่อยที่ลัดเลาะบึงน้ำเข้ามา
รวมไปถึงข้อมูลเรื่อง ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ เรื่องห้องแล็บลึกลับ เรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เรื่องม้าฝันร้าย เรื่องเสี่ยวชง เรื่องตู้เหิงกับกาโลแรน และเรื่องการระเบิดที่เกิดขึ้นในท้ายสุดด้วย
จากเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนปกปิดเพียงแค่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้ที่ฟังจากตู้เหิง และส่วนที่พลังพิเศษของซางเจี้ยนเย่ามีบทบาทสำคัญ เธอเชื่อมโยงเรื่องอย่างชาญฉลาดโดยให้เหตุผลว่าที่หลุดออกมาจากการทำเสน่ห์ของเฉียวชูได้เพราะ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กับเด็กชายเสี่ยวชง
จากมุมมองบางด้านแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
ขณะที่ฟังเรื่องพวกนี้ สีหน้าของหวังเป่ยเฉิงก็เคร่งขรึมจริงจัง สุดท้ายเขาก็พูดออกมาจากใจจริง
“ต้องขอบคุณมากจริงๆ นี่ถ้าหากไม่รู้เรื่องพวกนี้ก่อนล่ะก็ พอพวกเรารีบเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าจะมีคนตายไปมากขนาดไหน!
“ยิ่งไปกว่านั้น พวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ต้องมีมากกว่าที่พวกคุณเจอมาแน่ๆ ถึงแม้ว่าเราจะรู้เรื่องพวกนี้ก่อนก็จริง แต่ถ้าหากว่ามีเพียงแค่หน่วยปฏิบัติการของพวกเรา ก็ยังนับว่าอันตรายมากอยู่ดี
“ผมจะรีบส่งข้อมูลกลับไปบริษัทเพื่อขอกำลังเสริม
“จากนั้นก็อาจจะสร้างป้อมรักษาการณ์ไว้ที่ขอบซากเมืองก่อน…”
เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือ
“คุณจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้วล่ะ”
หวังเป่ยเฉิงมองไปที่รถหุ้มเกราะอีกครั้ง ถูมือไปมาก่อนจะยิ้มอย่างอิหลักอิเหลื่อ
“คุณพอจะช่วยสนับสนุนเพื่อนฝูงซักหน่อยได้ไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“ไม่มีปัญหา
“แต่ว่าพวกเราใส่ของไว้เยอะแยะในรถหุ้มเกราะ ถ้าใช้แค่รถจี๊ปคันเดียวคงจะขนกลับไปได้ไม่หมดแน่ คุณช่วยส่งพวกมันกลับไปบริษัทให้ด้วยละกัน ฉันลงบันทึกรายการของทุกอย่างไว้แล้ว
“แล้วก็ปืนกลหนักกับรถหุ้มเกราะคันนั้นก็เป็นสินสงครามของพวกเราด้วย จะใช้แลกเป็นแต้มส่วนร่วม”
สำหรับพวกเขาแล้ว การเดินทางในแดนธุลีด้วยรถจี๊ปนั้นย่อมสะดวกกว่ามาก
หวังเป่ยเฉิงสูดหายใจลึก ทำหน้าเหมือนปวดฟัน
“ก็ได้”
หลังจากอำลากลุ่มของหวังเป่ยเฉิงแล้ว หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็กลับมานั่งรวมกันในรถจี๊ปอีกครั้ง
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถอยู่ เธอครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดออกมา
“ในเมื่อได้พบกับพวกหวังเป่ยเฉิงแล้ว งั้นก็หมายความว่าบนถนนเส้นนี้ไม่น่าจะเจออันตรายอะไรอีก ทางข้างหน้าก็คงไม่ต้องเจอกับเฉียวชูแล้วล่ะ
“ซางเจี้ยนเย่า นายลบผลของพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ได้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่ากำลังเล่นสนุกอยู่กับแว่นกันแดดสีดำ ใส่ๆ ถอดๆ อยู่ตลอดเวลา
เมื่อได้ยินคำสั่งของหัวหน้าทีม เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ในบริษัทมีสามีภรรยาหลายคู่ที่เลือกคู่กันเอง ไม่ได้มาจากการจัดสรรจับคู่”
เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไปชั่วขณะก่อนจะบีบแตรรถ
“ถูก! ทำไมฉันถึงเอาแต่คิดว่ารักแท้ต้องมาจากการจัดสรรจับคู่เท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปพูดกับไป๋เฉิน
“มนุษย์ก็สามารถเชื่อใจและพึ่งพาได้เหมือนกันนะ
“หลังจากที่ผ่านมาหลายวันเนี่ย เธอรู้สึกว่าตอนนี้ไว้ใจให้พวกเราคอยระวังหลังได้หรือยัง”
ไป๋เฉินชะงักไป จากนั้นดวงตาก็วูบไหวอย่างไม่อาจควบคุมได้
เจี่ยงไป๋เหมียนขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ทำไมมันฟังดูคุ้นๆ แฮะ
“นายเลียนแบบคำพูดฉันนี่หว่า!”
“เขาเรียกว่าอ้างอิงคำพูดต่างหาก” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
พอไป๋เฉินได้ยินทั้งคู่เถียงกัน มุมปากเธอก็ยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นซางเจี้ยนเย่ามองดูหลงเยว่หงที่เหมือนยังงุนงงเล็กน้อยก่อนยิ้มออกมา
“เสริมหน้าอก ปลูกถ่ายเส้นประสาทรับสัมผัส ใส่มดลูกเทียม”
“…” กล้ามเนื้อใบหน้าหลงเยว่หงกระตุกสองสามครั้ง พยายามหักห้ามใจไม่ให้ชกซางเจี้ยนเย่า
อดทนไว้… ถึงสู้ไปก็ไม่ชนะไอ้หมอนี่อยู่ดี
จากนั้นพอย้อนนึกกลับไปก็พลันตระหนักว่าเขาอาจจะถูกผลจากพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ มาโดยไม่รู้ตัว รีบโพล่งถามด้วยความกลัวเล็กน้อย
“ปกติแล้วนายใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ มาหลอกฉันหรือเปล่า”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้หันหน้ามา เขาพูดออกไปตรงๆ
“นายไม่คู่ควร”
“…” หลงเยว่หงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกดีใจหรือว่าเสียใจดี
ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ทนไม่ไหว หันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“นายไปนอนหลับไป เดี๋ยวตานายขับรถต่อ
“ฟู่… ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความวุ่นวายนี่ได้เสียที
“จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เป้าหมายต่อไป เมืองฉีเฟิง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็นวดขมับ สวมแว่นกันแดดเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง
* * * * *
เบื้องหน้าบานประตูหินสีขาวหม่นที่ด้านบนสุดของบันไดสีเงินซึ่งอยู่ในส่วนลึกของ ‘ห้องโถงดารา’
ซางเจี้ยนเย่ามองดูร่องหลุมทั้งสามด้านหน้า มือหนึ่งล้วงกระเป๋า มือหนึ่งยืดเหยียดไปด้านหน้าแล้วกดลงที่บานประตู
ในร่องหลุมนั้น แสงสีขาวสว่างโชนขึ้น แล้วรวมตัวเข้าด้วยกันจนเป็นดวงดาวมายาสามดวง
แสงจากทั้งสามดวงนั้น แสงสีขาวที่แสดงถึง ‘ตัวตลกชักจูง’ ส่องสว่างกว่าอีกสองดวงที่เหลือเป็นอย่างมาก
วินาทีถัดมา แสงสีขาวที่เป็นตัวอักษรคำว่า ‘คนไร้เหตุผล’ ก็สว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วแวบเดียวก็สว่างเทียบเท่ากับคำว่า ‘ตัวตลกชักจูง’
หลังจากนั้นไม่นาน บานประตูหินที่หนักอึ้งบานนั้นก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย ค่อยๆ เลื่อนเปิดออก
จากช่องว่างของบานประตูที่เปิดกว้างขึ้น ทำให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถมองเห็นภายในนั้นได้อย่างชัดเจน
มันเป็นผืน ‘ทะเล’ กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีประกายระยิบระยับเบาบางอยู่บนผิวน้ำ
‘ทะเลต้นกำเนิด’
* * * * *
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถออกมาจากส่วนลึกของบึงน้ำ เธอก็ปลุกซางเจี้ยนเย่าขึ้นมา
“ตานายแล้ว
“ต่อจากนี้ไป ขอให้พวกเราเดินทางโดยสวัสดิภาพ!”
ซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้น ถอดแว่นกันแดดออกแล้วไปยังที่นั่งคนขับ สลับตำแหน่งกับหัวหน้าทีม
พอเข้าประจำที่นั่งแล้ว เขามองเห็นป่ารกร้างสีเทาแก่เบื้องหน้าทอดยาวไปจนสุดสายตา มีเมฆอยู่เล็กน้อยบนท้องฟ้าสีครามสดใส
“อากาศดีมาก” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะก่อนสวมแว่นกันแดดกลับคืน จากนั้นก็หยิบลำโพงตัวเล็กออกมาจากเป้ยุทธวิธี
เมื่อเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนมองมา เขาก็ยืดตัวตรงแล้วยิ้มให้
“ขับรถทั้งที ไม่มีเพลงประกอบได้ไง”
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงหันมามอง ซางเจี้ยนเย่าก็เปิดสวิทช์ลำโพง
เสียงร้องแหบห้าวดังขึ้น
“ลุกขึ้นเถิด เหล่าทาสผู้หิวโหย…
“ลุกขึ้นเถิด ผองชนบนโลกที่ทุกข์ยาก…[1]”
ด้วยเพลงที่ฮึกเหิมเร่าร้อน ซางเจี้ยนเย่าชูมือโบกตาม
“เดินทาง!”
พูดยังไม่จบประโยค เขาก็เหยียบคันเร่งส่งรถจี๊ปพุ่งทะยานไปในแดนรกร้างที่ยาวไกล
( – จบองก์ที่หนึ่ง – )
* * * * *
[1] เพลง 国际歌(The Internationale) ขับร้องโดยวง 唐朝 (The Tang Dynasty Band)