รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 90 “บททดสอบ” เล็กๆ
พอได้ยินคำแก้ต่างของหลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“รู้แล้ว รู้แล้ว แค่อยากจะทำให้นายมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นแค่นั้นแหละ
“ความหมายคือการฝึกภาคสนามครั้งนี้ นายน่ะมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เป็นแบบนี้เลยล่ะ”
พอเห็นว่าหัวหน้าทีมยิ่งพูดก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ หลงเยว่หงก็รู้สึกป่วยการจะไปแย้ง เพียงแค่พูดพึมพำมาประโยคหนึ่ง
“บทบาทแบบนี้ อย่ามีเสียจะดีกว่า”
“นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเงี่ยหูพยายามตั้งใจฟัง “ช่างเถอะ กลับไปเรื่องวิเคราะห์ทบทวนกันต่อดีกว่า”
เธอหันมองดูทุกคนรอบๆ
“เรื่องการฝึกภาคสนามครั้งนี้พวกเราก็ได้พูดคุยและสรุปรายละเอียดทุกเหตุการณ์ที่เจอมาหมดแล้ว วันนี้เราจะไม่พูดซ้ำเรื่องเดิมอีก
“ที่ฉันหวังก็คือจะพวกนายทุกคนมองจากมุมมองที่สูงขึ้น ประเมินทุกทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อดูว่าจะต้องตรวจสอบทบทวนเรื่องไหนอีกบ้าง”
ไป๋เฉินฟังอย่างเงียบๆ จนจบ คิดใคร่ครวญก่อนจะตอบ
“ฉันไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้วนะ การตัดสินใจทุกครั้งของหัวหน้า เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วในสถานการณ์ที่พวกเราเผชิญมา เพียงแต่ว่าที่มันดูเหมือนเป็นอันตรายก็เพราะเกิดเหตุแทรกซ้อนขึ้นมามากเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ใช่ ใช่ ไม่ว่าจะเป็นโจรใส่เกราะกระดูกเสริมแรง หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า การฆ่าล้างเมืองหนูดำ หัวหน้าพยายามทำเต็มที่เพื่อให้ทุกคนรอดมาได้ ช่วยพาพวกเราให้รอดพ้นจากวังวนอันตรายออกมาได้อย่างปลอดภัย” หลงเยว่หงเห็นด้วย
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า
“อืม ใช่แล้ว หลักๆ ก็เป็นเพราะว่าชะตาไม่ดีแค่นั้นแหละ”
“…” นี่ถ้าหากว่าหลงเยว่หงไม่รู้จักซางเจี้ยนเย่ามาก่อน ก็คงจะคิดว่าหมอนี่ตั้งใจคอยหาเรื่องเขาตลอดเวลาแน่นอน
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“ถ้านายไม่ชอบให้ล้อเล่นแบบนี้ก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่าถ้ายังทำตัวแบบนี้อีกจะไม่มีใครคบด้วย”
“ที่จริงผมก็ชินแล้วล่ะ” หลงเยว่หงตอบออกไปโดยอัตโนมัติ
เจี่ยงไป๋เหมียนยักไหล่แบมือ
“งั้นฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ล่ะนะ”
เธอปัดปอยผมไปด้านข้าง สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ถึงแม้ว่าพวกนายจะเอาแต่ชมจนฉันแทบจะลอยอยู่แล้ว แต่ฉันก็ต้องบอกให้รู้ไว้ว่าถ้าเราเริ่มต้นได้ดีก็คงแคล้วคลาดไม่ต้องเจอสารพัดเรื่องอีนุงตุงนังต่อจากนั้น
“ลองคิดดูนะ จิ้งฝ่าจะอยู่ในซากโรงงานเหล็กได้นานแค่ไหน เฉียวชูจะรออยู่ที่สะพานพังนั่นได้นานเท่าไหร่
“เพียงคลาดกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง เราก็คงไม่ต้องไปเจอะไปเจอพวกนั้นเข้าหรอก
“ถ้าตอนเจอพวกโจรครั้งแรก เราจัดการยิงถล่มให้หมดแก๊งไปเลย ไม่ปล่อยให้พวกมันมีโอกาสใส่ชุดเกราะกระดูกเสริมแรง รถจี๊ปพวกเราก็คงไม่เสียหาย เราก็ไม่ต้องอ้อมไปเมืองน้ำล้อม ก็น่าจะไปถึงซากโรงงานเหล็กตั้งแต่ตอนเย็น แล้วก็ออกเดินทางต่อในเช้าอีกวันเลย ตอนนั้นจิ้งฝ่าที่กำลังตามผู้ถูกลิขิตอยู่ก็น่าจะยังมาไม่ถึง
“และเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเจอพวกอู๋โส่วสืออย่างแน่นอน ซึ่งกว่าพวกเราจะได้รับข้อมูลเรื่องการค้นพบซากเมืองแห่งใหม่ ตอนนั้นก็น่าจะข้ามแม่น้ำกันไปแล้ว และก็คงไปหานิคมคนเร่ร่อนแดนร้างที่อื่นเพื่อส่งข่าวกลับไปบริษัท ซึ่งไม่ใช่เมืองหนูดำ เราก็จะไม่ถูกเฉียวชูมา ‘ดักรอ’”
เมื่อเห็นพวกไป๋เฉิน หลงเยว่หง แสดงสีหน้าขบคิดใคร่ครวญ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามเบาๆ
“ถ้าหากเปลี่ยนเป็นให้พวกนายตัดสินใจล่ะ ถ้าเกิดพวกเราพบกับกลุ่มคนแบบที่เจอตอนนั้น พวกนายจะเลือกข่มขวัญแล้วก็แยกย้ายต่างคนต่างไปโดยไม่ต้องขัดแย้งกันแบบที่ทำกันตอนนั้น หรือว่าจะเลือกโจมตีกวาดล้างให้เรียบเพื่อไม่ให้เป็นภัยในภายหลัง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับมาทันที
“หัวหน้า ผมว่าคุณคงจะเข้าใจผิดเรื่องอุดมคติอันสูงส่งของผมนะ
“ผมดูเหมือนคนที่ชอบทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรือไง ได้เจอกันแค่แป๊บเดียวเนี่ย มันบอกไม่ได้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นคนเลวหรือเปล่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมา
“เหมือนสิ!
“ตอนนั้นไหนใครเป็นคนบอกว่าอีกฝ่ายเสียงดังหนวกหู จะให้ยิงเลยไหม”
“นั่นเป็นเพราะผมรู้สึกถึงเจตนามุ่งร้ายจากพวกเขาต่างหาก” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง “อีกอย่าง ผมรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่เห็นด้วยหรอก”
“ก็ดี” เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน “แล้วพวกนายล่ะ จะตัดสินใจแบบไหน”
หลงเยว่หงส่งเสียงรอดไรฟัน
“ผมก็คงไม่โจมตีเหมือนกัน
“ไม่งั้นพวกเราจะต่างอะไรจากพวกโจรนั่นล่ะ”
ไป๋เฉินครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“มนุษย์กับสัตว์ร้ายนั้นต่างกัน
“นอกซะจากว่าตอนนั้นฉันไม่มีอาหารเหลือแล้ว ใกล้จะอดตายเต็มที ถึงจะลงมือ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองทุกคนอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆ เผยอยิ้มออกมา
“ยินดีด้วย ทุกคนผ่านการประเมินทางจิตวิทยารอบแรกแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงดูงุนงงเล็กน้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ฉันหวังให้สมาชิกในกลุ่มเรามีคุณธรรมขั้นพื้นฐานและหลักการของมนุษยธรรม
“ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเอามาวัดพฤติกรรมในสถานการณ์สิ้นหวังไม่ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยที่สุดฉันก็ยังวางใจให้สหายแบบนี้คอยระวังหลังให้ได้”
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม”
“เพื่อนแท้คือคนที่เต้นระบำฮาวายด้วยกันได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะใส่ใจหมอนี่ เริ่มวิเคราะห์ทบทวนต่อ
จนใกล้จะจบ เธอคิดๆ แล้วพูดขึ้น
“ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้วิเคราะห์ปัญหาของซากเมืองกันเลย ในเมื่อวันนี้ก็มีเวลาว่างกันอยู่แล้ว งั้นก็มาคุยเรื่องนี้เป็นการเฉพาะเลยก็แล้วกัน
“พวกนายคิดว่าคำพูดของนักพรตเต๋ากาโลแรนที่บอกว่า ‘มีกลิ่นอายของผู้ครองกาลที่หลงเหลือตกค้างอยู่’ กับพวกสิ่งผิดปกติต่างๆ ในซากเมืองเนี่ย มันมีอะไรเกี่ยวข้องกันไหม”
ในช่วงที่ผ่านมา บางครั้งไป๋เฉินก็ใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง เธอจึงเป็นคนแรกที่พูดสิ่งที่ตัวเองคาดเดาไว้ออกมา
“เป็นไปได้ไหมว่าการทดลองในเมืองนั้นมีการวิจัยเรื่องต้องห้ามเกี่ยวกับเขตพลังของเทพเจ้า จึงยั่วยุความพิโรธของมหาปราชญ์จวงซึ่งเป็นผู้ครองกาลตัวแทนแห่งตลอดปี ดังนั้นท่านก็เลยลงทัณฑ์
“บางทีนี่อาจเป็นการเปิดฉากของการทำลายล้างโลกเก่าก็ได้
“เห็นได้ค่อนข้างชัดว่าซากเมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายล้าง แม้กระทั่งหมู่บ้านหรือเมืองรอบข้างก็ไม่มีใครรอดชีวิตเลย ดังนั้นเมืองนี้ก็เลยถูกลืมเลือนไปอย่างสมบูรณ์จนเพิ่งจะถูกค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้เอง”
เธอเชื่อมโยงทฤษฎีที่ว่าด้วย ‘ผู้ครองกาลเป็นผู้ลงมือทำลายล้างโลกเก่า’ ที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางเข้ากับการค้นพบในครั้งนี้
“ก็เป็นไปได้… แค่บอกว่าเป็นไปได้นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ถึงกับปฏิเสธออกมาโดยตรง
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้น
“งั้นทำไมมหาปราชญ์จวงถึงไม่ลบล้างสิ่งมีชีวิตที่ส่งเสียงหอนในห้องแล็บนั่นไปด้วยล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กับสัตว์กลายพันธุ์ตั้งเยอะแยะเหลืออยู่ในซากเมืองด้วย
“แบบนี้ไม่กลายเป็นว่าเทวทัณฑ์นี้มีเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ จะทำก็ไม่ทำให้จบๆ ไปเลยงั้นเหรอ”
เขาหยุดชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ
“ฉันรู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนั้น งั้นมหาปราชญ์จวงก็เสียหน้าแล้วน่ะสิ”
ไป๋เฉินพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบเช่นไรดี
ถ้าเธอตอบข้อสงสัยพวกนี้ได้ งั้นตั้งแต่แรกก็คงไม่บอกหรอกว่านี่เป็นเพียงการคาดเดา
“นี่ถ้ามหาปราชญ์จวงรู้ว่าต้องให้นายมาคอยเป็นห่วงชื่อเสียงให้ล่ะก็ น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เสียหน้าเสียมากกว่า” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดติดตลก “ส่วนตัวฉันนะ ฉันชอบการเดาที่ดูบังอาจอหังการยิ่งกว่านั้นอีก”
เธอมองรอบๆ ก้มตัวลงแล้ว ‘ลด’ เสียงพูด
“นี่มันอาจจะเป็นงานวิจัยต้องห้ามในห้องแล็บหรือเปล่า แบบว่าวิจัยเรื่องการให้กำเนิดพวกผู้ครองกาลขึ้นมาน่ะ
“พวกมนุษย์ในโลกเก่าพยายามสร้างเทพเจ้า แต่กลับกลายเป็นว่าถูกทำลายล้างโดยเทพที่ตัวเองสร้างขึ้นมาไง”
การคาดเดาเช่นนี้ เสียงสะท้อนเสียงต่ำๆ เช่นนี้ หลงเยว่หงฟังแล้วถึงกับหน้าผากกระตุก รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก และรู้สึกว่านี่เป็นการลบหลู่เทพเจ้าอย่างยิ่ง
ห้องแล็บของมนุษย์ได้สร้างผู้ครองกาลขึ้นมา…
แต่กลับลงเอยด้วยการที่ผู้ครองกาลทำลายมนุษยชาติ…
“งั้นทำไมพวกผู้ครองกาลถึงได้เหลือสิ่งมีชีวิตที่ส่งเสียงหอนนั่นไว้ที่ห้องแล็บล่ะ หรือว่านั่นคือน้องเล็กของพวกพระองค์” ซางเจี้ยนเย่ายกข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง “นอกจากนี้ก็คือทำไมพวกพระองค์ถึงไม่ทำลายห้องแล็บนั่นเพื่อซ่อนความลับชาติกำเนิดของตัวเอง ทำไมสถาบันวิจัยที่แปดที่อยู่เบื้องหลังเฉียวชูถึงได้ส่งคนออกมาตามหาซากเมืองแห่งนั้นเพื่อระเบิดห้องแล็บทิ้ง”
“ฉันบอกแล้วไงว่าแค่เดา!” เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า “อีกอย่างนะ เราเองก็ไม่มีหลักฐานว่าปฏิบัติการของเฉียวชูคือการระเบิดห้องแล็บด้วย เขาอาจจะแค่มาหาข้อมูลก็ได้ ต้องรู้ไว้ด้วยว่าการระเบิดมันเกิดได้หลายสาเหตุ อย่างเช่นระบบทำลายตัวเอง”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลด ‘ความเกรี้ยวกราด’ ลง
“ที่ยืนยันได้เบื้องต้นก็คือถ้าหากว่าไม่มีเฉียวชู กว่าจะเจอซากเมืองนั่นได้ก็คงอีกนานเป็นชาติล่ะ
“เฮ้อ… ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอสถาบันวิจัยที่แปดนั่นนะ พวกเขาต้องรู้ความลับของโลกเก่าเยอะมากแน่ๆ!”
หลังจากพูดคุยสนทนากันได้สักพัก เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูนาฬิกาบนข้อมือ
“ก็ประมาณนี้แหละ ฉันขอพูดเรื่องการจัดการหลังจากนี้ต่ออีกหน่อยนะ
“พวกนายจะได้พักสองวัน หลังจากนั้นก็กลับมาดำเนินกิจวัตรตามเดิม
“เพียงแต่ว่าการฝึกประจำวันจะลดเหลือครึ่งเดียว เพราะต้องเก็บเวลาช่วงเช้าเอาไว้สำหรับการศึกษาข้อมูล จัดการเบาะแส และเตรียมการสืบสวนอย่างเป็นทางการ
“รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เราจะเดินทางไปยังจุดสำรวจแรก หรือไม่ก็สถานที่ของเป้าหมายที่จะไปสำรวจ
“แต่ก่อนหน้านั้นฉันจะจัดการฝึกการเอาชีวิตรอดในฤดูหนาวก่อน แต่เราจะอยู่กันแถวละแวกนี้แหละ ไม่ได้ไปไหนไกลจากบริษัทมากนักเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมา”
พอเอ่ยคำว่า ‘ปัญหา’ ก็ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ที่จริงแล้วซากเมืองแห่งนั้นก็เหมาะมากที่จะใช้เป็นที่สำรวจ” ไป๋เฉินผงกศีรษะพูดออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าภายในอีกสองสามเดือนข้างหน้านี้ทางบริษัทจะเจอเบาะแสอะไรที่มีค่ามากพอหรือเปล่า
“แต่ฉันคิดว่าน่าจะไม่”
นี่เป็นเพราะว่าห้องแล็บที่สำคัญที่สุดนั้นถูกทำลายจนไม่เหลือซากไปแล้ว
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลงเยว่หงถามขึ้นมาอย่างไม่รู้ว่าจะสงสัยดีหรือกังวลดี
“หัวหน้า หลังจากที่คนจากบริษัทเข้าไปที่นั่นแล้ว พวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ในซากเมืองนั่นจะเป็นไง”
“จะเป็นไงได้อีกล่ะ ก็ต้องอพยพ หรือถูกฆ่า หรือไม่ก็กลายเป็นตัวอย่างวิจัย” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างเคร่งขรึม “บนแดนธุลีนั้นความสงสารเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งที่ไร้ค่า”
หลงเยว่หงเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดต่อ
“แต่พวกนั้นจะทำให้บริษัทต้องสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อย… นั่นเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเรา อาจเป็นคนรู้จักด้วยซ้ำ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนเงียบไปชั่วขณะก่อนจะยิ้มออกมา
“นี่คือแดนธุลี”
ขณะที่พูดเธอก็ยืนขึ้นมาแล้วตบบ่าซางเจี้ยนเย่า
“ดังนั้นพวกเราถึงต้องตามหาโลกใหม่”
“ดังนั้นพวกเราถึงต้องช่วยมวลมนุษยชาติ” ซางเจี้ยนเย่าให้ความร่วมมือช่วยพูดเสริม
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้จังหวะนี้ปิดการสนทนา ชี้ไปข้างนอกพร้อมกับพูด
“เกือบได้เวลาอาหารเย็นแล้ว วันนี้ฉันเลี้ยงเอง ฉลองความสำเร็จให้ภารกิจแรกของพวกเรา”
หลงเยว่หง ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
“บอกตามตรงนะ ฉันคิดถึงโรงอาหารของบริษัทมาตั้งนานแล้ว” หลงเยว่หงทอดถอนใจออกมาจากก้นบึ้งจิตใจ
ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะได้ลิ้มรสชาติของเนื้อสัตว์ป่ามาไม่น้อย แต่เนื้อพวกนั้นทั้งแห้งทั้งแข็ง รสชาติก็ไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไหร่เมื่อไม่มีเครื่องปรุงรสและกรรมวิธีปรุง บอกได้แค่เพียงว่าเอาไว้กินกันตายแค่นั้น ไม่ได้ให้ประสบการณ์ที่ดีสักเท่าไหร่
“ฉันก็เหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเรียบๆ
ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้นมาเช็ดมุมปากตนเอง