รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 93 เกาะ
เมื่อไฟถนนทยอยดับลงไปดวงแล้วดวงเล่า สภาพแวดล้อมโดยรอบกลายเป็นสีดำสนิท ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือขวาขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง
จากนั้นเขานอนราบลงบนเตียงแล้วหลับตาลง
* * * * *
สถานที่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นในครั้งนี้ไม่ใช่ ‘ห้องโถงดารา’ อีกแล้ว แต่กำลังลอยคออยู่ในทะเลมายาที่ผิวน้ำสะท้อนประกายแสงระยิบระยับ
เบื้องหน้าเขานั้นเป็นเกาะที่ไม่ใหญ่มากนัก ผืนดินสีน้ำตาลเข้ม มีก้อนหินประหลาดเป็นตะปุ่มตะป่ำ และไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตแม้แต่น้อย
นี่เป็นเกาะแรกที่ซางเจี้ยนเย่าพบหลังจากที่ได้เข้ามาสู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’
ตามที่นักโบราณวัตถุตู้เหิงได้บอกไว้ว่าเกาะพวกนี้จะสอดคล้องสัมพันธ์กับความกลัวที่ซ่อนอยู่ภายในใจของแต่ละคน ดังนั้นผู้ตื่นรู้แต่ละคนจะเผชิญ ‘เกาะ’ ที่แตกต่างกันออกไป จำนวนของเกาะก็ไม่เท่ากัน
ซางเจี้ยนเย่าติดอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจพิชิต ‘เกาะ’ แห่งนี้ได้เสียที
บนเกาะนั้นไม่มีสัตว์ประหลาด มีเพียงแค่ ‘สภาพทางธรรมชาติ’ ที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่ซางเจี้ยนเย่าปีนขึ้นไป แสงเบื้องหน้าก็หายไปหมดสิ้น ในหูก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ
บนเกาะนี้เขารู้สึกราวกับอยู่ในห้องประหลาดที่ปิดสนิทมืดมิด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตัวเอง
นี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่าไม่อาจรับรู้ถึงเวลาที่ผ่านไป รู้สึกเพียงแค่ความมืดมิดและความเงียบสงัดที่แปรสภาพมาเป็นรูปธรรม และค่อยๆ กัดกร่อนกลืนกินวิญญาณเขาอย่างช้าๆ
ในแต่ละครั้งที่มาที่เกาะนี่ เขาไม่สามารถทนอยู่ได้นาน เพราะจะเกิดอาการทางประสาท หวาดกลัวสุดขีดจนแทบจะเสียสติ
หากไม่ใช่เป็นเพราะว่านักโบราณวัตถุตู้เหิงบอกเขาเกี่ยวกับความหมายของ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ และเกาะต่างๆ ไว้ก่อนหน้านี้ ซางเจี้ยนเย่าก็คงเลิกล้มความพยายามที่จะพิชิตเกาะนี้ไปแล้ว คงจะเปลี่ยนใจไปหาเกาะอื่นๆ แทนอย่างแน่นอน
เขาเชื่อว่าการเว้นข้ามที่นี่ไปย่อมหมายความว่าเขาพ่ายแพ้ต่อความกลัวในจิตใจ และเป็นไปได้ว่าพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้จะไม่ได้รับการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง
หลังจากจ้องมองดูเกาะอยู่สักพัก ซางเจี้ยนเย่าก็ทำตามแผนที่คิดเอาไว้ ก้มศีรษะลงมองดูเงาสะท้อนวูบไหวของตัวเองบนผิวคลื่นน้ำมายา
เขาลังเลอยู่สองสามวินาที ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น
“พวกเขาเป็นพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ฉันเองก็เป็นพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’
“พวกเขายังเป็นเด็กมาก ฉันเองก็ยังเป็นเด็กมาก ดังนั้น…
ซางเจี้ยนเย่าหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ดังนั้นพ่อแม่ก็ยังคงอยู่กับฉัน”
ใบหน้าเขาค่อยๆ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสงบนิ่ง
ซางเจี้ยนเย่าไม่เสียเวลาอีก สองมือจับยึดขอบหินที่ริมเกาะแล้วยกตัวปีนขึ้นไป
เป็นเพราะ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ นั้นเป็นภาพมายา เสื้อผ้าเขาจึงไม่เปียกน้ำ เส้นผมก็ไม่มีน้ำหยดลงมาเช่นกัน
เมื่อเท้าของซางเจี้ยนเย่าสัมผัสพื้นเกาะ ทันใดนั้นทัศนวิสัยเบื้องหน้าก็พลันกลับกลายเป็นมืดดำสนิท มองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป
นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้เขารู้สึกว่าอยู่ในพื้นที่คับแคบราวกับว่าเพียงเอื้อมมือก็สัมผัสผนังรอบข้างได้ตลอดเวลา แต่ยังทำให้กลัวอันตรายที่มองไม่เห็นซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกอันมืดมิด เป็นความกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“เฮ้! หวัดดี เป็นไงบ้าง” ซางเจี้ยนเย่าพยายามตะโกนออกไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ตอนนี้เขารู้สึกราวกับถูกโลกทอดทิ้ง ตกอยู่ในสถานที่อันน่ากลัวสุดขีด ไร้ซึ่งผู้คนสนใจ
ซางเจี้ยนเย่าพยายามสาวเท้าก้าวออกไป ใช้การก้าวเดินเพื่อสะกดข่มความกลัวและความกระวนกระวายที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในใจ
แต่ไม่ว่าเขาจะปลอบใจตัวเองเพียงใด ‘ความมืด’ นั้นยังคงค่อยๆ คืบคลานสู่จิตใจอย่างไม่อาจควบคุมได้อยู่ดี
ซางเจี้ยนเย่าหดตัวลงราวกับพบว่านี่เป็นสิ่งอันน้อยนิดที่พอจะพึ่งพาได้ในความมืดมิดอันเงียบสงัดไร้ผู้คนเช่นนี้
นี่ทำให้เขาอยู่ที่นี่ได้นานกว่าตอนที่มาเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ แต่หลังจากนั้นข้อเท็จจริงที่ว่ามีเพียงแค่อากาศเวิ้งว้างล้อมรอบกาย ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง หัวใจเต้นระรัว สีหน้าค่อยๆ หวั่นไหว
“พวกนี้มันเป็นของปลอม…” ซางเจี้ยนเย่าพึมพำออกมาคำหนึ่ง
เหงื่อเย็นเยียบพร่างพรูหลั่งไหลจากหน้าผาก หัวเข่าค่อยๆ ย่อลงจนลงไปกลายเป็นนั่งยองโอบกอดตัวเอง
* * * * *
ภายในห้อง 196 ซ่างเจี้ยนเย่าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา
เขาหอบระรัว เหลียวมองไปรอบๆ ตัว
ภายในห้องนั้นมืดมิด ภายนอกห้องนั้นไร้ซึ่งสรรพเสียง
ซางเจี้ยนเย่ารีบคว้าไฟฉายออกมาจากใต้หมอนแล้วกดสวิทช์เปิด
ลำแสงสาดส่องผนังฝั่งตรงข้าม ส่องให้เห็นเสื้อที่แขวนไว้บนสกรูที่ยื่นออกมาและอ่างล้างมือด้านข้าง
เมื่อได้เห็นลำแสงสีเหลือง ลมหายใจของซางเจี้ยนเย่าจึงค่อยๆ สงบลง
เวลาผ่านราวหนึ่งนาทีเขาก็ปิดสวิทช์ไฟฉาย ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มแล้วนอนหลับไป
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู
เสียงเคาะประตูดังซ้ำสามครั้งก่อนจะค่อยๆ เงียบหายไป
ซางเจี้ยนเย่ารู้ว่านี่เป็นสมาชิกของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ มาแจ้งให้ตนทราบว่าใกล้ถึงเวลาชุมนุมแล้ว
สำหรับสมาชิกที่ไม่มีนาฬิกาข้อมือและอยู่ไกลจากนาฬิกาแขวนที่ถนน ทางนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ จะส่งคนที่รู้เวลาไปแจ้งเตือน
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูแล้ว หากไม่อยากจะลุกขึ้นมาหรือไม่อยากเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ด้วยเหตุผลบางประการก็เป็นเรื่องของแต่ละคน
ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมชุมนุม หรือว่ามีแขกที่ไม่สะดวกจะให้รู้เรื่องพวกนี้มาพักค้างคืนอยู่ที่บ้าน ก็เพียงแค่ลบรูปที่วาดด้วยชอล์กด้านล่างประตูก่อนที่ไฟถนนจะดับ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีใครมาเคาะประตูเพื่อปลุกเรียก
ซางเจี้ยนเย่ารีบพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง ล้างหน้าและแปรงฟันอย่างตั้งใจ
จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเขียวแก่ หยิบไฟฉายแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำสาธารณะใกล้ๆ เพื่อไปปลดทุกข์เบา
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปตามทางที่คุ้นเคยไปยังบ้านของหลี่เจินซึ่งอยู่ห้องที่ 35 เขต A
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ซางเจี้ยนเย่าเคาะประตูสามครั้ง
ไม่นานก็มีเสียงที่เจตนากดให้ทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังประตู
“ชีพนั้นสำคัญสุด”
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยความชำนาญ
“เกิดใหม่ดั่งตะวัน”
ด้านในมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย จากนั้นบานประตูก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว แสงสลัวสีเหลืองลอดออกมา
หลี่เจินเลิกคิ้วเล็กน้อย มองดูซางเจี้ยนเย่าแล้วคลี่ยิ้มออกมา
“เข้ามาเถอะ”
เธอรีบขยับหลบไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้ซางเจี้ยนเย่าเข้าไปในห้อง
“ไว้เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ ว่าโลกภายนอกนั้นที่จริงแล้วเป็นไงบ้าง” หลี่เจินเปิดประตูไปพลาง ยิ้มทักทายไปพลาง
“ได้ครับ น้าหลี่” ซางเจี้ยนเย่าทำตัวมีมารยาทมาก
หลี่เจินชี้ไปแบบไม่ได้เจาะจง
“นั่งสิ จะเริ่มกันแล้ว เธอมาสายไปหน่อย”
เธอเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิจริงจัง จะว่าไปแล้วนี่ก็ยังไม่ถึงเวลาเริ่มการชุมนุมจริงๆ หรอก
ซางเจี้ยนเย่าตั้งใจอธิบายให้ฟัง
“ผมมัวแต่แปรงฟันก่อนมาน่ะ”
“…” หลี่เจินฝืนยิ้มแข็งทื่อแล้วพยักหน้าให้ “ดี ดีมาก”
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปที่ม้านั่งไม้ตัวเล็กๆ แล้วนั่งลงไป
ม้านั่งค่อนข้างเตี้ย สำหรับคนตัวสูงขายาวอย่างซางเจี้ยนเย่า เขาจึงต้องงอตัวให้มากที่สุดเพื่อจะนั่งได้เต็มก้น
เมื่อเสิ่นตู้ที่มาถึงก่อน เห็นว่าเขานั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับเขา
“เปลี่ยนที่นั่งกันเถอะ”
“ขอบคุณครับลุงเสิ่น” ซางเจี้ยนเย่าไม่มัวเกรงใจอะไรอีก
หลังจากนั่งลงไปอีกครั้งแล้วเขาก็มองดูรอบๆ และทักทายสมาชิกคนอื่นๆ
เขาเคยร่วมงานชุมนุมของนิกายมาหลายครั้ง ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับสมาชิกทุกคนในชั้นนี้แล้ว
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยก็เดินออกมาจากห้องที่เชื่อมต่อไปยังห้องนอนด้านใน เธอเดินมาถึงช่องว่างระหว่างเตียงหลังใหญ่ ตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของ
“เสี่ยวซางกลับมาแล้วเหรอ” เหรินเจี๋ยสวมเสื้อเชิ้ตใยสังเคราะห์พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มทักทายให้
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับทันที
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!”
“…” เหรินเจี๋ยตะลึงไปสองสามวินาทีก่อนจะตระหนักได้ว่าความหมายของซางเจี้ยนเย่าก็คือขอบคุณในความห่วงใยขององค์เทพีตุลากรชะตาที่ทำให้เขากลับมาได้โดยสวัสดิภาพ
เธอฝืนยิ้มออกมา
“ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอก แค่พูดธรรมดาก็พอแล้วล่ะ”
โดยไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ เธอก็พูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“จะเริ่มการเทศน์อย่างเป็นทางการล่ะนะ เนื้อหาวันนี้เกี่ยวกับความตาย
“ชีวิตนั้นในที่สุดแล้วก็ต้องดับสิ้นลงเฉกเช่นเดียวกับที่ใบไม้ย่อมต้องเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วงหล่นบนพื้นดินเสมอ…”
ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้นทันที
“มีคำถามอะไรเหรอ” เหรินเจี๋ยถามอย่างกังวล
เธอคิดว่าซางเจี้ยนเย่าพบสิ่งผิดปกติในคำพูดของตัวเอง
“มีต้นไม้ตั้งเยอะแยะที่ใบของมันไม่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองน่ะครับ…”
กล้ามเนื้อใบหน้าเหรินเจี๋ยกระตุกเมื่อถูกเขาพูดขัดจังหวะ
“มันเป็นเพียงแค่คำอุปมาเปรียบเทียบเท่านั้น
“ต่อไปอย่าพูดแทรกอะไรแบบนี้อีกจนกว่าจะเทศน์จบนะ ให้ตั้งใจฟังเงียบๆ อย่าพูดอะไรอีก”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่านั่งลงด้วยความผิดหวัง
จากนั้นเขาก็ฟังเหรินเจี๋ยเทศน์ด้วยสีหน้าตั้งใจจดจ่อ แต่ดวงตาเขาเหมือนดูเลื่อนลอยว่างเปล่าอยู่บ้าง
เพียงไม่นานเหรินเจี๋ยก็สิ้นสุดการเทศน์ จากนั้นก็พูดกับสมาชิกทุกคนที่นั่งอยู่
“ต่อไปจะเป็นช่วงเปิดใจ พวกคุณสามารถบอกเล่าให้เหล่าพี่น้องรู้เกี่ยวกับความทุกข์ใจ เพื่อรับความเข้มแข็งจากพวกเขา…”
ขณะที่พูดประโยคเหล่านี้ สายตาเธอก็จ้องเขม็งไปที่ซางเจี้ยนเย่าเพื่อปรามไม่ให้เขาพูดอะไรออกมา
เธอจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอพูดอะไรแบบนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็ขัดจังหวะขึ้นมาทันที เขาบอกว่า
“ไม่ใช่พี่น้อง แต่เป็นลุงกับน้าต่างหาก”
เมื่อเธอพูดจบและแน่ใจว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดแทรกขึ้นมา เหรินเจี๋ยก็ถอนใจโล่งอก
วินาทีถัดมา ซางเจี้ยนเย่ารีบยกมือขึ้นเพื่อแบ่งปันความทุกข์ใจของเขา
“ตอนนี้ผมเริ่มหิวนิดหน่อยแล้วครับ”
“คนต่อไป” เหรินเจี๋ยรีบพูดต่อทันทีไม่รอช้า
ผู้หญิงในวัยใกล้สามสิบคนหนึ่งเม้มปากก่อนจะพูดออกมา
“หวังย่าเฟย ผู้รับผิดชอบ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ของพวกเราสนับสนุนการจัดตั้ง ‘ศูนย์ให้กำเนิด’ คิดว่าสิ่งนี้จะช่วยลดข้ออ้างเพื่อขอลาหยุดของพนักงานหญิง และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาดียิ่งขึ้น
“ฉันก็รู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ความคิดส่วนตัวของเขาแหละ แต่ฉันก็อดแย้งไม่ได้ เขาก็เลย… เขาก็เลยหาข้ออ้างย้ายงานฉันจากตำแหน่งหน้าที่เดิมมาอยู่ตำแหน่งทำความสะอาด ซึ่งเป็นงานที่ลำบากที่สุด…”
หลังจากเหรินเจี๋ยฟังอย่างเงียบๆ จนจบ เธอก็ยกแขนทำท่าอุ้มเด็กแล้วเขย่า
“องค์เทพีจะลงโทษคนบาป”
เธอไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นหันไปพูดกับเสิ่นตู้
“ตาคุณแล้ว”
เสิ่นตู้เกาหัว
“ลูกฉันยิ่งทียิ่งดื้อ พูดอะไรก็ไม่ฟัง…”
ถัดจากนั้นสมาชิกทุกคนก็แบ่งปันความทุกข์ใจ อย่างเช่นว่ามีญาติเสียชีวิต สามีหยาบคาย ภรรยาเย็นชา ลูกซุกซน ทุกข์ใจเรื่องการงานไม่ราบรื่น ทั้งหมดก็ล้วนได้รับการปลอบโยนจากคนอื่นๆ
จนกระทั่งท้ายที่สุด เหรินเจี๋ยก็กลับมาที่จุดเดิมแล้วพูดกับสมาชิกทุกคนในที่ชุมนุม
“ต่อไปคือการรับศีล”
ซางเจี้ยนเย่าเหยียดหลังนั่งตัวตรงทันที ดวงตาลุกโชน
เพียงไม่นานเหรินเจี๋ยกับหลี่เจินก็ออกมาจากห้อง คนหนึ่งถือภาชนะโปร่งแสงทรงกระบอก อีกคนถืออุปกรณ์รับประทานอาหาร
ในภาชนะนั้นเต็มไปด้วยของเหลวข้นหนืดสีขาว
เหรินเจี๋ยมาที่ด้านหน้าซางเจี้ยนเย่าเป็นคนแรก แล้วตักของเหลวหนึ่งทัพพีเต็มลงในกล่องอาหารในมือเขา
“ศีลมหาสนิทวันนี้ก็คือโยเกิร์ต”
ซางเจี้ยนเย่าหายใจเบาๆ ตอบออกมาอย่างจริงใจสุดๆ
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!”