รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 98 ทำความเข้าใจกับสถานการณ์
ในสายตาของซางเจี้ยนเย่า บนใบหน้าของเสิ่นตู้นั้นไม่อาจมองเห็นความอ่อนโยนที่เคยมีได้อีกต่อไป มันบิดเบี้ยวราวกับสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง
ดวงตาของเขาไม่มีสัญญาณของสติสัมปชัญญะแม้แต่น้อย แม้แต่สัตว์บางชนิดก็ยังมีดวงตาที่กระจ่างใสมากกว่าเสียอีก
มันขุ่นมัวอย่างผิดปกติ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ดูราวกับว่าหลุดออกมาจากฝันร้าย
ถึงแม้ว่าเสิ่นตู้จะถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้และถูกควบคุมโดยชายหนุ่มร่างกำยำสองคนแต่เขาก็ยังพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ให้ความรู้สึกราวกับว่าสามารถดิ้นหลุดออกจากพันธนาการได้ทุกเมื่อ แล้วออกไล่ล่าสิ่งมีชีวิตรอบตัว
นี่เป็นพละกำลังที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีมาก่อน
ท่ามกลางเสียงคำรามแหบต่ำ เสิ่นตู้ถูกฉุกกระชากลากถูให้เดินไปทีละก้าว ด้านหลังเขามีเสียงร้องเสียดแทงหัวใจของเด็กน้อย
“ป๊ะป๋า ป๊ะป๋า…”
ทุกคนที่ได้มองเห็นภาพเช่นนี้ต่างก็นิ่งเงียบงัน มีทั้งความกลัว ตระหนกตกใจ สะเทือนใจ และทอดถอนใจ
ในที่สุดเสิ่นตู้ก็ถูกนำตัวออกไปจากบริเวณ ‘ศูนย์กิจกรรม’ เหลือไว้เพียงเสียงคำรามที่ดังก้องสะท้อนอยู่
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเหตุการณ์นี้จนจบโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร จากนั้นก็หมุนกายเดินกลับไปตามทิศทางที่เข้ามา
“นั่นลุงเสิ่นนี่นา เขาเป็น ‘โรคไร้ใจ’ จริงๆ เหรอนั่น…” หลงเยว่หงก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่เสิ่นตู้ลับตาไป แล้วถอนใจพูดกับซางเจี้ยน
จนกระทั่งตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้อยู่ข้างกายเขาแล้ว
“เฮ้… เฮ้ นายจะไปไหน”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนใจเขา เลี้ยวต่อไปยังทางที่นำไปยังเขตลิฟต์ที่สี่
เขาเดินไม่เร็วไม่ช้า ทำราวกับว่าจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีบางเรื่องต้องไปทำ ไม่ได้ทำตัวผิดสังเกตแต่อย่างใด
ไม่นานเขาก็กลับไปที่ชั้น 647 เดินเข้าไปในห้อง 14 ซึ่งถูกจัดสรรให้เป็นห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’
เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ได้จากไป เธอยังคงใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เพียงเครื่องเดียวที่นั่น เคาะแป้นพิมพ์เสียงดังก๊อกแก๊ก
“มีอะไร ลืมของเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามา
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปที่โต๊ะเธอ พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เสิ่นตู้เป็น ‘โรคไร้ใจ’”
เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไปสองวินาที ก่อนจะนึกออกว่าเสิ่นตู้คือใคร
“ลุงคนที่พานายไปเข้าร่วมนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ น่ะเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างหนักแน่น
เจี่ยงไป๋เหมียนคิ้วขมวดมุ่น
“หลังจากที่เขารู้ข่าวการตายอย่างกระทันหันของหวังย่าเฟยก็หวาดกลัวมากใช่ไหม แบบว่ากลัวจนเสียขวัญเลยน่ะ”
“แล้วก็ดูเหม่อลอยอีกด้วย” ซางเจี้ยนเย่าเสริมรายละเอียดเพื่อยืนยันการคาดเดาของเจี่ยงไป๋เหมียน
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วผงกศีรษะ
“นายกำลังสงสัยว่าเสิ่นตู้ต้องการจะไปรายงานเรื่องนิกาย ก็เลยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ งั้นสินะ”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปฏิเสธ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” หนึ่งคำ
“นายกลับมาที่นี่เพื่อจะเตือนฉันว่าอย่าเพิ่งรีบผลีผลามสืบสวนในช่วงนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกทำให้เป็น ‘คนไร้ใจ’ ไปด้วยอย่างนั้นใช่ไหม”
“สภาพของ ‘คนไร้ใจ’ รุ่นแรก ดูน่ากลัวมาก” ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมาราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน
“นั่นก็จริง กลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ แบบนี้มันน่าเวทนามาก” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร พยักหน้ารับเบาๆ “วางใจเถอะ สิ่งที่ฉันเตรียมป้องกันไว้มากที่สุดก็คือการถูกพวกของนิกายสังเกตเห็น การสืบสวนที่ฉันวางแผนจะทำก็คือหาเบาะแสจากข้อมูลที่เผยแพร่ทางสาธารณะน่ะ อืม ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ฉันยังไม่ได้อาศัยเส้นสายเพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดหรอก ตอนนี้ยังรอไปก่อน รอให้ผ่านไปซักช่วง รอจนพวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับสั้นๆ
“ครับ”
พูดจบเขาก็เตรียมจะหมุนกายกลับไปชั้น 495
เจี่ยงไป๋เหมียนร้องเรียกเขา หลังจากคิดอะไรบางอย่างก็พูดปลอบใจเขา
“อย่าคิดมากไปเลย ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นอะไรที่น่าเศร้า แต่ฉันก็มีความมั่นใจอยู่ไม่น้อยล่ะ
“ยิ่งพวกเขาลงมือมากเท่าไหร่ ก็จะทิ้งร่องรอยและช่องโหว่มากขึ้น ยิ่งทำให้หาเบาะแสได้ง่ายขึ้นเท่านั้น…”
เธอหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“จะว่าไปฉันก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ ว่าการที่เสิ่นตู้ต้องการไปรายงานเรื่องนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ แล้วทำให้เขาเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ขึ้นมาได้
“นายเองก็ได้ฟังการรายงานข่าวประจำเวลามาแล้ว น่าจะรู้ว่าบริษัทเพิ่งจะเจอการติดเชื้อ ‘โรคไร้ใจ’ มาหลายราย การจะมีเพิ่มมาอีกสักคนก็เป็นเรื่องปกติแหละ”
ผ่านมาหลายปีแล้ว แม้ว่ามนุษย์จะยังไม่สามารถค้นพบสาเหตุการเกิดและกฎเกณฑ์การแพร่เชื้อของ ‘โรคไร้ใจ’ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะสรุปปรากฏการณ์บางอย่างออกมาได้
หนึ่งในนั้นก็คือ…
เมื่อเกิด ‘โรคไร้ใจ’ ขึ้นมาเมื่อใด จะไม่ได้มีผู้ป่วยเพียงแค่รายเดียว แต่ภายในช่วงเวลาและขอบเขตรัศมีของสถานที่ที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีผู้ป่วยตามมาอีกสองสามรายหรือมากกว่านั้นอย่างแน่นอน แต่ส่วนใหญ่จะไม่เกิดทับซ้อนกัน
โชคดีที่หลังจาก ‘โรคไร้ใจ’ เกิดแพร่ระบาดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ต้องผ่านไปอีกนานพอสมควรถึงจะมีเกิดขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นมนุษยชาติคงจะถึงกาลล่มสลายไปนานแล้ว
นี่ก็เหมือนกับเงาซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ในยามรัตติกาลอันมืดมิด ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใด ทว่าเมื่อถึงยามรุ่งอรุณที่มีแสงส่องมันก็กลับมาปรากฏให้เห็นอีก
“นี่มันบังเอิญยิ่งกว่าตอนที่พวกเราเจอกับเฉียวชูซะอีก” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็น
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ แล้วพูด
“ถ้าหากไม่ใช่เหตุบังเอิญ งั้นก็แสดงว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
“นิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ มีความลับของ ‘โรคไร้ใจ’ อยู่ในกำมือ และใช้มันจัดการกับศัตรูได้ด้วยงั้นเหรอ
“ทำไมพวกเขาถึงรู้ว่าเสิ่นตู้กำลังจะทรยศ พวกเขาทำให้ ‘โรคไร้ใจ’ เกิดขึ้นกับเสิ่นตู้โดยบังเอิญก่อนจะไปรายงานได้ยังไง
“ทำไมตอนที่นายเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ
“นี่มันมีอะไรที่ต่างกันนะ”
โดยไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ทอดถอนใจพูดต่อ
“ปัญหาพวกนี้ล้วนแต่ต้องเอามาคิดพิจารณาให้ละเอียด มันอาจจะมีเบาะแสที่สำคัญที่สุดซ่อนอยู่ก็ได้
“ในช่วงนี้นายกับฉันต้องช่วยกันคิดเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน
“กลับไปเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบไปสอบถามเรื่องพวกนี้ อย่าเพิ่งเริ่มสืบสวน เพียงแค่แสดงความอยากรู้อยากเห็นไปตามประสาก็พอ”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของซางเจี้ยนเย่ายังคงจริงจัง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องไปกลัวพวกนั้นมากนักหรอกน่า
“ถ้าหากพวกเขาทำให้คนเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ได้ตามใจชอบ อย่างงั้นคณะกรรมการบริหารก็คงจะถูกกำจัดไปหมดเกลี้ยงแล้วเอาพวกตัวเองเข้าไปแทนที่ตั้งนานแล้วล่ะ
“จะว่าไปเราก็ต้องขอบคุณความเมตตาของตุลากรชะตาล่ะนะ ที่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่น่ากังวลแบบนั้น”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบลงมือ”
“…นั่นมันต้องเป็นคำพูดที่ฉันต้องพูดกับนายต่างหากย่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือไล่ “กลับไปเถอะ พักผ่อนให้ดี ทางนิกายน่าจะเรียกชุมนุมเร็วๆ นี้แหละ”
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าดูงุนงงไม่เข้าใจ เธอก็ยิ้มพลางถอนใจ
“ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้กับเสิ่นตู้ ตราบใดที่พวกระดับสูงของนิกายยังไม่ได้เอาสมองไปเซ่นสังเวยให้ตุลากรชะตาไปหมดแล้วล่ะก็ พวกเขาควรจะคิดได้แล้วว่าต้องให้พวกสาวกผู้ศรัทธามารวมตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้การชุมนุมมาทำความคิดเห็นให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะข่มขู่หรือปลอบขวัญก็ตาม ไม่อาจลากถ่วงให้เรื่องราวดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ได้อีก
“ถ้าหากว่ามีคนเป็น ‘โรคไร้ใจ’ กันรวดเดียว 10-20 คน ถึงเราจะไม่รายงานไป แต่ทางบริษัทก็จะส่งเจ้าหน้าที่ระดับหัวกะทิไปทำการสืบสวนอย่างละเอียดอยู่ดี”
ซางเจี้ยนเย่าฟังเงียบๆ จากนั้นจู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
“หัวหน้า ผมอยากร้องเพลงให้คุณฟัง”
“ไม่ต้องหรอก ไว้รอให้เรื่องนี้จบก่อนค่อยร้องละกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ “ฉันรู้แหละว่านายอยากจะชมฉัน”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก เขากลับหลังหันเดินออกจากห้อง 14 แล้วลงลิฟต์กลับไปที่ชั้น 495
ในตอนนี้โดยรอบ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ทั้งด้านในและด้านนอกนั้นมีพนักงานจำนวนมากมารวมตัวอยู่ จับเป็นกลุ่มเล็กๆ ราว 3-5 คนพูดคุยกระซิบกระซาบกัน
สำหรับหลายๆ คนแล้ว นี่เป็นเสมือนฝันร้ายซึ่งถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ได้หวนกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผู้คนอดรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกไม่ได้
อัตราการเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ในปัจจุบันนั้นอยู่ในระดับต่ำมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีเพียงคนหนุ่มสาวจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่เคยเผชิญหน้ากับคนที่ติดเชื้ออยู่สองสามครั้ง แต่คนส่วนมากไม่เคยได้พบเจอเลย เพียงแค่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น
เงาที่แขวนห้อยอยู่เหนือศีรษะของมนุษยชาติได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ได้รีบกลับบ้าน เขาเดินเข้าไปใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ ก่อน แล้วก็เจอหลงเยว่หงอย่างที่คาดเอาไว้
เขากำลังคุยอยู่กับหยางเจิ้นหย่วนอยู่ที่มุมห้อง
“ตะกี้นายไปไหนมาเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าเดินมา
“ลืมของน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าหาข้ออ้างไปเรื่อย
“อืม” หลงเยว่หงแสดงสีหน้าว่าเข้าใจ
ซางเจี้ยนเย่านั่งลงราวกับว่าต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้รีบร้อนอะไร เขามองหยางเจิ้นหย่วนแล้วถามอย่างยิ้มแย้ม
“นายไม่ได้ย้ายไปห้อง 569 หรอกเหรอ”
โจวฉีที่เป็นภรรยาของหยางเจิ้นหย่วน เธอมีอายุมากกว่าเขาสิบปี เคยมีสามีมาแล้วครั้งหนึ่งและได้รับการจัดสรรที่พัก ดังนั้นเมื่อคนทั้งคู่จับคู่กันได้สำเร็จ หยางเจิ้นหย่วนย่อมเสียสิทธิ์ของบ้านที่ตนเองได้รับจัดสรรก่อนหน้านี้ ต้องย้ายไปอยู่ห้องของโจวฉีที่ชั้น 569 เท่านั้น
“จะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่บ้างไม่ได้หรือไง” หยางเจิ้นหย่วนตอบด้วยรอยยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเขาหัวจรดเท้า
“ภรรยานายสอนมาดีนะ”
“หือ” ใบหน้าที่ขาวเนียนของหยางเจิ้นหย่วนแดงขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
หลงเยว่หงช่วยแปลให้ฟัง
“เขาหมายความว่านายน่ะดูร่าเริงกว่าสมัยก่อนมาก”
“ก็นิดนึง… มีความมั่นใจมากขึ้นน่ะ” หยางเจิ้นหย่วนยกมือลูบผม
หลังจากที่พูดคุยสนทนาเรื่องงานของหยางเจิ้นหย่วนในสถาบันวิจัยแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็หันไปทางหลงเยว่หง
“เกิดอะไรขึ้นกับลุงเสิ่นเหรอ”
หลงเยว่หงได้ยินการซุบซิบมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาถอนหายใจ
“พวกเขาเล่าว่าลุงเสิ่นมีอาการไม่ค่อยปกติตั้งแต่เมื่อคืนวาน เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เฮ้อ ถ้าหากว่าให้เขารีบไปหาหมอ ก็อาจไม่เป็นไรก็ได้”
“ถ้าหากว่าเขาติด ‘โรคไร้ใจ’ ไปแล้ว ถึงจะไปรักษาแต่เนิ่นๆ ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีแหละ” หยางเจิ้นหยวนทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยทางชีวภาพซึ่งมุ่งเน้นด้านการแพทย์ แต่เนื่องจากวิชาชีพที่เรียนมา จึงต้องรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในเสียมากกว่า
หลงเยว่หงถอนใจอีกครั้ง
“ก็จริงนะ…
“น่าสงสารจริงๆ ลูกลุงเสิ่นก็เพิ่งจะอายุแค่นั้นเอง…”
ซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะถามขึ้น
“ลุงเสิ่นเป็นโรคตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเห็นเป็นคนแรก”
หลงเยว่หงชี้ไปด้านนอก
“ลุงเสิ่นเป็นโรคตอนที่อยู่ใน ‘ห้องควบคุมระเบียบ’ ข้างๆ นี่แหละ เพิ่งจะเข้าไป ยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ จู่ๆ ก็ป่วยขึ้นมาซะอย่างนั้น ฟู่… ยังดีที่เกิดเรื่องอยู่ข้างใน พวกเขาก็เลยควบคุมตัวลุงเสิ่นได้อย่างรวดเร็ว ไม่งั้นล่ะก็ คงจะมีคนบาดเจ็บมากกว่านี้อีก”
“ห้องควบคุมระเบียบ…” ซางเจี้ยนเย่าทวนคำ “ตอนนั้นในห้องมีกี่คน”
“ซัก 3-4 คนล่ะมั้ง เพราะถ้าแค่สองคนก็คงเอา ‘คนไร้ใจ’ ไม่ลงแน่ๆ” หลงเยว่หงคาดเดา
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปกปิด ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ ถามรายละเอียดเพิ่มเติม และพอจะประเมินเรื่องราวแบบคร่าวๆ ได้ดังนี้…
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ เสิ่นตู้ก็เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าทางเข้า ‘ศูนย์กิจกรรม’ ท่าทางเหม่อลอย สีหน้าไม่น่ามอง
หลังจากนั้นราวๆ สักสิบนาที เขาก็เดินไปที่ ‘ห้องควบคุมระเบียบ’ ที่อยู่ด้านข้าง เพิ่งเข้าไปได้เพียงไม่กี่สิบวินาที ข้างในก็มีเสียงการต่อสู้ดังออกมา ตามด้วยเสียงคำราม…
ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลังอาหารซึ่งมีคนหนาแน่นมากที่สุด จึงมีคนมากมายเป็นพยานบุคคล เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
หลังจากพูดคุยสนทนากันจนเลยเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบนาทีไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็บอกลาหลงเยว่หง หยางเจิ้นหย่วน รวมทั้งโจวฉีที่มาหาสามี แล้วออกจาก ‘ศูนย์กิจกรรม’ เดินกลับบ้านตัวเอง
เมื่อเข้าใกล้ห้อง 196 เขต B เขาก็เหลือบมองดูด้านล่างประตูเป็นอันดับแรก
ตรงนั้นมีรูปเด็กทารกแบบง่ายๆ ที่วาดด้วยชอล์กสีขาว
นี่หมายความว่าพรุ่งนี้เวลาตีห้าครึ่ง นิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ จะมีการชุมนุมกัน
* * * * *
บนชั้น 647 เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ไกลออกไป
เธอรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์และกดหมายเลข ‘349’ ที่ปรากฏขึ้นมา