ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 124 ตกตะลึง
บทที่ 124 ตกตะลึง
มือสังหารชุดดำได้วิ่งหนีจากไป เหลืออยู่เพียงซูเฉินกับคะแนนของเขาที่เพิ่มขึ้นมาอีก 16 แต้ม
สำหรับซูเฉิน การต่อสู้ที่รุนแรงในครั้งนี้นับเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนอย่างแท้จริง มันเป็นการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดที่เขาเจอตั้งแต่เข้าสนามสอบ การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ล้วนมีจุดประสงค์เพื่อทำให้เขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่มีความปราณีแต่อย่างใด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากซูเฉินตอบสนองช้าเกินไป เขาก็คงจะได้กลายเป็นคนตายไปแล้ว
ซูเฉินไม่รู้ว่ามือสังหารชุดดำผู้นี้ต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้นทุกครั้งหรือไม่ แต่เขารู้ดีว่าการตายในสนามสอบแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามและได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะไม่เคยราบรื่น มันมีทั้งความยากลำบากและอันตรายอีกมากมายนับไม่ถ้วน หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ได้รับอนุญาต มันก็คงไม่จำเป็นต้องสู้วัดผลกันแต่แรก
บางทีด้วยเหตุผลนี้ แม้ว่านี่จะเป็นโอกาสในการรับสมัครคนใหม่เข้ามา แต่สถาบันมังกรซ่อนเร้นก็ยังคงอนุญาตให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนกลุ่มหนึ่งได้อยู่ดี
และเมื่อครู่นี้ ซูเฉินก็เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นแล้ว
แน่นอนว่าในเขตพื้นที่ระดับสูงย่อมยังมีเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่อีกมาก ไม่ว่าจะใครก็ตามที่เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาย่อมต้องอันตรายมากทีเดียว แม้แต่ซูเฉินเองยังหลั่งเหงื่อเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามซูเฉินไม่รู้ว่าคนที่ตนเพิ่งเผชิญหน้าไปนั้นไม่ใช่คนธรรมดา
ตอนนี้ศาลาบนหอคอยสูงได้ตกอยู่ในความโกลาหลเสียแล้ว จอแสงได้ติดตามจับภาพของซูเฉินเอาไว้
สิ่งที่ซูเฉินไม่ได้รับรู้เลยว่าการต่อสู้ของเขา ได้ถูกเหล่าตระกูลชั้นสูงทั้งหมดที่อยู่บนหอคอยสูงเฝ้ามองดูอยู่ แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจในตอนแรกไม่ใช่ซูเฉิน แต่กลับเป็นมือสังหารชุดดำ
มือสังหารชุดดำผู้นั้นถูกเรียกว่า กุ่ยเหริน เขาเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการสอบครั้งนี้ เขามีความเชี่ยวชาญในการซุ่มโจมตี เก่งในการต่อสู้ยามค่ำคืน
กุ่ยเหรินผู้นี้ครอบครองสายเลือดหมาล่าเนื้อลวงตา ที่มีความสามารถในการซ่อนตัวในความมืดและไปมาอย่างไร้ร่องรอย ในเวลาสว่างยามกลางวันไม่ใช่ช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ดังนั้นกุ่ยเหรินจึงได้รับคะแนนมาเพียง 20 แต้มเท่านั้น แต่เมื่อตกกลางคืนมันก็กลายเป็นช่วงเวลาการแสดงของเขา ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งคืน กุ่ยเหรินก็สามารถเก็บเกี่ยวคะแนนได้เท่ากับเมื่อช่วงกลางวันแล้ว
เดิมทีพวกเขาทุกคนคิดว่าจะสามารถเฝ้าดูกุ่ยเหรินย่างกรายในความมืดมิด ไล่ล่าคู่ต่อสู้เป้าหมายต่อเป้าหมาย พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าช่วงเวลาที่ความรุ่งโรจน์ของกุ่ยเหรินเพิ่งได้เริ่มต้นขึ้น มันกลับจบลงไปเรียบร้อยแล้ว
จากลักษณะบาดแผลที่สาหัสไม่น้อยของมือสังหารชุดดำกุ่ยเหรินผู้นั้น ก็คงจะไม่สามารถคาดหวังการแสดงดี ๆ ในคืนนี้จากเขาได้อีกแล้ว
กุ่ยเหรินพ่ายแพ้ไปแล้วจริง ๆ ซ้ำยังเป็นยามดึกที่เป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดของมัน
คนสวมหน้ากากผู้นั้นเป็นใครกัน? มันรอดจากการโจมตีปลิดชีพของกุ่ยเหรินได้อย่างไร? มิหน่ำซ้ำมันยังสามารถระบุตำแหน่งของกุ่ยเหรินได้อีก?
ใช่แล้ว เหตุใดมันถึงได้เดินไปรอบ ๆ ในความมืดได้อย่างสบาย ๆ เช่นนั้นกัน?
ดูอันดับนั่นสิ มีคนหนึ่งใน 100 อันดับแรกที่ไม่มีชื่อสายเลือดอยู่ บางทีอาจจะเป็นเด็กผู้นั้น
มันมีนามว่าซูเฉิน? ใครคือซูเฉิน?
ผู้คนเริ่มพูดคุยกันไปทั่ว
คราวนี้ซูเฉินได้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 74 โดยมีคะแนนอยู่ 52 แต้ม
นี่ทำให้เขาติดอยู่ในอันดับได้นานขึ้น และยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น
ตระกูลซูกลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพราะซูเฉินรากฎตัวบนอันดับผู้นำอีกครั้ง แต่เป็นเพราะกุ่ยเหรินที่ทำให้พวกเขาเห็นถึงพฤติกรรมบางอย่างของซูเฉินผ่านบนจอแสง
พวกเขาเห็นซูเฉินถือตะเกียงผลึกแก้วและกำลังมองดูแผนที่
ซูเฉินกำลังมองดูแผนที่!
มองดูแผนที่!
ดู – แผน – ที่!
เขาไม่ได้ตาบอด!
ทุกคนในตระกูลซูต้องการจะตะโกนประโยคนี้ออกมาดัง ๆ เหลือเกิน
ไม่จริง มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง! ซูเคจิพูดออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด หน้ากากปีศาจนั่นต้องไม่ใช่ซูเฉินแน่ มันต้องเป็นแค่เรื่องบังเอิญ กุ่ยเหรินพ่ายแพ้ให้หน้ากากปีศาจ ในเวลาเดียวกันซูเฉินก็เอาชนะอีกคนได้พอดี นั่นคือสาเหตุที่ซูเฉินปรากฏตัวบนกระดานผู้นำ! มันไม่ใช่ซูเฉิน มันไม่ควรเป็นซูเฉิน!
แต่ในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครอื่นที่ได้รับคะแนนจำนวนมากขนาดนั้นเช่นกัน ซูเฟยหูกล่าวสบาย ๆ
กุ่ยเหรินมีคะแนนอยู่ประมาณ 48 แต้ม ใครก็ตามที่ได้รับ 1 ใน 3 ของคะแนนนั้นไปมีอันดับสูงขึ้นอย่างแน่นอน คะแนน 16 แต้มเพียงพอที่จะขยับไปอยู่ใน 100 อันดับแรกของเขตล่างได้แล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่พบผู้ใดอื่นที่เป็นเช่นนั้น
ผู้ที่จะเป็นหน้ากากปีศาจนี้ได้ มีเพียงแค่ซูเฉินเท่านั้น!
นอกเหนือจากซูฉางเช่อกับซูเฟยหูแล้ว สมาชิกตระกูลซูที่เหลือต่างก็กำลังสูญเสียความหวังทั้งหมดไป เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
เขาไม่ได้ตาบอดได้อย่างไรกัน!
ทำไมกัน? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้? ซูฉางชิงไม่เข้าใจ มันมองไม่เห็นไม่ใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้กลับมามองเห็นได้เอายามนี้กัน?
แน่นอนว่าก็ย่อมจะเป็นเพราะมันหายดีแล้ว ซูเฟยหูพ่นลมหายใจพลางกล่าวขึ้น ซูเฉินก็เคยกล่าวไว้แล้วมิใช่หรือว่าขอทานชราผู้ที่ทำให้มันตาบอดนั้นบอกว่าจะเปลี่ยนตาของมัน ขอทานชราผู้นั้นไม่เคยพูดเลยสักคำว่าซูเฉินจะต้องอาศัยอยู่ในความมืดตลอดไป เพราะซูเฉินเชื่อเช่นนั้นมันจึงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
แล้วเหตุใดมันถึงไม่บอกเรากัน ว่าดวงตาของมันหายดีแล้ว ใครบางคนพูดอย่างโกรธ ๆ
แล้วเหตุใดมันจะต้องบอก? ซูเฟยหูกล่าวช้า ๆ หากมันบอกพวกเจ้าแล้วจะยังไง เจ้าจะรีบไปประจบประแจงและดูแลประคบประหงมมันอย่างดี? ตามบุคลิกของซูเฉิน เจ้าคิดว่ามันเต็มใจที่จะได้รับการดูแลประคบประหงม ‘อย่างดี’ เช่นนั้นหรือไม่เล่า?
ทุกคนพูดไม่ออก
ใช่ คนเราทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
ซูเฉินอาจจะสูญเสียความหวังทั้งหมดที่มีต่อตระกูลซูไปแล้วไม่ใช่หรือ?
ในเมื่อหมดหวังไปแล้ว ทำไมเขาจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้มันกลับคืนมากัน? ในทางกลับกันถ้าซูเฉินยังคงแสร้งทำทำเป็นคนตาบอดต่อไป เฝ้าดูผู้คนมากมายเปิดเผยด้านมืดและสกปรกของตัวเองต่อหน้าเขา มันไม่น่าสนใจกว่าเหรอ?
ตอนนั้นเอง ทุกคนก็เริ่มจำได้ถึงสิ่งต่าง ๆ
เมื่อนึกถึงทัศนคติที่น่าเกลียดที่พวกเขาแสดงออกมาต่อหน้าซูเฉิน พฤติกรรมสกปรกทุกประเภทที่พวกเขาไม่ใส่ใจที่จะปกปิดเพราะคิดว่าซูเฉินเป็นเพียงแค่คนตาบอดหรือแม้กระทั่งพยายามกลั่นแกล้งเขา ทำให้ซูเฉินสามารถมองเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้อย่างชัดเจน …
คุณพระคุณเจ้า ผู้ชายคนนี้ได้ค้นพบความลับของพวกเราไปมากมายเพียงไหนกัน?
ดวงตาของมันฟื้นคืนกลับมาตั้งเมื่อใด?
ครั้งที่แล้วตอนที่ข้าหยิบเอาชามแก้วนั้นไปต่อหน้าต่อตามัน ตาของมันหายดีแล้วหรือยัง?
ครั้งนั้นซูเฉินมาที่ลานบ้านของข้า ข้าได้ซ่อนสมุดบัญชีหนี้ทั้งหมดของข้าแล้วใช่หรือไม่?
เจ้าเด็กนั่นค้นพบความสัมพันธ์ของข้ากับเหลียนกู่แล้วหรือไม่?
ทันใดนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูเฉินผู้ที่ได้รับการมองเห็นกลับมาแล้ว ทุกคนก็ได้สัมผัสความรู้สึกผิดและความกลัวของตัวพวกเขาเอง
แม้แต่ซูเฉิงอันก็ทำได้เพียงจ้องมองลูกชายของเขาอย่างว่างเปล่า
ดวงตาของมันหายดีแล้ว?!
ดวงตาของมันหายดีแล้วจริงหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร?
เหตุใดมันไม่เคยกล่าวอันใดเรื่องนี้เลย!
ราวกับมีฟ้าผ่าคำรามร้องอู้อี้อยู่ในหูของซูเฉิงอัน ทำให้การมองเห็นของเขาพร่ามัวจากอาการวิงเวียนศีรษะ
ยังมีคนอีกคนที่ตกใจพอ ๆ กันที่ได้รู้ว่าซูเฉินกลับมามองเห็นได้แล้ว
กู่ชิงลั่ว
นางแตกต่างจากคนอื่น นางแน่ใจอย่างยิ่งว่าหน้ากากปีศาจนั่นคือซูเฉิน
ดังนั้นเมื่อนางเห็นซูเฉินใช้แสงจากตะเกียงผลึกแก้วเพื่อส่องดูแผนที่ ร่างกายของนางจึงได้ชะงักค้างไปหมด
ดวงตาของมันกลับมามองเห็นได้แล้ว?
หายดีตั้งแต่เมื่อไหร่?
หนึ่งวัน? สองวัน? หรือเป็นเดือน? สองเดือน?
หรือนานกว่านั้น?
หัวใจของกู่ชิงลั่วเริ่มเต้นแรง
นางจำได้ลาง ๆ ว่าการอาบน้ำครั้งสุดท้ายที่ภูเขาด้านหลังครั้งสุดท้ายนั้นคือเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ที่ซูเฉินเพิ่งเสร็จสิ้นจากการประเมินสิ้นปี
ครึ่งปี
ดวงตาของซูเฉินไม่น่าจะหายดีมานานขนาดนั้นหรอกใช่ไหม? กู่ชิงลั่วคิด
ใช่ พวกมันคงเพิ่งจะหายดีอย่างแน่นอน
พวกมันต้องเพิ่งฟื้น!
ไม่เช่นนั้นแล้ว …
หัวใจของกู่ชิงลั่วสั่นสะท้าน ก่อนที่นางจะเริ่มคุกรุ่นไปด้วยจิตสังหารอย่างรุนแรง
บางทีคนเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่แปลกใจแต่อย่างใด เมื่อรู้ว่าซูเฉินกลับมามองเห็นได้แล้วคือคนจากอารามนิรันดร์
ใช่ พวกเขาก็อยู่ด้วย
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่บนยอดหอคอยสูง
หอคอยสีทองสูงใหญ่เป็นที่ซึ่งตระกูลใหญ่ต่าง ๆ กำลังนั่งอยู่ นอกเหนือจากสถานที่แห่งนี้แล้ว บนเนินเขาด้านล่าง บนพื้นหญ้า ในป่า ถึงแม้จะมีหลายคนไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้านในสนามสอบ แต่พวกเขาต่างก็เอาใจใส่ชะตากรรมของผู้เข้าสอบเป็นอย่างดี
ซางเจิน เยี่ยเม่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องมองไปที่จอแสงกลางอากาศในขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง
เมื่อซูเฉินเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาและถูกจอแสงติดตามจับภาพ ซางเจินก็ถอนหายใจออกมา พวกเขาสังเกตเห็นซูเฉินแล้ว ตอนนี้ปัญหากำลังจะมา
สำหรับอารามนิรันดร์แล้ว สถานการณ์แบบนี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุดหากเป็นไปได้
ทันทีที่เจ้าหน้าที่สอบสังเกตเห็นถึงความสามารถของซูเฉิน พวกเขาจะให้ซูเฉินได้ปรากฏบน จอ บ่อยขึ้น นี่เป็นเรื่องอันตรายยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หากซูเฉินถูกจับภาพเมื่อเขาเปิดเนินกลบวิญญาณ ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผย
นั่นไม่ใช่ความผิดของซูเฉิน เยี่ยเม่ยพยายามปกป้องซูเฉิน
ข้ารู้ ซางเจินตอบ ให้พวกเขาเริ่มดำเนินการตามแผนสอง