ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 91 การแสวงหาจิตวิญญาณ
บทที่ 91 การแสวงหาจิตวิญญาณ
ที่สระน้ำใต้หน้าผา ผิวน้ำกระเพื่อมช้า ๆ
กู่ชิงลั่วโผล่ขึ้นมาจากน้ำราวกับดอกบัว จังหวะที่นางโผล่ขึ้นมา ผมยาวของนางสะบัดทำให้หยดน้ำปลิวไปในอากาศ สะท้อนกับแสงอาทิตย์จนเปล่งประกายระยิบระยับ
แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่ร่างกายที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ทำให้นางไม่กลัวความหนาวเย็นนี้ นางว่ายน้ำไปมาในน้ำอย่างรวดเร็ว ช่างดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติและสวยงามอย่างแท้จริง
ซูเฉินนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลมากนัก เขากำลังเฝ้ามองกู่ชิงลั่วที่กำลังอาบน้ำ
เมื่อการหลอกลวงได้มาจนถึงจุดนี้แล้ว ก็นับได้ว่าเขาได้กำไรไปในระดับหนึ่งแล้วอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามซูเฉินในเวลานี้ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นอยู่เลย เขาจ้องมองไปที่กู่ชิงลั่วก็จริง ทว่าสายตาของเขากลับมองทะลุผิวของนางไป และสังเกตดูแต่การไหลของพลังต้นกำเนิดเท่านั้น
ซูเฉินจ้องมองอย่างอดไม่ได้
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมากู่ชิงลั่วเพิ่งเปิดใช้งานพลังสายเลือดของนางไป มันยังคงมีร่องรอยการไหลเวียนของสายเลือดหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ทำให้เขาสามารถเห็นการไหลของพลังต้นกำเนิดได้ชัดเจนมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปการไหลของพลังต้นกำเนิดนี้ก็ค่อย ๆ จางหายไป
ดังนั้นซูเฉินจึงต้องใช้ช่วงเวลานี้ใช้คุ้มค่า
สายตาของซูเฉินจับจ้องไปที่การไหลของพลังต้นกำเนิดในร่างกายของกู่ชิงลั่ว เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงกฎลึกลับบางอย่างของกระบวนการทำงานของพลังต้นกำเนิด ซูเฉินไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่ในขณะที่เฝ้าดูความรู้สึกนึงก็ผุดขึ้นมาในใจของเขา ราวกับว่ามีทฤษฎีทางปรัชญาของสวรรค์และปฐพี ปรากฏขึ้นมาตรงของเขา มันไม่ชัดเจนและไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ซูเฉินเข้าใจมันได้โดยการสัมผัสผ่านร่างกายของเขา
ถูกต้อง เข้าใจโดยใช้การสัมผัสผ่านร่างกายของเขาเอง!
หากมีใครบางคนมีดวงตาแบบเดียวกับซูเฉิน พวกเขาจะพบว่าตอนนี้การไหลของพลังต้นกำเนิดในร่างกายของเด็กหนุ่มมีความคล้ายคลึงกับกู่ชิงลั่วอย่างยิ่ง ทั้งลักษณะของการไหลเวียน ความถี่ การเพิ่มลดของพลังต้นกำเนิด และการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดในขณะที่มันไหลเวียน ทั้งหมดคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของกู่ชิงลั่ว
อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงแค่คล้ายคลึงเท่านั้น!
อุก! ทันใดนั้นซูเฉินก็รู้สึกได้ถึงและเลือดในร่างกายของเขาที่เดือดพล่าน รสชาติหวานพุ่งขึ้นมาเต็มปากราวกับว่าเขาได้รับหมัดที่รุนแรง ซูเฉินกระอักเลือดออกมาเต็มคำ
บัดซบ!
ซูเฉินรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
การพยายามที่จะคัดลอกการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในร่างกายโดยปราศจากสายเลือดอสรพิษทะยานนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน
แค่กระอักเลือดนั้นนับได้ว่าเบาแล้ว หากผลข้างเคียงรุนแรงยิ่งกว่านี้ ซูเฉินอาจโดนธาตุไฟเข้าแทรกหรือถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของซูเฉินก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก นอกเหนือจากกระอักเลือดออกมาแล้ว เขายังพบว่าขาของเขาหนักขึ้นอย่างกะทันหัน
ความรู้สึกหนักอึ้งที่ไม่อาจบรรยายได้!
หากก้าวย่างหมอกอสรพิษทำให้รู้สึกเบาสบาย ราวกับว่าน้ำหนักตัวหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ความรู้สึกในตอนนี้มันก็ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ขาของซูเฉินหนักพอ ๆ กับตะกั่วและทุกย่างก้าวของเขารู้สึกลำบากเป็นอย่างมาก
ซูเฉินไม่สามารถยืนได้ชั่วขณะและนั่งลงอย่างอ่อนแรงที่ข้างต้นไม้
นี่คือผลมาจากความประมาทงั้นหรือ?
ซูเฉินยิ้มอย่างขมขื่น
ครั้งนี้ความได้เปรียบของซูเฉินได้ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเขาเองแล้วจริง ๆ
เขาทุบขาของตัวเองเบา ๆ และพยายามที่ฟื้นฟูพลังต้นกำเนิดร่างกายให้กลับไปเป็นปกติ ในที่สุดซูเฉินก็รู้สึกว่าอาการของเขาดีขึ้นเล็กน้อย
เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก เช่นนั้นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนี้ก็คงอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ทว่าซูเฉินก็เข้าใจดีว่าพื้นฐานการฝึกฝนของเขายังต่ำและมีพลังต้นกำเนิดไม่มากพอ แต่เพราะเขาฝึกฝนก้าวก้าวย่างหมอกอสรพิษได้เชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้ว ผลกระทบครี้งนี้จึงค่อนข้างเบา
การเลียนแบบการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ซูเฉินตื่นตัวและไม่กล้าที่จะลองอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อยามที่ได้ก้าวไปบนอากาศก่อนหน้านี้ ทำให้หัวใจของเขาเปี่ยมด้วยความปรารถนา ซูเฉินมักจะมีความรู้สึกว่าแม้จะไม่มีสายเลือดอสรพิษทะยาน แต่เขาก็สามารถทำเช่นเดียวกับกู่ชิงลั่วได้
ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของซูเฉินจึงขัดแย้งกันอย่างมาก ราวกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสี่แยกมองไปที่ถนนที่ทอดยาวจมไปในทะเลหมอก แล้วไม่แน่ใจว่าควรจะใช้ถนนสายไหนดีอย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม กู่ชิงลั่วนั้นไม่รู้ว่าในขณะนั้นซูเฉินกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อเห็นซูเฉินนั่งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว นางจึงถามว่า นี่ เจ้าเป็นอะไรไหม ?
ซูเฉินไม่ต้องการให้นางรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ เขาจึงรีบตอบว่า ไม่มีหรอก ข้าแค่กำลังคิดถึงบางอย่าง การสำรวจเนินกลบวิญญาณครั้งล่าสุดของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พบอะไรที่น่าสนใจหรือไม่?
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ความสนใจของกู่ชิงลั่วถูกเบี่ยงเบนไป นางใช้มือกวักน้ำขึ้นมาราดตัวแล้วถอนหายใจ ไม่มีอะไรเลย หลังจากผ่านไปหลายปีและเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่าเนินกลบวิญญาณไปตั้งอยู่ที่ไหนแล้ว สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือมันคงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถว ๆ นี้ …
เทือกเขาสีเลือด จู่ ๆ ซูเฉินก็พูดขึ้น เนินกลบวิญญาณอยู่ในเทือกเขาสีเลือด
เจ้ารู้ได้อย่างไร? กู่ชิงลั่วถามด้วยความประหลาดใจ
ซูเฉินตอบว่า ไม่นานมานี้องค์กรนั้นมาขอให้ข้าช่วยจัดส่งสินค้าให้ ซึ่งรวมถึงสมุนไพรบางชนิดเช่น หญ้าหินครามกับดอกโลหิตวานร
ดวงตาของกู่ชิงลั่วทอประกาย หญ้าหินครามใช้ปรุงยาแก้พิษ ส่วนดอกโลหิตวานรเป็นส่วนวัตถุดิบหลักในการปรุงยาขับไล่สัตว์อสูร
ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า เจ้าก็จักรู้เช่นกันสินะ
แน่นอนก็ข้าเรียนมาเยอะ กู่ชิงลั่วตอบอย่างสบาย ๆ แล้วมีเบาะแสอื่นอีกไหม ?
ครั้งแรกที่ข้าเจอองค์กรนั้น ข้าแอบได้ยินบทสนทนาของพวกมัน มันพูดถึงดอกโลหิตม่วงกับผงศิลา
กู่ชิงลั่วขมวดคิ้ว ดอกโลหิตม่วงสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายและมีคุณสมบัติพิเศษอยู่มากมาย อาทิ เสริมจิตวิญญาณ เสริมสมาธิ ปัดเป่าความชั่วร้าย ดังนั้นมันจึงยากที่จะบอกได้ว่าพวกมันจะเอาไปทำอะไร ส่วนผงศิลา … ทำไมพวกนั้นถึงต้องใช้มัน?
กู่ชิงลั่วไม่รู้
ซูเฉินตอบว่า ผงศิลาเป็นวัตถุดิบพิเศษชนิดหนึ่ง มันสามารถก่อให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ได้เมื่อมันรวมเข้ากับพลังต้นกำเนิด
มันใช้สร้างระเบิดได้ ? ทรงพลังขนาดไหน ? กู่ชิงลั่วประหลาดใจ
มากพอที่จะระเบิดภูเขาหิน
กู่ชิงลั่วเงียบไป
หลังจากนั้นไม่นานนางก็พูดว่า แม้ว่าหญ้าหินครามจะใช้ในการปรุงยาแก้พิษ แต่มันก็ยังมียาแก้พิษชนิดอื่น ๆ อยู่อีก ยาแก้พิษที่ทำจากหญ้าหินครามมักไม่ได้ใช้ในการรักษาพิษของสัตว์ร้าย แต่เป็นโรคที่เกิดจากพิษ
โรคที่เกิดจากพิษ ? ซูเฉินสับสนเล็กน้อย เขาไม่รู้เรื่องข้อเท็จจริงนี้ ในเทือกเขาสีเลือด มีสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมเป็นพิษ เช่นนั้นอยู่บ้างหรือไม่ ?
มีสิ เช่นยอดเขาดอกพีช ยอดเขาร้อยวิหค ยอดเขาป่าลอยล่อง ยอดเขาสุดประจิมกับยอดเขารุ่งอรุณสีแดง และอีกหลายสถานที่
ซูเฉินกล่าวทันทีว่า หากพวกมันต้องการใช้ผงศิลาเพื่อระเบิดภูเขาหิน ก็ต้องเป็นสถานที่ที่มีหินอยู่ไม่น้อย
กู่ชิงลั่วก็กล่าวเสริมอีก ดอกโลหิตม่วงสามารถทำให้จิตวิญญาณสงบลงได้ ดังนั้นก็อาจจะมีเขตแดนภาพลวงตาหรือสัตว์ร้ายที่สามารถโจมตีทางจิตได้อยู่ใกล้ ๆ
พวกเขาทั้ง 2 ผลัดกันพูดถึงเหตุผลของพวกเขาอย่างรวดเร็ว จนสามารถจำกัดวงให้แคบลงเหลือเพียงยอดเขาเดียว
มันควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขายอดแดง กู่ชิงลั่วกล่าวด้วยความมั่นใจ
น่าเสียดายที่พื้นที่ของเขายอดแดงนั้นกว้างขวางเกินไป ซูเฉินถอนหายใจ
เขายอดแดงตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกของเทือกเขาสีเลือด บริเวณใกล้เคียงมียอดเขา 4 ยอดและหุบเขาอีก 2 แห่งตั้งอยู่ ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วจำกัดสถานที่ให้แคบลงแล้วระบุไปที่เขายอดแดง แต่ก็ยังไม่มีใครบอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน พื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้เพียงพอที่จะตั้งเนินกลบวิญญาณได้ถึง 100 แห่ง นับประสาอะไรกับเนินกลบวิญญาณเพียงแห่งเดียว
อะไร ? เจ้าอยากไปที่นั่นหรือ ? กู่ชิงลั่วถามซูเฉิน
ซูเฉินตอบว่า การที่องค์กรใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาเนินกลบวิญญาณ หมายความว่ามันก็ต้องมีอะไรดี ๆ อยู่ในนั้นแน่ แล้วข้าจะไม่อยากยืนยันสิ่งนั้นด้วยตัวเองได้อย่างไร ?
กู่ชิงลั่วกล่าวว่า เจ้าคงไม่ใช่เพียงแค่อยากยืนยันสิ่งนั้นด้วยตัวเอง แต่ต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของเจ้าด้วยใช่หรือไม่ ?
ซูเฉินอย่างตรงไปตรงมา ข้า ซูเฉินจะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?
อย่างไรก็ตามซูเฉินกล่าวเสริมว่า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนตาบอดนั้น ‘มองเห็น’ สิ่งต่าง ๆ ได้ผ่านการสัมผัส … อืม สัมผัสซ้ำ ๆ
……
กู่ชิงลั่วถูกซูเฉินทำให้พูดไม่ออกไปเสียแล้ว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็พูดว่า พวกมันยังไม่ได้เปิดเนินกลบวิญญาณนั่นใช่ไหม ?
บางคนเริ่มขุดทางเข้าแล้ว พวกมันกล่าวว่าต้องใช้เวลาอีกประมาณครึ่งปีหรือมากกว่านั้น ก่อนที่จะเปิดทางเข้าของที่แห่งนั้นได้
ครึ่งปี … กู่ชิงลั่วอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า เจ้ามีความสัมพันธ์กับองค์กรนี้อย่างไร ?
ก็ไม่เลว 2 ครั้งก่อนหน้าที่ข้าไปยังเทือกเขาสีเลือด ข้ายืมเครื่องมือต้นกำเนิดของพวกมันมา และเมื่อไม่นานมานี้ข้าได้เข้าร่วมงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าข้ามีวิธีที่อาจจะช่วยให้เจ้าเข้าไปในเนินกลบวิญญาณได้