ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 38 แสงพลังต้นกำเนิด
บทที่ 38 แสงพลังต้นกำเนิด
ในตอนที่จุดแสงหายเข้าไปในร่างของเขา ซูเฉินก็สัมผัสได้ถึงสายพลังอบอุ่นไหลเวียนไปทั่วร่าง มันเป็นความรู้สึกที่เบาบางมากจนซูเฉินยังสงสัยว่าความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นเองหรือไม่
ทว่าหลังสายพลังอบอุ่นจางหายไป แขนของซูเฉินก็เริ่มขยับได้เล็กน้อย
ตอนนี้เด็กหนุ่มสามารถยกแขนขึ้นได้แล้ว
นัยน์ตาเขาเริ่มส่องประกาย
เป็นพลังต้นกำเนิดจริงหรือ?
แต่หากเป็นพลังต้นกำเนิดจริง แล้วเขาสามารถเห็นมันได้อย่างไร?
ซูเฉินประหลาดใจ
เด็กหนุ่มนึกย้อนไปตอนที่ถูกพลังสลายวิญญาณเข้าโจมตีเมื่อตอนนั้น
หรือจะเป็นไปได้ว่าหลังจากวิญญาณถูกฉีกกระชากไปเมื่อครู่ นัยน์ตาของเขาจะพัฒนาขึ้นอีกขั้นแล้ว?
หรืออาจเป็นไปได้ว่าเพราะเขารับพลังโจมตีวิญญาณเมื่อครู่เข้าร่างมาจึงเป็นแบบนี้? หรืออาจจะเป็นเพราะในจิตใจได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างงั้นหรือ?
ซูเฉินไม่อาจรู้คำตอบ เขาทำได้เพียงรอและครุ่นคิดต่อไปเท่านั้น
แต่เป็นที่แน่ชัดว่าจุดพลังต้นกำเนิดเหล่านี้อยู่ในอากาศได้ไม่นาน พวกมันปรากฏตัวขึ้นมาไม่นานก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
เห็นดังนั้น ซูเฉินจึงเข้าใจทันทีว่าเป็นเพราะพลังต้นกำเนิดไม่อาจอยู่ในรูปร่างจุดแสงได้นานนัก
จุดแสงเหล่านี้เป็นพลังที่วานรยักษ์ได้บ่มเพาะมา ใช้เวลานานหลายวันหลายเดือนนับไม่ถ้วน ถึงรูปแบบจะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นพลังที่บ่มเพาะขัดเกลามาเป็นเวลานาน เป็นพลังต้นกำเนิดที่ถูกกลั่นกรองอย่างแท้จริง
เมื่อผู้ใช้พลังต้นกำเนิดสิ้นชีวิตลง พลังต้นกำเนิดในร่างก็ไม่อาจถูกกักเก็บ พากันหลั่งไหลออกจากร่าง กลับสู่ผืนดินและฟ้าซึ่งเป็นต้นกำเนิด พลังต้นกำเนิดที่ถูกกลั่นกรองแล้วจะสูญเสียความสามารถในการเกาะติด พากันแตกกลุ่มแยกย้ายกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างเป็นอิสระ
การที่จุดแสงเหล่านี้สลายหายไปเป็นธรรมชาติของพลังต้นกำเนิดที่ถูกกลั่นแล้ว
นัยน์ตาของซูเฉินไม่อาจเห็นรูปร่างที่แท้จริงของพลังงานต้นกำเนิดได้ เห็นเพียงรูปร่างที่ควบรวมเป็นจุดกลม ๆ ของมันเท่านั้น
นี่ล่ะคือโอกาสดีของเขา!
ความคิดหนึ่งพลันวาบผ่านจิตใจ
เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าตนเองต้องทำอย่างไรต่อไป
ซูเฉินยกแขนขึ้น จากนั้นชี้ไปยังจุดแสงที่ลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะมุ่งรวมพลังพวกนั้นเข้าร่าง
จุดแสงนั้นก็เหมือนหยดน้ำ ไหลกลิ้งไปมาบนผิวของ ซูเฉิน มันทำท่าราวกับไม่อยากถูกซูเฉินดูดกลืนเข้าไป ทว่าด้วยแรงดูดซับพลังที่ร่างของเด็กหนุ่มปล่อยออกมาอยู่เรื่อย ๆ และความไม่ยอมแพ้ของเขา ในที่สุดแรงต้านทานของจุดแสงก็แผ่วลงและแผ่วลง สุดท้ายก็ถูกดูดเข้าร่างของซูเฉินไป
ความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยพลันเกิดขึ้นอีกครั้ง…
ซูเฉินยังรู้สึกว่าพลังกายและพลังจิตในร่างตนเองก็ฟื้นคืนพลังกลับมาด้วยเช่นกัน
ซูเฉินกู่ร้องในจิตใจ พลังต้นกำเนิดที่เขาดูดซับมานั้น เพียงจุดแสงจุดเดียวก็เท่ากับการบ่มเพาะพลังหลายวันแล้ว
เขาประหยัดเวลาบ่มเพาะพลังไปได้กี่วันแล้วกันหนอ?
ซูเฉินไม่รู้ แล้วก็ไม่สนด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าได้เสียโอกาสอันดีนี้ไปเปล่า ๆ!
ถึงซูเฉินจะเคยบ่มเพาะพลังหลังจากแมวป่าเงาลวงสิ้นชีพไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเขาไม่อาจมองเห็นจุดแสงเหล่านี้ได้ จึงได้ทำเพียงบ่มเพาะพลังไปอย่างนั้น ไม่ว่าจะสามารถดูดซับพลังไหนมาได้ในตอนนั้นก็เป็นเพียงดวงดีเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นจุดแสงเหล่านี้แล้ว การดูดซับและบ่มเพาะพลังของเขาจึงมีโอกาสมากยิ่งขึ้น
ซูเฉินจึงใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการดูดซับจุดแสงจุดเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ
พลังงานต้นกำเนิดของเจ้าวานรยักษ์นัยน์ตาหยกตัวนี้สลายหายไปเร็วนัก ซูเฉินจึงสามารถดูดซับจุดพลังต้นกำเนิดได้เพียงแปดจุดเท่านั้น
ถึงจะได้มาเพียงแปดจุด ทว่าซูเฉินก็สามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่าพลังในร่างที่มีอยู่แต่เดิมได้รับการฟื้นคืน
ปกติแล้วหากใช้ลายสลักเลือดสามครั้งติดต่อกัน เด็กหนุ่มต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่กับพื้นกว่าครึ่งวัน ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างได้ ถึงตอนนี้เขาจะยังรู้สึกอ่อนล้าอยู่มาก ทว่าก็สามารถลุกขึ้นยืน ขยับร่างไปไหนมาไหนได้แล้ว
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของพลังต้นกำเนิดไม่ใช่เพียงฟื้นคืนพลังในร่างเท่านั้น มันยังสามารถใช้เพิ่มพลังที่มีอยู่แต่เดิมและแปรเปลี่ยนร่างได้ด้วย ความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าพละกำลังฟื้นคืนกลับมานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะร่างกายที่แข็งแกร่งมากขึ้นนั้นได้พัฒนามากขึ้นด้วยเช่นกัน หากร่างกายแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความทนทานและอัตราการฟื้นพลังก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยอัตราการฟื้นพลังที่เพิ่มมากขึ้นนี้แสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านการที่ร่างกายฟื้นคืนพลังได้อย่างรวดเร็ว
หรือก็คือจุดแสงแปดจุดนี้ทำให้ร่างกายของซูเฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า
หลังจากคิดวิเคราะห์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซูเฉินก็สรุปได้ว่าพละกำลังของตนเพิ่มขึ้นราว 1 ดาราขาว
สุดยอดจริง ๆ! ซูเฉินตะโกนร้องด้วยความตื่นเต้น
เขาสังหารอสูรร้ายไปเพียงหนึ่งตัว แต่พละกำลังกลับเพิ่มขึ้นถึง 1 ดาราขาว เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างแท้จริง จะมีสิ่งใดยอดเยี่ยมไปกว่านี้ได้อีกเล่า?
ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนแล่นอยู่เต็มอก เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินรู้สึกว่าภายในใจเต็มไปด้วยความหวังและความมั่นใจในอนาคตข้างหน้า!
——————————
วันต่อมา ซูเฉินยังคงฝึกปรือฝีมืออยู่บนเทือกเขาสีเลือดต่อไป เขาไม่ปล่อยให้ความยินดีเข้าครอบงำและประมาทเลินเล่อ ยังคงออกล่าอยู่ภายในป่าอย่างระมัดระวังตนต่อไป เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าถึงเขาจะมีโอกาสล้นเหลือ หากแต่โอกาสก็ยังคงเป็นเพียงโอกาสเท่านั้น ตอนนี้เขายังเป็นคนอ่อนแอคนหนึ่งอยู่
เป็นคนอ่อนแอที่ต้องพึ่งเครื่องมือต้นกำเนิดถึงสี่ชิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดในเขตชายขอบสุดของเทือกเขาสีเลือด
หากประมาทเพียงนิดอาจทำลายโอกาสที่เขามีในอนาคตไปจนสิ้น เขาเตือนตนเองอยู่เสมอว่าความมั่นใจในตนเองจนเกินไปนั้นเป็นฆาตกรที่เชื่องช้าทว่าร้ายกาจมาก
ดังนั้นซูเฉินจึงเดินหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเหมือนที่ผ่านมา
ในวันที่ห้าสิบเก้าบนเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินก็ประจันหน้าเข้ากับหมียักษ์เขี้ยวยื่นอีกครั้งหนึ่ง
อาจเป็นเพราะพละกำลังที่มากขึ้นของเขา หรืออาจเป็นเพราะมีประสบการณ์สังหารเจ้าหมีนี่มาแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้จึงผ่านไปอย่างง่ายดาย
ตอนที่สังหารเจ้าหมียักษ์ลงได้ ซูเฉินก็เห็นจุดแสงที่เจ้าหมีปล่อยออกจากร่างอีกครั้ง
ครั้งนี้ซูเฉินเตรียมตัวมาอย่างดี เด็กหนุ่มสามารถดูดซับจุดแสงได้ถึงสิบเอ็ดจุด มากกว่าครั้งที่แล้วถึงสามจุด ส่วนจุดที่เหลือก็พากันสลายหายไป
ซูเฉินจึงเข้าใจว่าการดูดซับในอัตราเท่านี้อาจเป็นอัตราสูงสุดที่เขาสามารถทำได้ในการดูดซับหนึ่งครั้ง
ซูเฉินบันทึกไว้ว่าหมียักษ์เขี้ยวยื่นปล่อยจุดแสงออกมาราวพันจุด หากสิบจุดแสดงเท่ากับดาราขาวหนึ่งดวง ฉะนั้นพลังของหมียักษ์เขี้ยวยื่นน่าจะมีมากราว 100 ดาราขาว เป็นกำลังที่สามารถเทียบได้เท่ากับอสูรร้ายชั้นล่างธรรมดาครอบครอง
พลังที่เขาสามารถดูดซับเข้าร่างได้นั้นราวหนึ่งในร้อย
สังหารอสูรร้ายสักตัว จากนั้นดูดซับพลังได้มากเป็นร้อย ๆ จะมีสิ่งใดยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีก?
อาจเพราะสวรรค์กำลังช่วยเหลือเขาอยู่ก็เป็นได้ ไม่กี่วันต่อมาซูเฉินก็เผชิญหน้าเข้ากับอสูรร้ายถึงสามตัวที่มีพละกำลังค่อนข้างต่ำ ซูเฉินสังหารพวกมันได้อย่างสบาย ๆ
เมื่อซูเฉินดูดซับพลังต้นกำเนิดจุดสุดท้ายเข้าร่างไป เขาก็รู้สึกว่าตนได้เจอเข้ากับอะไรบางอย่างประหลาดนัก ราวกับภายในร่างถูกเติมเต็ม ไม่ว่าเขาจะดูดซับพลังไปสักแค่ไหน พลังก็ไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่นิด
ซูเฉินสัมผัสได้ว่าเขามาถึงขั้นสุดของด่านหลอมกายาแล้ว และตอนนี้กำลังเผชิญหน้าเข้ากับการติดขัดในการบ่มเพาะพลัง
เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะดูดซับพลังมากมายถึงเพียงไหน ก็ไม่อาจเพิ่มพลังในร่างของตนได้ เว้นเสียแต่เด็กหนุ่มจะสามารถทำลายสิ่งติดขัดในร่างออกไปได้
นั่นก็คือการทะลวงไปยังด่านก่อเกิดลมปราณ!
เฮ้อ! ในที่สุดก็มาถึงขั้นนี้จนได้ ซูเฉินถอนหายใจยาวออกมา
เดิมทีเขาคิดไว้ว่าเขาจะสามารถไปถึงขั้นสุดของด่านหลอมกายาได้ยามเมื่อบทลงโทษสิ้นสุดลง เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถมองเห็นจุดพลังต้นกำเนิด และสามารถเพิ่มความรวดเร็วในการบ่มเพาะพลังได้ถึงเพียงนี้ ขนาดที่ว่าสามารถถึงขั้นสุดได้เร็วกว่าที่เขากำหนดไว้ถึงหนึ่งเดือน
สิ่งต่อไปที่เขาต้องทำคือการรวมพลังทั้งหมดและพยายามทะลวงผ่านไปยังด่านก่อเกิดลมปราณให้ได้
เผ่ามนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการมาหลายหมื่นปี ประสบการณ์ในการใช้ประโยชน์จากพลังต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์ตอนนี้นับว่าดีในระดับหนึ่ง
การทะลวงผ่านไปยังด่านก่อเกิดลมปราณนั้นเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด เป็นด่านพลังเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายเลือดในการทะลวงขั้นให้สำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นการเปิดจุดตานไห่จึงมีอยู่หลากหลายวิธี
เนื่องด้วยความยากลำบากมีไม่มากนัก ซูเฉินจึงไม่รอไปทะลวงด่านที่ตระกูลซู เขาตัดสินใจทะลวงด่านบนเทือกเขาสีเลือดแห่งนี้เสียเลย