ราชันย์หน่วยรบมังกร - ตอนที่ 44.2
ในตอนนั้นเอง ทันทีที่พี่เสือพลันเห็นว่าพรรคพวกของตัวเองเริ่มล้มลงไปทีละคน เขาก็พลันเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ทั้งนี้ หลังจากผ่านไปประมาณสองนาที ทั้งโกดังก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญและเสียงสะอึกสะอื้นที่น่าสังเวช
พี่เสือเห็นพรรคพวกของตัวเองอย่างน้อยยี่สิบคนต้องพิการและนอนแน่นิ่งจมกองเลือดไปกับพื้น บางคนขาหัก บางคนแขนหักและบางคนก็หน้าแหกจนเลือดกระจายเลอะเทอะเต็มใบหน้าไปหมด
ในตอนนี้ เสี่ยวเฉิงพลันสังเห็นว่ายังเหลืออีกฝ่ายอยู่อีกแปดคนที่กำลังยืนอยู่ด้วยความสั่นกลัว ดูเหมือนทั้งแปดคนจะลังเลว่าควรที่จะสู้ต่อไปหรือพอแค่นี้ดี ทุกคนพลันยืนแน่นิ่งและเหงื่อแตกด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันถอนหายใจและกำท่อเหล็กเอาไว้แน่นกว่าเดิม “ถ้าพวกนายทำตามกฎหมายตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็คงจะไม่ต้องจบแบบนี้ แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าความรุนแรงจะต้องมาปะทะกับความรุนแรงเท่านั้นแล้ว… พวกนายอยากจะเอาชีวิตพรรคพวกมาเสี่ยงหรือยังไงกัน? แต่ถ้าต้องการแบบนั้น ก็เอาเลย! ยังไงฉันก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ฉันจะดวลกับพวกนายเอง ไม่มีกฎ ไม่มีความเมตตาหรือความเห็นใจ มีแค่หมัด! ยังไงก็เถอะ มาต่อกันเลย…”
“เข้ามาสิ!” เสี่ยวเฉิงพลันตะโกนออกมาอีกครั้ง
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อันธพาลทั้งแปดรวมถึงพี่เสือก็พลันก้าวถอยออกไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังเลยด้วยซ้ำ ทว่า สิ่งที่อีกฝ่ายกลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือเสี่ยวเฉิง!
พี่เสือเองก็รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย แต่สำหรับคราวนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความกลัวอย่างแท้จริง ความกลัวที่ผุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ถึงอย่างไร พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรของเสี่ยวเฉิงเลยแม้แต่น้อย…
ทว่า ทันทีที่เสี่ยวเฉิงก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อีกฝ่ายก็พลันก้าวถอยไปสองก้าว
แววตาของพี่เสือพลันสั่นเทาด้วยความกลัว อันที่จริง เขาแทบอยากจะวิ่งหนีเข้ามุมไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่า ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งข้างหลังเสี่ยวเฉิงที่แสร้งทำเป็นล้มลงก็พลันลุกขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่เขาทันที… ชายคนนั้นพลันหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋าและพุ่งเข้าใส่เสี่ยวเฉิงอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า ผลสะท้อนจากคลื่นเสียงที่ไม่มีจุดบอดของเสี่ยวเฉิงก็พลันวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายราวกับมันทำให้เขามีตาหลัง ทันทีที่รู้เช่นนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันหันกลับไปพร้อมกับโยนท่อเหล็กใส่หน้าของชายคนนั้นอย่างเต็มแรงจนทำให้เขาล้มลงไปนอนกับพื้นและหมดสติไป
ถึงกระนั้น ความหวังเฮือกสุดท้ายของอีกฝ่ายก็ดูจะหมดลงแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน พี่เสือก็พลันตัวสั่นเทาและกล่าวคำพูดออกมา “แกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนะ!”
เสี่ยวเฉิงพลันหรี่ตา “ส่วนพวกนายก็เป็นคนเลว ยังไงเสีย ฉันก็ขอแสดงความเคารพตามวิธีที่พวกนายคุ้นเคยหน่อยก็แล้วกัน…”
ทันใดนั้น พี่เสือก็พลันโยนท่อเหล็กทิ้งแล้วยกมือขึ้นทั้งสองข้าง “ก็ได้ งั้นฉันจะไม่ขัดขืนอะไรแล้ว!“
ไม่นานนัก เสี่ยวเฉิงก็พลันเผยเสียงหัวเราะออกมาทันที “มันสายเกินไปแล้ว!”
ผ่านไปแทบจะเสี้ยววินาที เสี่ยวเฉิงก็พุ่งเข้าไปจับคอเสื้อของพี่เสือพร้อมกับยกเขาขึ้นกลางอากาศ หากทำการเปรียบเทียบ เสี่ยวเฉิงเป็นผู้ชายที่สูง 190 เซ็นติเมตร ส่วนพี่เสือนั้นสูงเพียงแค่ 170 เซ็นติเมตรเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวเฉิงจึงยกเขาจนตัวลอยห่างจากพื้นมาประมาณ 30 เซ็นติเมตร
ถึงอย่างไร มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าชายอีกแปดคนที่กำลังยืนขาสั่นอยู่นั้นไม่กล้าที่จะเข้าใกล้หรือทำอะไรเสี่ยวเฉิงเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ อีกยี่สิบกว่าคนก็กำลังนอนจมกองเลือดอยู่ด้วย และสำหรับคำถามตอนนี้ ชายทั้งแปดที่ยังคงยืนมองอยู่นั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง?
ทว่า คนที่เหลือพลันวิ่งหนีไปยังมุมโกดังพร้อมกับวางมือลงบนหลังศีรษะแล้วก้มตัวต่ำ
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันมองไปยังพี่เสือที่กำลังเผยหน้าซีด “แล้วใครจะมาจ่ายค่าซ่อมรถให้ฉันกันล่ะ?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พี่เสือก็ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเลยที่จะตอบกลับ “ฉัน! ฉันเอง!”
เสี่ยวเฉิงพลันพยักหน้าแล้วถามขึ้นอีกครั้ง “อ่า… จริงสิ แก๊งของนายมีบทลงโทษอะไรกับผู้ที่ทำผิดกฎบ้างล่ะ?”
ทันใดนั้น หน้าของพี่เสือก็เปลี่ยนไป
“แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันขี้เกียจทำตามกฎบัดซบของพวกนายแล้ว… คนอย่างนาย โดนสั่งสอนสักหน่อยก็น่าจะหลาบจำ!” ทันทีที่พูดจบ เสี่ยวเฉิงก็พลันเหวี่ยงหมัดตรงไปที่ใบหน้าของพี่เสือทันที และในตอนนั้น พรรคพวกอีกแปดคนที่มองมาก็พลันสังเกตุเห็นว่าหัวหน้าของตนนั้นถูกซัดหน้าจนฟันหลุดออกมาประมาณห้าถึงหกซี่เลยทีเดียว!
หลังจากนั้น ร่างของพี่เสือก็พลันลอยกระเด็นออกไปประมาณสามเมตรและกระแทกลงไปกับพื้นดิน ทว่า ระหว่างที่พี่เสือกำลังดิ้นรนที่จะลุกขึ้นมา เขาก็พลันเป็นลมจนหมดสติไป
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันกวาดตามองไปยังชายอีกแปดคนตรงหน้า ทั้งนี้ อันธพาลที่หลบอยู่ตรงหัวมุมของโกดังก็พลันก้มหัวลงต่ำไปอีก อีกฝ่ายไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเสี่ยวเฉิงเลยด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกสักกี่ปี พวกเขาก็จะไม่มีวันลืมความรู้สึกหวาดกลัวที่ได้รับจากชายที่ชื่อว่าเสี่ยวเฉิงเป็นแน่