ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1801 บดขยี้ปณิธานของจอมเทพ
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1801 บดขยี้ปณิธานของจอมเทพ
ตอนที่ 1801 บดขยี้ปณิธานของจอมเทพ
“โฮกก…” ครั้นร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียมถูกหมัดขนาดใหญ่รัวเข้าใส่ใบหน้านั้น ทำให้ร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียมพลันโกรธจัดเช่นกัน คำรามเสียงดังออกมา ภายใต้การคำรามของเขาทำให้ฟ้าถลมดินทลาย ดวงดาวบนท้องฟ้าถึงกับสั่นเทา คล้ายจะร่วงหล่นลงมาตามเสียงอย่างนั้น
ลองคิดดู การคำรามด้วยความโกรธของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด นี้เป็นความโกรธเคืองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้การคำรามสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตนับหนึ่งล้านล้านชีวิตได้ ทำให้ผู้บำเพ็ญตนของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินต้องสั่นเทากับสิ่งนี้
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีสีหน้าที่ขาวซีดทันทีที่ได้ยินเสียงคำรามเช่นนี้ดังขึ้น ขาทั้งสองข้างต้องสั่นเทากระทั่งยืนไม่มั่นคง ต่อให้เป็นกษัตราเจ้าสำนักก็ตามที
ภายใต้การคำรามของร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียม พลังของจอมเทพได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก “ตูม ตูม ตูม” เสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก ฟ้าดินสั่นไหวโคลงเคลงไปมา พลังที่น่ากลัวได้แปรเปลี่ยนเป็นพายุร้ายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ต้องการลากเอาดวงดาวและทางช้างเผือกที่อยู่บนฟากฟ้าลงมาดื้อๆ
“จะทำลายอาณาบริเวณนับล้านลี้หรืออย่างไรกัน?” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน และกษัตราเจ้าสำนักที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับบังเกิดความคิดที่จะหลบหนีไปจากที่ตรงนี้ เนื่องจากพลังลักษณะเช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“แค่จิตที่ยึดติดของเทพตัวน้อยๆ เท่านั้น ถึงกับหาญกล้าต่อต้านปณิธานของข้า!” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงหัวเราะนิดหนึ่ง เพ่งรวมสายตา พลังความคิดได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกมากมาย
“ตูม” เสียงดังสนั่น พลังที่พาลและปราศจากผู้ต่อกรพลันอาละวาดขึ้นมา เหมือนหนึ่งผู้บงการสูงสุดลงมือด้วยตนเองอย่างนั้น
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้นมา หมัดไร้รูปได้อาศัยท่วงท่าที่ปราศจากผู้ต่อกรทุบเข้าให้อย่างแรง โดยการทุบเข้าไปบริเวณใบหน้าของร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียม ได้ยินเพียงเสียงดัง “ตุบ” จากหมัดที่ซัดลงไปนั้น ทำให้ใบหน้านั้นแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี!
“ปัง ปัง ปัง…” ขณะที่ร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียมคิดจะต่อสู้ขัดขืนนั้น หมัดไร้รูปขนาดใหญ่ได้ซัดลงไปอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายดั่งเป็นพายุฝนฟ้าคะนองอย่างนั้น จนร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียมไม่สามารถต่อสู้ขัดขืนได้เลย ต่อให้เจ้าของร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียมยังคงมีชีวิตอยู่บนโลก และมีจิตยึดติดสูงสุดก็ตาม แต่ว่า ภายใต้ปณิธานที่เด็ดขาดของหลี่ชิเย่ มันได้แต่เป็นผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว
“ปัง…” สุดท้าย เสียงดังสนั่นได้ดังขึ้นมา จากนั้นได้ยินเสียงแตกละเอียดดังตามมา เห็นร่างเงาที่สูงใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียมค่อยๆ แตกทีละส่วนๆ กระทั่งหมดทั้งร่าง จากนั้นกลับกลายเป็นแสงแวบหนึ่งหายไปพร้อมกับสายลม
ท่ามกลางนภาที่พราวพร่างด้วยดวงดาวซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปนับหนึ่งล้านล้านลี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ระหว่างเข้าฌานอยู่พลันลุกพรวดพราดขึ้นมา สีหน้าแปรเปลี่ยนไป ท่าทีเย็นยะเยือก ด้วยท่าทีที่ดูไม่เหมาะสม ร้องกล่าวว่า “เหาเอ๋อร์ (ลูกเหา)…”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ก็คือจอมเทพหนานหยาง บรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง ปู่ของหลี่เทียนเหานั่นเอง
จอมเทพหนานหยางในฐานะจอมเทพได้เคยเห็นหน้าหลานของตนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาก็รักผู้เป็นหลานของเขามาก มอบยันต์ป้องกันตัวเอาไว้ให้ เวลานี้ ยันต์ดังกล่าวแตกละเอียด จิตที่ยึดติดถูกทำลาย จอมเทพหนานหยางรู้แล้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้ว
ในเวลานี้ จอมเทพหนานหยางมีสีหน้าที่ดูไม่จืดเลย ในฐานะที่เขาเป็นจอมเทพ จิตที่ยึดติดถูกทำลาย กล่าวสำหรับจอมเทพที่ยังคงมีชีวิตอย่างเขานั้นถือเป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง เป็นการทำลายปณิธานของเขาโดยศัตรูผู้แข็งแกร่ง เป็นการท้าสู้เขาอย่างเปิดเผย โดยไม่มองเขาอยู่ในสายตาเลย
บนยอดเขาชมเทพ หลี่ชิเย่เพียงมองดูหลี่เทียนเหาด้วยท่าทีเฉยเมย และกล่าวว่า “คนที่ข้าต้องการฆ่า อย่าว่าแต่จอมเทพเลย ต่อให้เป็นจอมราชันหรือเซียนหวังก็คุ้มครองไม่ได้”
“ปุ…” หลี่เทียนเหาที่รู้สึกสิ้นหวังยังไม่ทันได้ร้องน่าเวทนาออกมา ก็ถูกมือยักษ์ที่ไร้รูปบีบจนกลายเป็นหมอกเลือดไป
แม้แต่ปณิธานระดับจอมเทพก็ทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ สำหรับตัวละครอย่างหลี่เทียนเหาเมื่อต้องอยู่ภายใต้ปณิธานของหลี่ชิเย่แล้ว เป็นไม่ได้กระทั่งมดปลวก
ในเวลานี้ บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวจนพูดอะไรไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือจะเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น และหรือเจ้าสำนักล้วนแล้วแต่ถูกสะเทือนหวั่นไหวจนบีบหัวใจยิ่งนัก กระทั่งผู้คนจำนวนมากที่ขาทั้งสองข้างสั่นเทาไม่หยุด แม้แต่ยืนยังไม่มั่นคง เกือบจะต้องคุกเขาลงกับพื้นแล้ว
นี่คือปณิธานของจอมเทพนะเนี่ย กลับถูกทุบจนแหลกละเอียดเป็นๆ โดยที่ปณิธานของจอมเทพจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นความไร้ซึ่งพลัง และน่าผิดหวังของปณิธานจอมเทพ
มองดูปณิธานจอมเทพถูกคนเขากดเอาไว้กับพื้นแล้วซัดจนแหลกละเอียดไป ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน ความรู้สึกที่ผิดหวัง ความปราศจากพลังลักษณะเช่นนี้ ได้กระทบกระเทือนต่อจิตใจของทุกๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างแรง เกรงว่าชั่วชีวิตของพวกเขาคงไม่อาจลืมเลือนภาพนี้ไปได้
แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินเองก็พลันมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมา นางมีทักษะยุทธเหนือกว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เมื่อนางได้เห็นภาพนี้แล้ว นางรู้ได้ทันทีว่ามันบ่งบอกถึงสิ่งใด โดยเฉพาะเมื่อครู่จังหวะที่หลี่ชิเย่จ้องมองมานั้น สายตานั้นกล่าวสำหรับนางแล้วนับว่าสร้างความหวั่นไหวได้มากเหลือเกิน นี่เป็นสายตาที่สูงสุดปราศจากผู้เทียบเทียม สายตาลักษณะเช่นนี้สามารถบงการทุกสิ่งทุกอย่างในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินได้
สำหรับพวกเถี่ยซู่องที่เป็นศิษย์อาจารย์ทั้งสี่ พวกเขาถูกทำให้หวั่นไหวจนอ้าปากค้างไม่สามารถได้สติกลับคืนมาเป็นนาน มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นถึงความพาลและอวดดีของหลี่ชิเย่ แต่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นถึงความดุดันของหลี่ชิเย่ จัดการซัดปณิธานจอมเทพเป็นๆ จนตายคามือ มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไรอย่างนั้น เป็นเรื่องที่ดุดันอะไรเช่นนั้น
ลองนึกดู หากหลี่ชิเย่ต้องการทำลายสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขา มันเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก เมื่อเถี่ยซู่องนึกมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับเหงื่อเย็นไหลออกมา เขาและสำนักต้นไม้เหล็กของเขาเคยตกอยู่เสี้ยวหนึ่งระหว่างความเป็นความตายมาก่อน
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก บรรดากษัตราเจ้าสำนักจำนวนมากได้สติคืนกลับมาแล้ว บางคนถึงกับพูดขึ้นมาแผ่วเบาว่า “นี่ นี่ นี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่? เบื้องหลังของเขามีจอมเทพคอยคุ้มครองเข้าอยู่รึ?”
ภายในใจของพวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากกับหลี่ชิเย่ตรงหน้าที่ดูแสนจะธรรมดาผู้นี้ พวกเขามองว่าหลี่ชิเย่จะต้องมีประวัติความเป็นมาที่น่ากลัวยิ่งแน่นอน และเบื้องหลังของเขามีผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมคอยคุ้มครองเขาอยู่
เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่กระทั่งไม่ได้กระดิกนิ้วเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งด้านทักษะยุทธของเขามองดูแล้วก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ได้มีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้น ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเมื่อครู่นี้มีผู้ที่แข็งแกร่งมากลงมือทำลายจิตที่ยึดติดของจอมเทพ
เกรงว่าจะต้องเป็นจอมเทพคนใดคนหนึ่งมาที่นี่ด้วยตนเอง จึงสามารถทำลายจิตที่ยึดติดของจอมเทพได้ ลองนึกภาพดู การที่มีระดับจอมเทพคอยให้การคุ้มครอง ฐานะเช่นนี้จะต้องสูงส่งเพียงใด ต้องมีชาติกำเนิดจากสายสำนักราชันเซียนอย่างแน่นอน
แต่ได้สร้างความฉงนให้กับผู้คนมากมาย เพราะอะไรผู้ที่มีชาติกำเนิดสูงส่งเช่นนี้ถึงได้มีทักษะยุทธอ่อนด้อยขนาดนี้ หรือว่าพรสวรรค์ของเขานั้นแย่มาก?
ในบรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มีเพียงธิดาราชันฉีหลินที่เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงเท่านั้น ที่มองออกถึงเส้นสนกลในอะไรบางอย่าง นางเข้าใจว่าเบื้องหลังของหลี่ชิเย่หามีผู้คอยให้การคุ้มครองแก่หลี่ชิเย่ไม่ แม้ว่าหลี่ชิเย่จะไม่ได้ลงมือ แต่เขาอาศัยจิตที่เด็ดขาดมากทำการสังหารจิตที่ยึดติดของจอมเทพนั้น
มันช่างเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่น่ากลัวเพียงใด เมื่อสามารถอาศัยจิตมาสังหารจิตที่ยึดติดของจอมเทพได้ เกรงว่าผู้ที่สามารถครอบครองจิตในลักษณะนี้ได้คงมีเพียงจอมราชันและเซียนหวังเท่านั้นกระมัง
เวลานี้ หลี่ชิเย่จึงค่อยๆ หันหัวกลับมาอย่างช้าๆ มองดูธิดาราชันฉีหลินทีหนึ่ง หลังจากที่สังหารเสิ่นจินหลงและหลี่เทียนเหาแล้ว และเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
ขณะที่หลี่ชิเย่เอ่ยถามเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกของเสิ่นเสี่ยวซันเท่านั้น แม้แต่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน กษัตราเจ้าสำนัก พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดทีหนึ่ง ธิดาราชันของพวกเขามีฐานะที่สูงส่งยิ่งนัก แต่ หลี่ชิเย่กลับหยิ่งยโสถึงเพียงนี้ ถึงกับทำตัวอยู่เหนือ ช่างพาลไร้เหตุผลสิ้นดี
“”ข้าน้อย ฉีหลินเมิ่งหยิง” ธิดาราชันฉีหลินทำท่าลังเลนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยนามชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเช่นใดดี ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าลึกล้ำสุดจะหยั่งถึงมากจริงๆ ทำให้ผู้คนไม่สามารถศึกษาได้อย่างละเอียด
“ทายาทรุ่นหลังของเซียนหวังฉีหลิน สายเลือดไม่เลวเลยนี่” หลี่ชิเย่ประเมินไปตามอารมณ์
การที่หลี่ชิเย่ออกปากประเมินค่าไปตามอารมณ์เช่นนี้ พลันทำให้พวกของเถี่ยซู่องและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องอึ้ง เทพธิดาราชันของพวกเขามีพรสวรรค์ที่ดีเยี่ยมยากจะหาผู้ใดเทียม ทักษะยุทธลึกล้ำยากจะหยั่งถึง เวลานี้กลับถูกหลี่ชิเย่แค่ชมด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “สายเลือดไม่เลว” คำเดียวเท่านั้น ยังไม่รู้ว่านี่เป็นการชื่นชมหรือดูแคลนกันแน่
“ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร?” ธิดาราชันฉีหลินทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกเอาไม่อยู่กับคนๆ นี้ นางไม่รู้เลยว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ เขามีประวัติความเป็นมาที่น่าตกใจหรือเป็นจอมราชันเซียนหวังองค์ใดองค์หนึ่งที่ลงมายังโลกมนุษย์ปุถุชน ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดนางก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนอยู่ดี
“ตระกูลราชันฉีหลินของเจ้าก็นับว่ามีวาสนาต่อกันกับข้า ช่างเถอะ เห็นแก่ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเจ้า ข้าจะไม่รับเจ้ามาเป็นสาวใช้แล้วหละ ให้เรียกข้าว่าคุณชายก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่กล่าวออกไปตามอารมณ์
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องอ้าปากค้าง เมื่อได้ยินหลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์เช่นนี้
นี่ นี่ นี่พูดอะไรออกมา! ผู้คนจำนวนมากไม่อาจเรียกสติคืนกลับมาจากคำๆ นี้ ธิดาราชันฉีหลินของพวกเขาดำรงอยู่ในฐานะที่สูงส่ง เป็นเพทธิดานางฟ้า แต่เมื่อออกมาจากปากของหลี่ชิเย่แล้วก็แค่มีฐานะเป็นแค่สาวใช้เท่านั้น เหมือนว่าการได้เป็นสาวใช้ของเขาถือเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งด้วยซ้ำ
นี่ นี่ นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ มันทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
เสิ่นเสี่ยวซันอ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น มอกดูทุกสิ่งด้วยความรู้สึกที่เหลือเชื่อ ในอดีตนางไม่ยอมปรนนิบัติหลี่ชิเย่เสียด้วยซ้ำ กล่าวสำหรับนางแล้วการให้นางเป็นสาวใช้ของหลี่ชิเย่มันคือการทำให้นางต้องอับอาย อย่างน้อยที่สุดนางมีความคิดเช่นนี้ในอดีต
แต่ทว่ามาวันนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับธิดาราชันฉีหลิน หลี่ชิเย่ยังคงมองนางเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสาวใช้เช่นกัน
นี่คือธิดาราชันฉีหลินเลยนะเนี่ย ในความคิดของเสิ่นเสี่ยวซัน ธิดาราชันฉีหลินคือธิดาราชันที่อยู่ในฐานะสูงส่ง สูงจนมิอาจเอื้อมถึง แต่ในสายตาของหลี่ชิเย่มองว่าเป็นอะไรที่ธรรมดาจนไม่รู้ว่าจะธรรมดาอย่างไรเท่านั้น เรื่อง เรื่อง เรื่องเช่นนี้ทำเอาเสิ่นเสี่ยวซันถึงกับต้องงงงัน
นาทีนี้เสิ่นเสี่ยวซันจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงที่หลี่ชิเย่เคยพูดเอาไว้ ก่อนหน้านั้นหลี่ชิเย่เคยพูดว่า การที่นางได้มาปรนนิบัติเขานั้นถือเป็นเกียรติยศของนาง ซึ่งตอนนั้นนางไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น
กระทั่งถึงวันนี้ นางจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า สามารถรั้งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่และคอยปรนนิบัติเป็นเกียรติยศจริงๆ วาสนาเช่นนี้ โชคเช่นนี้คนอื่นอยากได้ยังไม่สามารถได้มา นาทีนี้ เสิ่นเสี่ยวซัน จึงเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่า ตนเองนั้นช่างโชคดีเพียงใด มันคือการคุ้มครองของบรรพบุรุษโดยแท้
คำพูดที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง ใช่ว่าธิดาราชันฉีหลินเป็นผู้มองว่าตนเองสูงส่งยิ่งนัก จะอย่างไรเสียนางก็คือผู้ที่ต้องสืบทอดต่อไปของตระกูลราชันฉีหลิน ในโลกนี้จะมีใครสักกี่คนที่หาญกล้าพูดจากโอหังอวดดีว่าจะรับนางไว้เป็นสาวใช้เล่า?