ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1804 ศพเทพกำแหง
ตอนที่ 1804 ศพเทพกำแหง
ณ บริเวณส่วนลึกของแดนอาถรรพ์เทพกำแหง มีหมอกควันสีดำดั่งน้ำหมึก การได้มายืนอยู่ที่ตรงนี้ รู้สึกเหมือนว่าตนเองนั้นอยู่ในบึงน้ำหมึกอย่างนั้น มีแต่หมอกควันสีดำหนาทึบไม่อาจทำให้เจือจางได้อยู่ทุกที่
ที่ตรงนี้พื้นดินแยกแตกร้าว บนท้องฟ้ายังมีดวงดาวดวงหนึ่งที่ถูกทำลายห้อยอยู่บนนั้น ดวงดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่โตเพียงพอที่จะบดบังไปครึ่งท้องฟ้า
บนพื้นแผ่นดินมีบึงน้ำแห่งหนึ่ง บึงน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยน้ำเลือดสีดำที่เหนียวหนึบ ในขณะนี้ ใต้พื้นดินยังคงมีน้ำเลือดสีดำที่ผุดขึ้นมาปุดๆ เหมือนว่าใต้พื้นดินมีน้ำเลือดสีดำที่ไม่มีสิ้นสุดต้องการผุดขึ้นมาอย่างนั้น
บริเวณกลางบึงปรากฏศพขนาดยักษ์ครึ่งจมครึ่งลอยอยู่ ศพๆ นี้ดูไปแล้วคล้ายดั่งเป็นภูเขาขนาดเล็กลูกหนึ่ง อีกทั้งศพได้กลับกลายเป็นหินไปแล้ว ถ้าหากไม่เป็นเพราะยังคงมองเห็นเค้าโครงของศพนี้ได้อย่างชัดเจน ยังเข้าใจว่าเป็นภูเขาขนาดเล็กจริงๆ นะเนี่ย
เซิ่นเหล่าลิ่วเวลานี้ร้องเสียงดังออกมากึ่งลากกึ่งดึงเอาศพขนาดยักษ์นั้นเข้ามาอยู่ริมบึง ครั้นเขาได้จัดการลากเอาศพขึ้นมาอยู่ริมบึงได้แล้ว เรียกได้ว่าเหนื่อยจนเขาต้องนั่งหายใจหอบแฮ่กๆ
อาศัยกำลังความสามารถของเซิ่นเหล่าลิ่วนั้น สามารถเคลื่อนภูเขาย้ายทะเลได้อย่างแน่นอน แต่การเคลื่อนย้ายศพที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่งศพนี้กลับทำให้เขาต้องรู้สึกกินแรงยิ่งนัก
อย่าได้ดูถูกศพที่คล้ายดั่งภูเขาขนาดเล็กศพนี้ มันคือศพของเทพกำแหง ขณะที่เทพกำแหงยังมีชีวิตอยู่เขาคือจอมเทพที่ได้ครอบครองตราสัญลักษณ์สิบสองดวง ห่างจากการเป็นเทพโบราณเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ลองคิดดู ศพของผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้จะมีน้ำหนักที่น่ากลัวเพียงใด น้ำหนักขณะมีชีวิตอยู่ของเขาถึงขนาดหนักเท่ากับท้องฟ้า
แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตมานานมากแล้ว แต่น้ำหนักตัวยังคงน่ากลัวยิ่งนัก
“ในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจข้ามากมายไปขุดเอาเจ้าออกมาจากใต้พื้นดิน” หลี่ชิเย่พยักหน้ากล่าวขึ้นหลังจากได้เห็นศพของเทพกำแหงศพนี้ถูกลากขึ้นมาอยู่บนฝั่ง
“เฮ่อ เหนื่อยเหลือเกิน” ในเวลานี้ ตัวของเซิ่นเหล่าลิ่วเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งตัว นั่งหายใจกระหอบกระหืดอยู่ตรงนั้น
หลี่ชิเย่เหลือบมองเขาทีหนึ่ง และกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ถ้าหากเจ้าอาศัยร่างที่แท้จริง ต่อให้เป็นทางช้างเผือกเจ้าก็ลากมันลงมาทั้งสายได้ กับแค่ลากศพๆ หนึ่งจะมีอะไรยากเย็น”
“แหะ แหะ แหะ ท่านบรรพบุรุษ ท่านก็อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย” เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความผะอืดผะอม และกล่าวว่า “ถ้าหากให้อาจารย์พวกเขารู้ว่าข้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องหักขาทั้งสองของข้าแน่นอน”
เซิ่นเหล่าลิ่วนั้นลักลอบหนีออกมาจากสำนัก และหนีมามั่วสุมอยู่ที่เมืองฉีหลินด้วยการอำพรางร่างแท้จริงเอาไว้ เพื่ออาศัยวิธีนี้หลบเลี่ยงการตามล่าของทางสำนัก
ถ้าหากเวลานี้เขาเผยร่างแท้จริงออกมา เปิดเผยพลังที่แท้จริงของตน ช้าเร็วก็ต้องถูกผู้อาวุโสของสำนักสืบจนรู้ความ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วมีหวังถูกอาจารย์ของเขาหักขาทั้งสองข้างแล้วคุมตัวกลับไปที่สำนักอย่างแน่นอน
“จะช้าหรือเร็วเจ้าก็ต้องถูกหักขาสองข้างแล้วถูกคุมตัวกลับไปอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวคำๆ นี้ออกมาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่สร้างความผะอืดผะอมให้กับเซิ่นเหล่าลิ่วยิ่งนัก ถึงกับหัวเราะแห้งๆ และรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมา เขาย่อมรู้ดีว่าช้าหรือเร็วสักวันหนึ่งก็ต้องถูกจับตัวกลับไปอยู่แล้ว แต่ว่า กล่าวสำหรับเขาในเวลานี้ หลบไปได้วันหนึ่งก็รอดไปได้หนึ่งวัน
ในขณะนี้ เซิ่นเหล่าลิ่วได้จัดการทำความสะอาดคราบเลือดสีดำบนศพของเทพกำแหงจนสะอาดแล้ว ในเวลานี้นี้เอง เทพกำแหงจึงได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ร่างกายของเทพกำแหงนั้นใหญ่โตมโหฬารมาก หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว แม้ว่าเขาได้ตายไปนานมากแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกผู้คนด้วยท่าทีที่ไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ทำให้ผู้คนไม่กล้าลบหลู่
บริเวณกลางหน้าผากของเทพกำแหงมีสัญลักษณ์เป็นคทาอำนาจ แม้ว่าเทพกำแหงจะเสียชีวิตมานานมากแล้ว แต่ทว่า สัญลักษณ์คทาอำนาจนี้ยังคงส่งประกายสีทองแวววับออกมา เหมือนว่ามันถูกสร้างขึ้นจากทองคำอย่างนั้น
เทพกำแหงมีชาติกำเนิดเป็นเผ่าเทพ ดังนั้น เขาจึงมีสัญลักษณ์เฉพาะที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองของเผ่าเทพ อีกทั้งเขายังเป็นระดับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง คทาอำนาจเผ่าเทพของเขานับว่าก้าวไปถึงขั้นสูงส่งที่สุดแล้ว ดังนั้น แม้กาลเวลาเนิ่นนานผ่านไปก็ยังคงไม่สามารถทำลายสัญลักษณ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวนี้ไปได้
“นี่คือศพระดับจอมเทพที่มีตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงนะเนี่ย ถ้าหากจิตวิญญาณยังคงอยู่ล่ะก็ ช่างล้ำค่าอะไรอย่างนั้น มันคือของวิเศษที่ไม่อาจประเมินราคาได้ชิ้นหนึ่งเลยนะ” เซิ่นเหล่าลิ่วพูดออกมาจากใจว่า “ถ้าหากจิตวิญญาณยังคงอยู่ล่ะก็ ลำพังแค่คทาอำนาจนี้ก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์สูงสุดชิ้นหนึ่ง สามารถสยบเหล่าสวรรค์เทพมารได้!”
จอมเทพองค์หนึ่งที่มีดวงตราสัญลักษณ์ สิบเอ็ดดวง นับเป็นผู้ดำรงอยู่ในระดับแข็งแกร่งเพียงใด ตามตำนานเล่าว่า เทพโบราณองค์แรกของสิบสามทวีปก็คือเทพโบราณหวูเจอ เขาเคยเอาชนะราชันสวรรค์ยิวเทียน และเคยท้าสู้กับราชันสวรรค์หุ้นหยวนมาก่อน
สำหรับราชันสวรรค์หุ้นหยวนนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาคือจอมราชันที่มีสิบสองชะตาฟ้าอยู่ในครอบครอง และเป็นผู้ริเริ่มให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปราม ในครั้งที่สองขึ้นมา ความแข็งแกร่งของเขาไม่ต้องไปพูดถึงให้มากความ
สำหรับราชันสวรรค์ยิวเทียนก็นับเป็นผู้ดำรงอยู่นฐานะที่น่ากลัวยิ่ง เขาคือจอมราชันคนแรกที่มีสิบเอ็ดชะตาฟ้า หลังจากที่ราชันเทพชิงมู่ได้ก่อตั้งยุคสมัยของจอมราชันขึ้นมา แม้แต่ราชันสวรรค์หุ้นหยวนในขณะที่อยู่ในวัยหนุ่มก็เคยได้รับการดูแลจากเขามาก่อน
ทว่า ด้วยจอมชันที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วกลับต้องพ่ายแพ้ให้กับเทพโบราณหวูเจอ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถจินตนาการได้เลยว่าตัวของเทพโบราณมความน่ากลัวเช่นใด
แน่นอนที่สุด มีผู้กล่าวว่าเทพโบราณหวูเจอคือเทพโบราณที่แข็งแกร่งและปราศจากผู้ต่อกรที่สุดนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การที่เทพกำแหงมีสิบเอ็ดตราสัญลักษณ์ในครอบครองย่อมเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา
ด้วยความเป็นจอมเทพระดับเช่นนี้แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว ถ้าหากศพของเขายังคงรักษาจิตวิญญาณเอาไว้ได้ล่ะก็ ศพลักษณะเช่นนี้จะมีความล้ำค่าเพียงใด เหมือนดั่งที่เซิ่นเหล่าลิ่วได้พูดเอาไว้ว่าเป็นสมบัติวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้
“ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนก็ใช่ว่าจะไปยุ่งกับเขาได้ง่ายๆ” หลี่ชิเย่ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “แม้ว่าราชันเซียนตี้อิเจี้ยนจะอาศัยระยะทางที่ห่างไกลนับหนึ่งล้านล้านลี้ แต่ทว่า ใช่ว่าราชันเซียนตี้อิเจี้ยนสามารถอาศัยเกาทัณฑ์เพียงดอกเดียวก็สามารถสังหารเทพกำแหงได้ตามอารมณ์เช่นนั้น เกาทัณฑ์ดอกนั้นคือเกาทัณฑ์ดอกที่สุดยอดที่สุดของเขา ในเกาทัณฑ์ดอกนี้ประกอบด้วยพลังชั่วชีวิตของราชันเซียนตี้อิเจี้ยน ความหมายเคล็ดวิชาเกาทัณฑ์ที่ลึกซึ้งที่สุดของเขาก็อยู่ในเกาทัณฑ์ดอกนี้ มิฉะนั้นล่ะก็เขาคงไม่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ทันทีหลังจากที่เขาได้ยิงเกาทัณฑ์ดอกนี้ไปแล้ว…”
“…ภายใต้เกาทัณฑ์ดอกนี้ เทพกำแหงไม่ได้กลับกลายเป็นเถ้าธุลีไปก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ยังสามารถคงศพเอาไว้ได้ เป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว สำหรับจิตวิญญาณของเขานั้น ได้ถูกทำลายไปภายใต้เกาทัณฑ์ดอกนี้ไปแล้ว ส่วนจิตวิญญาณที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มากนั้น ได้ถูกทำลายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวนานไปแล้ว”
ครั้นนั้น เทพกำแหงและราชันเซียนตี้อิเจี้ยนอาจกล่าวได้ว่าเป็นการตัดสินแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียว ตัดสินความเป็นความตายด้วยกระบวนท่าเดียว! ภายใต้เกาทัณฑ์ดอกเดียวได้ทำให้ผู้คนในสิบสามทวีปจำนวนเท่าไรต้องตระหนกตกใจ เทพกำแหงไม่สามารถหนีความตายไปได้ ท้ายที่สุดเขารักษาศพที่สมบูรณ์เอาไว้ได้ จุดนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขามีความแข็งแกร่งมากจนผู้คนต้องหวาดกลัวแล้ว
“เวลานี้จะเขาไปได้อย่างไร?” เวลานี้เซิ่นเหล่าลิ่วได้แต่มองไปที่หลี่ชิเย่และกล่าวว่า “ถ้าหากจะให้ข้าน้อยไปทำลายโลกภายในของเทพกำแหงล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาถึงสิบปีกระมัง”
หลี่ชิเย่มองดูศพของเทพกำแหง จากนั้นยื่นมือออกไปทาบลงไปบนคทาอำนาจที่อยู่บนหน้าผากชิ้นนั้น นาทีนี้ฝ่ามือของเขาปรากฏพลังขมุกขมัวล้อมรอบไม่มีจืดจาง
“แว้งค์” เสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นไม่นานคทาอำนาจที่อยู่บนหน้าผากของเทพกำแหงชิ้นนั้นกลับเปล่งเป็นประกายเซียนออกมา คทาอำนาจที่เดิมทีเหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำดูจะส่งประกายละลานตายิ่งขึ้นอีก เหมือนว่ามีชีวิตขึ้นมาโดยพลันอย่างนั้น
“ตามมา” หลี่ชิเย่สั่งการออกไป จากนั้น ได้ยินเสียง “คร๊ากก” หน้าผากที่มีขนาดใหญ่ของเทพกำแหงพลันเปิดออก บริเวณนั้นปรากฏรอยร้าวปริออก แลดูคล้ายเป็นหุบเขาแคบๆ อย่างนั้น ร่างของหลี่ชิเย่พลันหายเข้าไปในรอยปริแยกนั้นทันที
เมื่อเซิ่นเหล่าลิ่วเห็นหลี่ชิเย่หายเข้าไปในนั้น เขาจึงไม่มีอะไรต้องไปกังวลและติดตามหายเข้าไปในนั้น เข้าไปยังโลกที่อยู่ภายใน
ครั้นเข้าไปอยู่โลกภายในของเทพกำแหงแล้ว เห็นเพียงโลกที่อยู่ในความมืด ที่ตรงนี้ปราศจากความมีชีวิตชีวาใดๆ เป็นเพียงที่ที่เงียบสงัด เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะเห็นท้องฟ้าที่ดำมืดปราศจากประกายจากดวงดาวใดๆ กระทั่งเรียกได้ว่าที่ตรงนี้ปราศจากแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อยืนอยู่บนโลกใบนี้ทอดสายตามองออกไป จะเห็นตำหนักขนาดใหญ่สิบสองตำหนักตั้งอยู่ตรงหน้า ตำหนักทั้งสิบสองแห่งตรงหน้ามีขนาดใหญ่และสูงเสียดฟ้า ทำให้รู้สึกถึงไม่สามารถปีนขึ้นไปได้อย่างนั้น
เพียงแต่ ตำหนักขนาดใหญ่ทั้งสิบสองแห่งล้วนแล้วแต่ดูสลัวปราศจากประกาย ตำหนักทุกตำหนักล้วนแล้วแต่ดูเก่าแก่ลายพร้อย กระทั่งบางตำหนักปรากฏรอยร้าวเป็นริ้วๆ เหมือนว่าตำหนักแต่ละตำหนักนี้พร้อมจะพังถล่มลงมาได้ทุกเวลาอย่างนั้น
“สิบสองลัคนานะเนี่ย สิบสองลัคนาที่มีสิบเอ็ดตราสัญลักษณ์ แม้ว่าตัวตายตราสัญลักษณ์ถูกทำลาย แต่สิบสองลัคนายังคงอยู่ ช่างเป็นอะไรที่แข็งแกร่งขนาดนั้น” เซิ่นเหล่าลิ่วกล่าวด้วยความรู้สึกหวั่นไหว มองดูตำหนักทั้งสิบสองที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ตำหนักทั้งสิบสองตำหนักที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือลัคนาทั้งสิบสองของเทพกำแหง ครั้งนั้นเขาถูกสังหารด้วยเกาทัณฑ์ของราชันเซียนตี้อิเจี้ยน ตัวตายสัจธรรมสูญสิ้น ดวงตราสัญลักษณ์ทีเขาได้สืบทอดมาทั้งสิบเอ็ดดวงก็กลับกลายเป็นเถ้าธุลีไป
แต่ว่า ภายใต้พลังการทำลายที่รุนแรงถึงเพียงนี้ สิบสองลัคนาของเขายังคงอยู่มาได้ ย่อมสามารถประเมินได้ว่าสิบสองลัคนานี้ของเขามีความแข็งแกร่งเพียงใดแล้ว
“จะอย่างไรเสียก็คือสิ่งที่ได้ผ่านการต่อสู้และทดสอบมาอย่างโชกโชน กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้วในบางแง่มุมแล้วลัคนาหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง หากไร้ซึ่งลัคนาก็เท่ากับสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “แม้ว่าราชันเซียนตี้อิเจี้ยนไม่ได้ทำลายลัคนาทั้งสิบสองของเทพกำแหงภายใต้หนึ่งเกาทัณฑ์ แต่ทว่า สิบสองลัคนานี้ก็ได้กลายเป็นซากปรักหักพังเสียแล้ว”
“ถ้าหากลัคนาเช่นนี้สามารถรักษาเอาไว้อย่างสมบูรณ์คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เรียกว่าล้ำค่ามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด” เซิ่นเหล่าลิ่วกล่าวด้วยท่าทีอยากได้มาก
หลี่ชิเย่ยิ้มและส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นจอมเทพ หรือจอมราชันเซียนหวัง ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไหนเลยจะตายได้ง่ายดายปานนั้น หากว่าเป็นการตายอนาถ แน่นอนจะต้องเป็นลักษณะตัวตายสัจธรรมสูญสลาย คิดจะคงลัคนาที่สมบูรณ์เอาไว้นั้นแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“แต่ว่า ข้าเคยได้ยินเขาพูดกันว่า เคยมีจอมราชันองค์หนี่งได้ทิ้งลัคนาที่สมบูรณ์ของตนเอาไว้เพื่อคุ้มครองทายาทรุ่นหลังของตน” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับครุ่นคิดและพูดขึ้นด้วยความสงสัย
สำหรับปัญหาข้อนี้ หลี่ชิเย่นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเข้าได้พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เป็นความจริงที่เคยมีจอมราชันองค์หนึ่งได้ทิ้งลัคนาที่สมบูรณ์ของตนเอาไว้คุ้มครองทายาทรุ่นหลังของตน ในโลกนี้ไม่มีอะไรสามารถคุ้มครองให้กับทายาทรุ่นหลังของตนได้เท่ากับการเหลือทิ้งลัคนาของตนเอาไว้แล้ว แม้ว่าจอมราชันเซียนหวังสามารถให้การคุ้มครองทายาทรุ่นหลังของตนขณะมีชีวิตอยู่ แต่ว่า ขอเพียงพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์ก็ต้องปรากฏ หากตนเองยังคงรั้งอยู่กับทายาทรุ่นหลังก็จะนำมาซึ่งภัยอันตรายให้กับชนรุ่นหลัง…”
“…แต่ หากสามารถทิ้งลัคนาเอาไว้เพื่อใช้คุ้มครองทายาทรุ่นหลัง มันก็จะกลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่สำหรับทายาทรุ่นหลังปราศจากความกังวล แต่ การที่จะคงลัคนาที่สมบูรณ์ของตนเอาไว้มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากเพียงใด เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากมายเช่นใด!” ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความสลด