ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1805 มารร้ายตัวน้อย
ตอนที่ 1805 มารร้ายตัวน้อย
เซิ่นเหล่าลิ่วนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ตัวเขาเองมีชาติกำเนิดมาจากสายสำนักราชันเซียน เขาเองก็รู้เหมือนกันว่า เมื่อจอมราชันเซียนหวังต้องการคงลัคนาที่สมบูรณ์ของตนเอาไว้นั้นมันบ่งบอกถึงสิ่งใด
ถ้าหากจะกล่าวว่า การที่จอมราชันเซียนหวังต้องการคงลัคนาที่สมบูรณ์ของตนเอาไว้ มันไม่เพียงต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่ไม่สามารถประเมินได้เท่านั้น ความเจ็บปวดในนั้นหาใช่บุคคลภายนอกสามารถจินตนาการได้
ลองคิดดู การที่จอมราชันเซียนหวังยอมทุ่มเทค่าตอบแทนที่ไม่สามารถประเมินได้โดยไม่เสียดาย ยอมแบกรับความทุกข์ยากที่สุดจะจินตนาการได้เอาไว้ เพียงเพื่อคงลัคนาเอาไว้เพื่อไว้คุ้มครองทายาทรุ่นหลัง หรือบุคคลบางคน การกระทำของจอมราชันเซียนหวังเช่นนี้ ช่างเป็นความรักที่ลึกซึ้งเพียงใด
“ลองค้นหากันดูก็แล้วกัน” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้สั่งการต่อเซิ่นเหล่าลิ่ว โดยกล่าวว่า “ยกเว้นชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนั้นแล้ว สมบัติวิเศษก็ดี สิ่งล้ำค่าก็ช่าง ยกให้เจ้าทั้งหมด”
“แหะ แหะ แหะ ในเมื่อท่านบรรพบุรุษกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่เกรงใจล่ะนะ ขอบคุณท่านบรรพบุรุษที่ประทานให้” เซิ่นเหล่าลิ่วเมื่อได้สติกลับมา จึงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาทั้งสองเป็นประกาย รีบแสดงความคารวะต่อหลี่ชิเย่
ชั่วชีวิตของเทพกำแหงเรียกได้ว่าสะสมของล้ำค่าหายากมาไม่รู้เท่าใด ต่อให้ไม่นับชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่ยากจะหาใดเทียมในหล้าชุดนั้นไป ของวิเศษที่เทพกำแหงมีอยู่นั้นก็นับว่าน่าตกใจยิ่งนัก เวลานี้หลี่ชิเย่ต้องการเพียงชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนั้นชุดเดียว ที่เหลือทั้งหมดยกให้เขาจนสิ้น เป็นการทำให้เขาได้ลาภก้อนโตเลยทีเดียว
แน่นอนที่สุด หากหลี่ชิเย่จะไม่แบ่งสมบัติให้แม้แต่ชิ้นเดียว เซิ่นเหล่าลิ่วก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ขณะที่เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมอบสมบัติทั้งหมดให้กับเขา นับว่าเป็นการตบรางวัลให้กับเขาแล้ว
เซิ่นเหล่าลิ่วมองดูตำหนักที่สูงใหญ่ทั้งสิบสองตำหนักที่อยู่ตรงหน้าทีหนึ่ง ภายในใจของเซิ่นเหล่าลิ่วที่บังเกิดความพึงพอใจอย่างยิ่งกับขุมทรัพย์แต่ละหลังที่อยู่ตรงหน้า เวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากขุมทรัพย์หลังไหนดี
“เอาหลังนี้ก่อนก็แล้วกัน” สุดท้าย เซิ่นเหล่าลิ่วได้สุ่มเลือกเอาหลังหนึ่งด้วยการชี้นิ้วออกไป จึงออกเดินเข้าไปหาตั้งใจจะเริ่มจากตำหนักนี้ก่อน
“แหะ แหะ แหะ ใครบังอาจกล้าทำกำเริบเสิบสานในถิ่นของข้า” จังหวะที่เซิ่นเหล่าลิ่วกำลังเดินเข้าไปใกล้ตำหนักแห่งหนึ่งนั้น พลันปรากฎเสียงที่น่าครั่นคร้ามลงมาจากบนท้องฟ้า
“เทพกำแหง…” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับหวาดผวา เมื่อได้ยินเสียงที่น่าครั่นคร้ามเสียงนี้ พลันมีสีหน้าที่ขาวซีดขึ้นมาทันที
“ถูกต้อง เป็นข้านี่แหละ!” ในเวลานี้เสียงที่น่าครั่นคร้ามได้ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และดังก้องอยู่บนท้องฟ้า กล่าวว่า “ผ่านไปเป็นพันล้านปี ไม่นึกเลยว่ายังคงมีผู้ที่จำข้าได้ หาได้ยากนัก”
“โอ้ แม่จ๋า!” มาคราวนี้ ทำเอาเซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับมีสีหน้าที่ขาวซีดพลันหลบไปอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ท่านบรรพบุรุษ ช่วยด้วย เทพกำแหงยังตายไม่สนิท!”
เซิ่นเหล่าลิ่วพลันเหมือนดั่งเป็นเต่าหดหัวที่หดเข้าไปอยู่ในกระดองและหลบไปอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ นาทีนี้กล่าวสำหรับเขาแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็จะมอบให้หลี่ชิเย่ไปแบกรับเอาไว้แล้ว
เรื่องนี้จะไปโทษว่าเซิ่นเหล่าลิ่วรักตัวกลัวตายก็ไม่ถูก แต่เป็นเพราะชื่อเสียงของเทพกำแหงน่าตกใจเหลือเกิน เป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะผู้สยบสิบสามทวีปอยู่แล้ว
จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมราชันเซียนหวังทั่วไปแน่ จอมเทพลักษณะเช่นนี้คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสังหารเทพทำลายมารอยู่แล้ว กระทั่งมีความสามารถเพียงพอที่จะสังหารราชันเซียนทั่วไปได้
ลองนึกดู ด้วยจอมเทพลักษณะเช่นนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของตน ถ้าหากจะบอกว่าไม่หวาดกลัว ย่อมเป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน
แม้ว่าเซิ่นเหล่าลิ่วจะมีความแข็งแกร่ง แต่จะอย่างไรเสียเขาก็คือผู้เยาว์ หากต้องพบกับจอมเทพที่มีตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงล่ะก็ ต้องรีบหนี หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเป็นศัตรูกับจอมเทพมีเพียงความตายสถานเดียว เว้นแต่ว่าจะต้องเป็นระดับจอมราชันเซียนหวังขั้นสูงสุด มิฉะนั้นล่ะก็จอมราชันเซียนหวังโดยทั่วไปไม่เห็นจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
หลี่ชิเย่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีหนึ่งยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “อย่าทำเป็นหลอกเสียให้ยากเลย ถ้าหากเทพกำแหงยังคงมีชีวิตอยู่ คงไม่ปล่อยให้ร่างกายของตนเน่าเปื่อยแล้ว”
“แหะ แหะ แหะ ผู้เยาว์ เจ้าจะไปรู้อะไร” เสียงที่น่าครั่นคร้ามดังก้องไปมาอยู่บนท้องฟ้าต่อไป และกล่าวว่า “ทำลายก่อนแล้วสร้างขึ้นใหม่ ตายแล้วเกิดใหม่ ไหนเลยผู้เยาว์อย่างเจ้าสามารถบรรลุถึงได้”
“งั้นหรือ?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ถ้าหากเจ้าเป็นเทพกำแหงจริง มีฝีมืออะไรก็สำแดงออกมาให้หมด ข้าจะได้จัดการส่งวิญญาณเขาเพื่อสรรพชีวิตจำนวนหนึ่งล้านล้านที่ต้องตายไป! เพียงแค่อ้าปากก็กลืนกินสรรพชีวิตไปเป็นล้านล้าน ตายหมื่นครั้งก็ยังไม่สาสม!”
“ส่งวิญญาณ?” เสียงที่น่าครั่นคร้ามส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา และกล่าวว่า “เจ้าผู้เยาว์ ให้ข้าโปรดพวกเจ้า เห็นแก่พวกเจ้ที่โง่เขลา ข้านี่แหละจะชี้นำทางสว่างให้กับพวกเจ้า” พลันที่ขาดคำ บนท้องฟ้าได้ปรากฏประกายดาวร่วงหล่นลงมาเป็นจำนวนับไม่ถ้วน
เดิมทีโลกภายในแห่งนี้เป็นโลกที่มืดมิด เงียบสงัดวิเวก ปราศจากความมีชีวิตชีวาใดๆ ทั้งสิ้น เวลานี้ พลันปรากฏประกายดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกลงมา เสมือนหนึ่งแสงสว่างที่สาดส่องไปทั่วอย่างนั้น
“แว้งค์” พริบตาเดียวกันนั้น เสมือนหนึ่งได้เปิดโลกขึ้นมาอีกโลกหนึ่ง ในเวลานี้ตำหนักทั้งสิบสองตำหนักได้หายไป ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกของหลี่ชิเย่คือประกายดาวที่กว้างใหญ่ไพศาล ทะเลดาวหมุนวน ทางช้างเผือกที่พลุ่งพล่าน สุริยันจันทราแลดวงดาวล้อมรอบ ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลลอยล่อง…
เวลานี้พวกของหลี่ชิเย่เปรียบเสมือนอยู่ท่ามกลางโลกที่กว้างใหญ่อย่างนั้น สุริยันจันทราและดวงดาวอยู่ใกล้กับพวกเขามาก ให้ความรู้สึกเหมือนว่าตนเองนั้นสามารถควบคุมสุริยันจันทราและดวงดาวได้อย่างนั้น นาทีนี้เหมือนว่าตนเองอยู่ที่ศูนย์กลางของจักรวาลอย่างนั้น
“แว้งค์” นาทีนี้เอง ทางช้างเผือกสายหนึ่งได้กลับกลายเป็นสะพานยาว โดยทอดยาวออกไปตั้งแต่ใต้เท้าของหลี่ชิเย่ไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในจักรวาลจนไกลโพ้น ณ ที่ห่างไกลและลึกเข้าไปของจักรวาล ปรากฏกลิ่นอายเซียนที่ลอยขึ้นมา หมื่นสัจธรรมลอยล่อง สามารถมองเห็นร่างเงาของเซียนลางๆ ลึกลับยิ่งนัก พลันที่มองเห็นทำให้บุคคลผู้นั้นบังเกิดจิตใจที่ใฝ่หา
พริบตาเดียวนี้เอง บนสะพานที่แปลงมาจากทางช้างเผือกสายนั้นปรากฎร่างเงาที่สูงใหญ่ยืนอยู่ เป็นร่างเงาที่เลือนรางมาก มองแล้วไม่เหมือนจริง แต่ว่ากลับเปล่งรัศมีที่ศักดิ์สิทธิ์ออกมาเหมือนว่าตัวเขาคือทูตจากแดนสวรรค์ สามารถรับใครก็ได้เพื่อไปยังสวรรค์ได้อย่างนั้น
“คนหนุ่ม แม้ว่าเจ้าจะพูดจากไม่ละอายตัวเอง แต่การได้มาพบกับข้าที่นี่ก็คือมีวาสนาต่อกัน ให้ข้าได้นำพาเจ้าไปยังแคว้นบนแดนสวรรค์เถอะ” เวลานี้ร่างเงาที่สูงใหญ่ได้ปริปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณายิ่งนัก ยามที่เสียงของเขาดังขึ้นมานั้น สัจธรรมขานรับสอดประสาน ให้ความรู้สึกที่สุดยอดมากปราศจากผู้เทียบเทียม
“มีแคว้นลักษณะเช่นนี้จริงหรือ?” เวลานี้ เซิ่นเหล่าลิ่วที่หลบอยู่ด้านหลังหลี่ชิเย่ถึงกับโผล่หน้าออกมา จ้องมองไปที่แคว้นที่เปล่งเป็นประกายออกมาซึ่งอยู่ไกลโพ้นออกไป
“เจ้านี่เพ้อฝันให้มันน้อยๆ หน่อย” หลี่ชิเย่หนึ่งฝ่ามือซัดเข้าไปที่ท้ายทอยของเซิ่นเหล่าลิ่ว หัวเราะเยาะเย้ยและด่าว่าไปว่า “นี่เป็นเพียงการสะกดเพื่อให้หลงใหลธรรมดาๆ เท่านั้น อาศัยทักษะของเจ้าสามารถหลอกเนตรฟ้าของเจ้าได้อย่างนั้นรึ? เจ้านี่ตกใจจนเสียสติไปแล้วกระมัง”
หลังจากด่าว่าเซิ่นเหล่าลิ่วจบ หลี่ชิเย่ ยิ้มกล่าวว่า “ของเล่นแบบนี้มันก็แค่ระดับแสดงตามข้างถนนได้เท่านั้น ถึงกับกล้ามาแสดงต่อหน้าข้า” ขาดคำ ดวงตาคู่นั้นของเขาพลันส่งประกายออกมา
เสียง “ปุ ปุ ปุ…” ดังขึ้น หลี่ชิเย่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังวัตรใดๆ ภายใต้ดวงตาทีรู้จริงคู่นั้น สิ่งหลอกลวงทุกอย่างพลันแตกร้าว มายาที่สะกดจิตให้หลงใหลเช่นนี้ไหนเลยจะต้านคู่ดวงตาที่รู้แจ้งคู่นั้นของหลี่ชิเย่ได้อย่างไรกันเล่า?
ฉับพลันนั้น ดวงดาวทั้งหมด ทาช้างเผือก สะพานที่ทอดยาว ร่างเงาที่สูงใหญ่ล้วนแล้วแต่แกตสลายไปเสมือนดั่งเป็นฟองสบู่อย่างนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลานี้ ท้องฟ้าก็ยังคงมืดมิดอะไรอย่างนั้น พื้นดินยังคงเงียบสงัดวิเวกวังเวงอย่างนั้น มีสุริยันจันทราและดวงดาวที่ไหนกัน มีแคว้นในแดนเซียนที่ไหนกัน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมายาเท่านั้นเอง
“ผู้เยาว์ ถึงกับกล้าทำลายเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้ ข้าจะกลายเป็นหนอนที่สิงอยู่ในกระดูกของพวกเจ้าตลอดไป…” เสียงน่าครั่นคร้ามแสดงออกถึงความโกรธแค้นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นมายาของตนถูกทำลายโดยสายตาของหลี่ชิเย่ไปแล้ว
เสียง “ฟ่าวว” ดังขึ้น พริบตาเดียวกันนี้ ลมที่เย็นยะเยือกพลันโหมพัดขึ้นมา บนท้องฟ้าปรากฏหมอกควันสีดำดั่งหมึกที่ทิ้งตัวเหมือนถูกสาดลงมา โดยที่พวกมันเหมือนดั่งมีชีวิตพยายามจะแทรกตัวเข้าไปภายในร่างของหลี่ชิเย่และเซิ่นเหล่าลิ่ว ดุจดั่งต้องการแย่งชิงเอาร่างกายของหลี่ชิเย่และเซิ่นเหล่าลิ่วอย่างนั้น
“โอ้แม่จ๋า นี่มันอะไรกันนะเนี่ย” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับตระหนกตกใจ รีบสำแดงวิชาปิดกั้นร่างกายของตนเอาไว้ เมื่อเห็นหมอกควันสีดำเหล่านี้จะแทรกตัวเข้าไปในร่างกายของตน
“ภูตผีปีศาจกล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า!” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาทั้งสองเปล่งเป็นประกาย
“ตูม…” ในขณะนี้ ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ได้พวยพุ่งประกายที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา โดยที่ประกายทั้งสองสายไม่มีสิ้นสุดนี้เหมือนหนึ่งได้ก้าวข้ามอดีตกาล วิ่งผ่านไปมานับพันล้านปีขณะที่มันพวยพุ่งออกมา
ประกายทั้งสองสายพลันเข้าไปพันธนาการหมอกควันสีดำเอาไว้ และพุ่งชนมันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า “ตูม” จากการที่ประกายทั้งสองสายพวยพุ่งออกมาและถักทอเข้าด้วยกัน ได้ทำการควบคุมหมอกควันสีดำเอาไว้อย่างแน่นหนา และจัดการบีบอัดมันจนกลายเป็นก้อน
“ประกายแห่งกาลเวลา” เซิ่นเหล่าลิ่วจ้องมองประกายสองสายที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ด้วยความอิจฉายิ่งนัก สิ่งนี้หาใช่ระดับผู้เยาว์เช่นพวกเขาสามารถมีไว้ในครอบครอง ต้องอาศัยสังสารวัฏแห่งกาลเวลามานานนับไม่ถ้วนแล้ว จึงสามารถมีประกายแห่งกาลเวลาเช่นนี้ไว้ในครอบครอง ประกายกาลเวลาลักษณะเช่นนี้สามารถมองเห็นความจริง สามารถรู้แจ้งความลี้ลับมหัศจรรย์ สามารถไล่เรียงไปถึงต้นกำเนิด ประกายแห่งกาลเวลานี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลก เป็นสิ่งที่เกิดจากการขัดเกลามาอย่างยาวนาน
ภายใต้การพันธนาการของประกายจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ บีบบังคับให้หมอกควันสีดำต้องเผยร่างที่แท้จริงออกมา มันเป็นเพียงหมอกควันสีดำที่มีขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้นเอง โดยที่หมอกควันสีดำก้อนนี้แลดูเป็นสิ่งมีชีวิต มีเขี้ยวแหลมงอกออกมา บนหลังมีปีกที่มีหนามแหลม หน้าตาดูน่าเกลียดน่ากลัว เหมือนเป็นมารร้ายขนาดเล็กอย่างนั้น
“เจ้า เจ้า เจ้าเป็นใคร รีบปล่อยตัวข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าจะไม่อภัยให้เจ้าอย่างเด็ดขาด” หลังจากที่สิ่งมีชีวิตตัวน้อยตัวนี้ถูกหลี่ชิเย่พันธนาการเอาไว้แล้ว ยังคงร้องเอะอะโวยวายด้วยท่าทีที่ดุร้ายยิ่ง
หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “เป็นความแค้นเคืองก่อนตายของเทพกำแหง ก่อนที่เขาจะตายได้บังเกิดความแค้นเคืองที่รุนแรงมาก กลิ่นอายความแค้นเคืองที่สั่งสมอยู่ภายในร่างถึงกับมีชีวิตขึ้นมา ความห่วงกังวลของตระกูลราชันฉีหลินใช่จะไม่มีเหตุผล เมื่อกลิ่นอายความแค้นเคืองของเทพกำแหงรุนแรงมาก ในที่สุดก็ต้องบังเกิดเภทภัยในอนาคตขึ้นมาบ้าง”
“เจ้าผู้เยาว์ เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงมีสักวันข้านี่แหละจะให้เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่!” เจ้ามารร้ายตัวน้อยถูกหลี่ชิเย่พันธนาการเอาไว้จนกระดิกตัวไม่ได้อยู่แล้ว แต่ยังคงร้องเสียงดังออกมา เวลานี้มันไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับดุร้ายมากขึ้นกว่าเดิม