ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1807 จอมเทพกลับสู่โลกปัจจุบัน
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1807 จอมเทพกลับสู่โลกปัจจุบัน
ตอนที่ 1807 จอมเทพกลับสู่โลกปัจจุบัน
เสียง “ตูม…” ดังสนั่น นาทีนี้ศพของเทพกำแหงได้แตกละเอียดไปในที่สุด พลังแก่นสรรพสิ่งที่พลุ่งพล่านและรุนแรงได้พวยพุ่งออกมาจากโลกภายใน เสมือนหนึ่งน้ำหลากที่อาละวาดไปทั่วแดนอาถรรพ์เทพกำแหง พวกมันส่งเสียงอึกทึกด้วยท่าทีที่ทำลายล้างอย่างรุนแรง
แต่ว่า จังหวะที่พลังแก่นสรรพสิ่งกำลังบ้าคลั่งส่งเสียงอึกทึกอยู่นั้น กงล้อวันเวลาที่ถูกสลักเอาไว้บนแดนอาถรรพ์เทพกำแหงและบนท้องฟ้าได้มีการเคลื่อนไหวช้าๆ ทีหนึ่ง ปรากฎเส้นรุ้งเส้นแวงแต่ละเส้น และพิกัดตำแหน่งท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวแต่ละจุดได้ส่งประกายแวบวับจางๆ ออกมา
“จี๊ด จี๊ด จี๊ด…” นาทีนี้ สิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นมาแล้ว พื้นดินและท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวแต่เดิมซึ่งถูกทำลายไปนั้น เริ่มมีสภาพคล้ายดั่งเป็นฟองน้ำดูดซับพลังแก่นสรรพสิ่งที่กำลังบ้าคลั่งและส่งเสียงอึกทึกนั่น มันเปรียบประดุจทะเลทรายที่แห้งแล้งยิ่งกำลังดูดซึมเอาน้ำทะเลเข้าไปอย่างเต็มที่อย่างนั้น
ภายในระยะเวลาอันสั้น พลังแก่นสรรพสิ่งที่อาละวาดอยู่บริเวณแดนอาถรรพ์เทพกำแหงกลับถูกพื้นดิน และท้องฟ้าที่แต่เดิมถูกทำลายยับเยินดูดซับเอาไว้
ภายหลังจากที่พื้นดินและท้องฟ้าได้ดูดซับเอาพลังแก่นสรรพสิ่งทั้งหมดเอาไว้แล้ว ประกายทั้งหมดได้ค่อยๆ จางหายไป และพื้นดินและท้องฟ้าแห่งนี้ก็สลดลงอีกครั้งหนึ่ง
แรกทีเดียวยังเข้าใจว่าพื้นดินและท้องฟ้าบริเวณนี้ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่ทว่า หากจะจ้องมองดูอีกสักครั้งก็จะพบว่า เดิมทีหมอกควันสีดำที่อาละวาดอยู่ในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงนั้น ได้หายไปโดยสิ้นเชิงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้
แม้จะกล่าวว่าภายในบริเวณแดนอาถรรพ์เทพกำแหงจะยังคงเงียบสงัดวิเวกวังเวง ยังคงดูเหมือนปราศจากชีวิตชีวาเหมือนเดิม
ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ถ้าหากจะพิจารณาให้ละเอียดก็จะพบว่า ณ ที่ตรงนี้ ท้องฟ้าที่อยู่ไกลลิบเริ่มปรากฎประกายของดวงดาวที่กระพริบอยู่อ่อนๆ เหมือนว่าสักวันหนึ่งประกายของดวงดาวที่แวบวับอ่อนๆ นี้แหละจะจุดประกายให้ท้องฟ้าบริเวณนี้สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้งอย่างนั้น
แม้ว่าจะยังไม่มีภาพของต้นไม้ที่แตกกิ่งอ่อนแตกใบ แต่ว่า พื้นที่กว้างใหญ่ที่เดิมมีแต่ความแห้งแล้งกลับปรากฎหลายๆ พื้นที่เริ่มมีความชื้นขึ้นมา เริ่มมีพลังและพลังแก่นของมันขึ้นมาบ้างแล้ว คงมีสักวันที่เมล็ดพันธุ์จะปลิวมาตามลมมาและหยั่งรากลงดิน ณ ที่ตรงนี้
“กลับคืนสู่ต้นกำเนิด ย้อนสู่อดีต จอมราชันและเซียนหวังก็คงทำได้แค่นี้เอง” เซิ่นเหล่าลิ่วที่มองดูภาพนี้ด้วยความหวั่นไหวจนปราศจากสิ่งใดมาเปรียบเปรย ไม่สามารถบรรยายจิตใจในขณะนี้ได้ด้วยตัวอักษร
แม้ว่าจอมราชันและเซียนหวังก็สามารถเคลื่อนย้ายฟ้าดินได้อย่างง่ายดายเช่นกัน และสามารถทำการเปลี่ยนฟ้าแปลงดิน เคลื่อนย้ายสุริยันจันทราได้เช่นกัน
แต่ว่า วิธีการของหลี่ชิเย่ไม่ได้อาศัยพลังอำนาจของตนไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ ไม่ได้อาศัยพลังอำนาจสูงสุดไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงท้องฟ้าแห่งนี้ เขาเพียงอาศัยวิธีการย้อนกลับไปสู่ต้นกำเนิด สรรพสิ่งเดิมเป็นอย่างไรก็ให้กลับไปเป็นอย่างนั้น พลังแก่นสรรพสิ่งมาจากที่ใดก็ให้กลับไปที่เดิม สรรพสิ่งในโลกย่อมมีตำแหน่งแห่งหนเป็นของตนเอง วิธีการแบบนี้หาใช่พลังอำนาจแล้ว แต่เป็นการหวนคืนสู่ต้นกำเนิดอย่างหนึ่ง เป็นระเบียบอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ฟ้าดินมีอยู่ในครอบครองแต่เดิมอยู่แล้ว
เมื่อหลี่ชิเย่เหินฟ้าลงมา เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับเคารพเลื่อมใสทั้งกายและใจ มองดูหลี่ชิเย่ด้วยความชื่นชม พูดออกมาจากใจว่า “จิตใจของท่านบรรพบุรุษยากจะมีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้ จะมีสักกี่คนที่ยินดีอาศัยวัฏสงสารแห่งกาลเวลาไปเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ตายผืนนี้เล่า”
“กาลเวลาก็มีกฎเกณฑ์ของกาลเวลา” หลี่ชิเย่ที่มองดูพื้นที่ที่เสียหายยับเยินแห่งนี้แล้วกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ฟ้าดินย่อมมีการเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง ข้าเพียงแต่ทำให้พวกมันกลับไปสู่ต้นกำเนิดเท่านั้น โชคชะตาของฟ้าดินมอบให้เป็นหน้าที่ของฟ้าดิน ในอนาคตพื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นดินแดนสุขสันต์ หรือดินแดนทุกข์เข็ญก็เป็นเรื่องของฟ้าดินแล้ว”
เซิ่นเหล่าลิ่วได้แต่พยักหน้าเงียบๆ สิ่งนี้ได้เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของเขาไปแล้ว มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดเช่นนี้เท่านั้น จึงสามารถอาศัยมุมมองที่สุดยอดปราศจากผู้เทียบเทียมไปปฏิบัติต่อเรื่องเช่นนี้
ในระหว่างที่หลี่ชิเย่เข้าไปในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงนั้น ณ มุมหนึ่งของเขตฉีหลิน ที่ตรงนั้นมีพื้นที่สุขสันต์อยู่แห่งหนึ่ง เป็นที่ตั้งของตระกูลขุนนางโบราณตระกูลหนึ่ง
เมื่อมองดูพื้นที่สุขสันต์แห่งนี้จากระยะห่างไกล เห็นเป็นหอโบราณที่ขึ้นลงสลับกันไป มีตึกที่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ปรากฎการณ์ประหลาดทยอยปรากฏขึ้นมา เป็นตระกูลขุนนางโบราณที่มีกาลเวลายาวนาน ภายในบริเวณพื้นที่ของตระกูลขุนนางโบราณเต็มไปด้วยเห็ดหลินจือ ล้อมรอบด้วยเมฆหมอกสีม่วง
ตระกูลขุนนางโบราณแห่งนี้คือหนึ่งในตระกูลขุนนางโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตฉีหลิน…ตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เอง ภายในตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางพลันปรากฎเมฆศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นมา ประกายแต่ละสายสาดส่องจนท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่ว เสียง “ตูม” ดังสนั่น ภายในตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางพลันปรากฏกฎเกณฑ์แต่ะสายที่พุ่งขึ้นมา หลักกฎเกณฑ์แต่ละสายได้ถักทอเข้าด้วยกันกลายเป็นคำบัญชา และคำบัญชาดังกล่าวได้แผ่อำนาจสูงสุดออกมา
ยามเมื่อคำบัญชาลักษณะเช่นนี้ปรากฏ เสมือนหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาด้วยตนเอง บัญชาการไปทั่วหล้า
บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางจำนวนมากที่กำลังปฏิบัติภารกิจตามที่ต่างๆ ภายนอกสำนักพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากเมื่อมองเห็นคำบัญชาเช่นนี้ พวกเขาต่างรีบละทิ้งสิ่งที่กำลัง่ทำอยู่ ทยอยกันรีบเร่งกลับไปยังตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง
“จอมเทพแห่งตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางกลับคืนสู่โลกปัจจุบัน…” ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียวเท่านั้น ข่าวดังกล่าวเสมือนดังพายุที่โหมกระหน่ำไปทั่วเขตฉีหลิน
หากจะกล่าวสำหรับทั่วชิงโจวล่ะก็ การปรากฎตัวกลับคืนสู่โลกปัจจุบันของจอมเทพไม่นับเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าดินแต่อย่างใด แต่ กล่าวสำหรับเขตฉีหลินแล้ว นับเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวเรื่องหนึ่ง
“จอมเทพกลับคืนสู่โลกปัจจุบัน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันรึ?” ผู้คนจำนวนมากรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินข่าวๆ นี้
ผู้บำเพ็ญตนที่กระจายข่าวส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าเรื่องที่จอมเทพหนานหยางกลับออกมาจากขมุกขมัวแล้วนั่งบัญชาการอยู่ในตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางนั้นจริงแท้แน่นอน”
“จอมเทพออกจากสถานที่ขมุกขมัว กลับคืนสู่โลกปัจจุบันเป็นกรณีพิเศษ ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ เลย” ผู้คนจำนวนมากต่างแปลกใจกันว่า “ไม่เช่นนั้นล่ะก็ จอมเทพที่ปลีกตัวออกจากโลกปัจจุบันจะไม่ออกจากสถานที่ที่ขมุกขมัวง่ายดาย และกลับสู่โลกปัจจุบันเป็นกรณีพิเศษ”
จอมเทพก็เหมือนดั่งเช่นจอมราชันเซียนหวัง เมื่อพวกเขาแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์เช่นกัน แต่ว่ามีข้อแตกต่างจากจอมราชันเซียนหวังก็คือ โอกาสที่จอมเทพจะนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์จะมีโอกาสน้อยกว่ามาก ดังนั้น การกลับคืนสู่โลกปัจจุบันของจอมเทพจะมีมากกว่า
“นายน้อยหนานหยางถูกสังหาร จอมเทพหนานหยางกลับคืนสู่โลกปัจจุบันด้วยความโกรธ” มีผู้ที่ทราบข่าวได้ไวรู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว และแพร่ข่าวนี้ออกไป
หลายคนรู้สึกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ รู้สึกว่ายากจะเชื่อในเรื่องนี้ และกล่าวว่า “นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จอมเทพองค์หนึ่งมีชีวิตอยู่มานานเท่าไรแล้ว พวกเขาจะกลับสู่โลกปัจจุบันเพียงเพราะลูกหลานคนหนึ่งได้อย่างไรกันเล่า กล่าวสำหรับจอมเทพแล้ว พวกเขามีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ถ้าหากแค่ลูกหลานคนหนึ่งเสียชีวิตเขาก็ต้องกลับคืนสู่โลกปัจจุบันหละก็ มิต้องเหนื่อยแย่เลยรึ”
“เรื่องนี้ต่างกัน หลี่เทียนเหาได้รับการโปรดปรานจากจอมเทพหนานหยาง แต่ยังไม่ใช่จุดสำคัญ” เจ้าสำนักที่เคยไปยอดเขาชมเทพมาก่อนหน้าได้ส่ายหัวและกล่าวว่า “ที่สำคัญที่สุดก็คือปณิธานของจอมเทพหนานหยางถูกคนอื่นซัดเข้าหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายปณิธานของจอมเทพหนานหยางถูกผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของหลี่ชิเย่ซัดจนแหลกละเอียด…”
“…เรื่องนี้เป็นความอัปยศที่จอมเทพหนานหยางไม่สามารถกล้ำกลืนเอาไว้ได้ ถูกผู้อื่นต่อยหน้าพอว่า ท้ายสุดยังทำลายปณิธานของเขา เรื่องนี้ใช่เพียงไม่ให้หน้ากับจอมเทพหนานหยาง แต่เป็นการส่งหนังสือท้ารบต่อจอมเทพหนานหยางเลยหละ!”
“เจ้าคนโหดอันดับหนึ่งหลี่ชิเย่มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับมีผู้ที่แข็งแกร่งเพียงนี้คอยให้การคุ้มครอง เขาเป็นทายาทของใครกันแน่นะ” หลายคนต่างคาดเดากันไปเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
แน่นอนที่สุด ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่เชื่อว่าหลี่ชิเย่ที่เพิ่งเข้าสู่การเป็นผู้บำเพ็ญตนจะสามารถทำลายปณิธานของจอมเทพหนานหยางได้ ผู้คนจำนวนมากต่างคาดเดากันอย่างลับๆ ว่า เป็นไปได้ที่มีจอมเทพผู้หนึ่งคอยคุ้มกันให้กับหลี่ชิเย่อยู่เบื้องหลัง
“นี่จะเป็นการต่อสู้ชี้ขาดระหว่างจอมเทพกับจอมเทพรึ?” ถ้าหากเบื้องหลังของหลี่ชิเย่ มีจอมเทพคอยคุ้มครองอยู่จริงล่ะก็ ถึงกับมีผู้ที่เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ
ในขณะที่การกลับมาของจอมเทพหนานหยางได้สร้างความแตกตื่นให้กับแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากในเขตฉีหลินอยู่นั้น สำนักที่มีความแข็งแกร่งยิ่งอีกแห่งหนึ่งของเขตฉีหลินได้เป่าประกาศออกมา
“หลี่ชิเย่จะต้องให้คำอธิบาย!” สำนักเจอเยื่อได้ประกาศเตือนออกมาอย่างเป็นทางการว่า “ไม่ว่าจะเป็นจอมเทพองค์ใดลงมือก็ตาม ผู้สืบทอดของสำนักเจอเยื่อจะต้องไม่ตายอนาถโดยไม่ทราบสาเหตุ!”
“สำนักเจอเยื่อก็ส่งเสียงออกมาแล้ว” ผู้คนจำนวนมากในเขตฉีหลินต่างรู้สึกตกใจ หลังจากที่จอมเทพหนานหยางกลับมาแล้ว ตามติดด้วยการออกประกาศคำเตือนของสำนักเจอเยื่อ
“ไม่ นี่ไม่เพียงแค่เสียงจากสำนักเจอเยื่อเท่านั้น ยังเป็นเสียงจากจอมเทพเชียนจวินอีกด้วย” กษัตราผู้หนึ่งได้รับข่าวล่าสุดมา จึงได้กล่าวเตือนผู้ที่อยู่ข้างกายของตน
“จอมเทพเชียนจวิน เสิ่นเชียนจวิน ตามตำนานเล่าว่า เขาคือจอมเทพที่ยอดเยี่ยมมากของสำนักเจอเยื่อ นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร เขาก็กลับออกมาจากสถานที่ที่ขมุกขมัวอย่างนั้นรึ เพื่อมาบัญชาการสำนักเจอเยื่อรึ?” ผู้คนจำนวนมากไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ยินข่าวนี้
แม้แต่บรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิก็ไม่อยากจะเชื่อ และกล่าวว่า “นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว จอมเทพเชียนจวินคือจอมเทพที่เงียบมานานทั้งอายุก็มากแล้ว หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เขาไม่น่าจะกลับคืนสู่โลกปัจจุบันได้ แค่ผู้สืบทอดคนหนึ่งตายไปถึงกับกลับออกมา มันเป็นไปได้อย่างไร”
แม้จะกล่าวว่า ฐานะของเสิ่นจินหลงในสำนักเจอเยื่อจะสูงมาก ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดของสำนักเจอเยื่อก็ตาม แต่เขาก็เป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่งเท่านั้น ผู้เยาว์เฉกเช่นเสิ่นจินหลงในสำนักเจอเยื่อมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่น่าเป็นไปได้ที่จอมเทพองค์หนึ่งจะกลับคืนสู่โลกปัจจุบันเพราะผู้เยาว์ลักษณะเช่นนี้ได้
“แหะ เรื่องนี้พวกท่านไม่รู้อะไรเสียแล้วหละ” ระดับบรรพบุรุษที่มีความสำคัญหัวเราะอย่างเลศนัยว่า “เสิ่นจินหลงไม่เพียงเป็นผู้สืบทอดของสำนักเจอเยื่อเท่านั้น แหะ แหะ แหะ มีข่าวลือภายในสำนักเจอเยื่อบอกว่า เสิ่นจินหลงน่าจะเป็นลูกแท้ๆ ของจอมเทพเชียนจวิน ฐานะที่เห็นซึ่งหน้าเป็นการปกปิดอย่างหนึ่ง ส่วนที่ว่าเหตุใดสำนักเจอเยื่อไม่พูดถึงเรื่องนี้ บุคคลภายนอกไม่อาจจะรู้ได้ อาจเป็นไปได้ว่าเสิ่นเชียนจวินได้ลูกชายขณะอายุมากแล้ว และไม่สามารถเข้ากับลูกชายของตนได้เป็นอย่างดีกระมัง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่อาจจะรู้ได้”
“เสิ่นจินหลงเป็นลูกของเสิ่นเชียนจวิน? แม้แต่ระดับเจ้าสำนักยังต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เนื่องจากไม่เคยมีใครพูดถึงว่าเสิ่นจินหลงเป็นลูกของจอมเทพ และเสิ่นจินหลงเองก็ไม่เคยเปิดเผยชาติกำเนิดของตนกับบุคคลภายนอก ทุกคนรู้เพียงว่าเขาคือผู้สืบทอดของสำนักเจอเยื่อเท่านั้นเอง
“หรือบางทีเสิ่นเชียนจวินมีลูกตอนแก่จึงไม่อยากเอ่ยถึงให้มาก และหรือบางทีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอาจจะไม่ดีนัก” ผู้ยิ่งใหญ่ที่รู้เรื่องนี้พูดได้เพียงเท่านี้
สำหรับการคาดเดา และการพูดถึงเรื่องนี้ที่มากไปกว่านี้ ทุกคนต่างไม่ต้องการเอ่ยถึง จะอย่างไรเสียเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความลับของจอมเทพ เกิดไปแหย่เอาจอมเทพเชียนจวิน หรือสำนักเจอเยื่อเข้า ไม่แน่นักอาจนำมาซึ่งภัยถูกทำลายสำนักก็เป็นได้
“จอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินต่างยื่นข้อเรียกร้องไปยังตระกูลราชันฉีหลิน การสังหารศิษย์ของสำนักภายในเขตของฉีหลิน ไม่ว่าคนร้ายจะมีประวัติความเป็นมาเช่นใดก็ตาม ก็ต้องมีคำตอบ” ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว ได้มีข่าวที่มีน้ำหนักมากกว่าถูกแพร่ออกมา
“นี่เป็นการกดดันต่อตระกูลราชันฉีหลินของจอมเทพสององค์พร้อมๆ กัน เกรงว่าตระกูลราชันฉีหลินคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับเป็นการลงเรือลำเดียวกันของตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง สำนักเจอเยื่อ และตระกูลราชันฉีหลินนะเนี่ย” มีระดับเจ้าสำนักรับรู้ได้ทันทีถึงความหมายลึกๆ ของเรื่องนี้ พลันที่ได้ยินข่าวเช่นนี้