ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1809 การมาของจอมเทพ
ตอนที่ 1809 การมาของจอมเทพ
หลี่ชิเย่มองไปยังระยะที่ห่างไกลออกไป หลังจากผ่านไปชั่วครู่ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “หนทางยาวไกล เมื่อก้าวเดินถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีการตัดสินใจเลือก ส่วนจะเลือกอย่างไรนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนแล้วหละ”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ชะงักนิดหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “เพราะอะไรจอมราชันและเซียนหวังต้องก้าวเดินบนเส้นทางการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอะไรจึงมีจอมราชันเซียนหวังที่ปลีกตัวออกจากโลกปัจจุบันไม่ปรากฏตัวอีก? นี่แหละคือการเลือกของแต่ละคน สำหรับจอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนที่เลือกปลีกตัวออกจากโลกปัจจุบันนั้น พวกเขามีทางเลือกของพวกเขา และมีเหตุผลต่างๆ นานา ขณะที่จอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนที่ก้าวเดินสู่เส้นทางการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หรือว่าพวกเขามั่นใจจริงๆ ว่าจะต้องมีชีวิตรอดกลับมาขณะที่พวกเขาตัดสินใจทำเช่นนั้นอย่างนั้นรึ…”
“…ไม่ ความจริงแล้วจอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนทุกองค์พวกเขาต่างก็รู้ว่า นี่เป็นสงครามที่ไม่มีความเป็นไปได้ กระทั่งพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าเป็นการไปรนหาที่ตาย แต่ ทำไมพวกเขาจึงเลือกที่จะทำเช่นนี้หละ? เพื่อลูกหลานของตนเอง เพื่อเผ่าพันธุ์ของตนเองเพื่อสรรพชีวิตของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน และเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย และพวกเขาก็ไปเผชิญกับสิ่งที่ตนเลือกอย่างไม่สะทกสะท้าน!”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
เมื่อเซิ่นเหล่าลิ่วได้ฟังคำบอกเล่าเช่นนี้แล้วถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา เป็นความจริง เมื่อผู้บำเพ็ญตนมีความแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงยิ่งสูงยิ่งหนาว ทั้งยังต้องแบกรับอะไรมากยิ่งขึ้น
“กลับไปเถอะ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเจ้า หากพลาดจากกาลเวลาที่เหมาะแก่การฝึกที่สุดไปล่ะก็ ในอนาคตเจ้าคิดจะฝึกก็สายเกินไปเสียแล้วหละ” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “รอให้เจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว เจ้าสามารถกลับมาอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าหากเจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้วเจ้าก็ไม่สามารถท่องไปในโลกโลกีย์มนุษย์ได้อีกต่อไป”
“ข้ากลับไปตอนนี้ อาจารย์จะต้องตีจนขาข้าหักสองข้างอย่างแน่นอน” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับทำหน้าเศร้า
ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซิ่นเหล่าลิ่วหนีออกมาจากสำนัก เพียงแต่คราวนี้เป็นครั้งที่เขาหนีออกมาและอยู่นานมากที่สุด และเล่นใหญ่ที่สุด หากถูกอาจารย์จับตัวได้ล่ะก็จะต้องถูกซัดจนน่วมแน่นอน ไม่แน่นักอาจจับเขามาถลกหนังก็เป็นได้!
หลี่ชิเย่หัวเราะแล้วหยิบกระดาษและพู่กันออกมาและเขียนข้อความลงไป สุดท้ายได้พับกระดาษแผ่นนั้นอย่างช้าๆ แล้วส่งให้กับเซิ่นเหล่าลิ่ว และกล่าวว่า “เอาไปมอบให้กับบรรพบุรุษของเจ้า ข้าเคยรับปากว่าจะพูดชมเจ้ากับฉวี่กง เจ้าเอาลายมือของข้าไปต้องได้พบกับเขาแน่นอน ส่วนจะได้รับการบ่มฟักจากเขาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับชะตาของเจ้าเอง
เซิ่นเหล่าลิ่วตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ จากนั้นรับเอาจดหมายที่หลี่ชิเย่เขียนขึ้นด้วยลายมือด้วยความเคารพ
หลังจากที่รับเอาจดหมายที่เป็นลายมือของหลี่ชิเย่ เอาไว้แล้ว พลันเซิ่นเหล่าลิ่วกรอกตาทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างหน้าด้านๆ ว่า “ไม่ก็ท่านบรรพบุรุษรับข้าเป็นศิษย์แต่ในนามก็แล้วกัน ข้าน้อยขอติดตามท่านไป”
“ทำวางแผนแยบยลในใจให้มันน้อยๆ หน่อย” หลี่ชิเย่เยาะเย้ยและด่าทอพร้อมกับหนึ่งฝ่ามือที่ซัดใส่ศีรษะของเขา “หรือว่าเซียนหวังตระกูลเจ้าจะทำให้เจ้าต้องเสียหน้าอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อย่างแน่นอน ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เซิ่นเหล่าลิ่วรีบเร่งตอบปฏิเสธ
“ไปเถอะ หากมีวาสนาต้องได้พบกันอีก” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ให้กับเซิ่นเหล่าลิ่ว
เซิ่นเหล่าลิ่วเข้าใจแล้วว่าหลี่ชิเย่ได้มอบวาสนาให้กับเขาแล้ว วาสนาระหว่างกันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ เขาก้มลงกราบกับพื้น โขกศีรษะเสียงดังให้หลี่ชิเย่สามครั้ง และกล่าวว่า “ข้าน้อยหวังว่าวันหน้าสามารถได้พบเห็นท่านบรรพบุรุษอีกครั้ง”
หลี่ชิเย่รับการแสดงคารวะเต็มรูปแบบจากเซิ่นเหล่าลิ่วด้วยความสงบ พยักหน้า จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง
หลังจากที่เซิ่นเหล่าลิ่วลุกขึ้นยืนและเห็นหลี่ชิเย่ได้เข้าฌานไปแล้ว จึงคำนับอีกครั้งหนึ่งจากนั้นล่องลอยจากไป
หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ คล้ายดั่งนอนหลับไปแล้ว เวลานี้เขาได้ทำจิตให้ว่างเปล่าเพื่อบรรลุถึงความละเอียดลึกซึ้งของสัจธรรม
หลี่ชิเย่ไม่ได้ไปจากเขาชมเทพในทันที เขารั้งอยู่ที่เขาชมเทพกลืนกินเมฆหมอก ดูดซับพลังขมุกขมัว บรรลุสัจธรรม และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพินิจพิเคราะห์ถึงชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์นั่น เพื่อทำการหลอมกลั่นให้กลายเป็นของๆ ตน
ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่มีตัวอ่อนจำนวนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนี้ แทบจะเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในโลก แม้ว่าชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้จะเทียบไม่ได้กับชุดที่อยู่ในมือของเซิ่นตี้ที่มีตัวอ่อนถึงเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น แต่ว่า ชุดตัวอ่อนที่เป็นที่รับรู้และเคยมีเจ้าของนั้น ไม่มีชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดไหนสามารถเทียบได้อีกแล้ว
หลี่ชิเย่ไม่ได้คาดหวังว่าชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่มีตัวอ่อนจำนวนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนี้สามารถปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า และไม่ได้คาดหวังให้การได้มาซึ่งชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้สามารถเทียบได้กับชุดเซียนแท้จริงที่อยู่ในตำนาน
แต่ทว่า ชุดตัวอ่อนเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งพิสดารแขนงหนึ่ง โดยเฉพาะกับการที่สามารถทำการหลอมกลั่นให้สมบูรณ์แบบได้หรือไม่ สามารถทำให้ชุดตัวอ่อนของตนสำแดงพลังแฝงออกมาได้มากที่สุด เป็นเรื่องที่ทดสอบความสามารถของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนยิ่งนัก
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เฉกเช่นชุดตัวอ่อนที่มีจำนวนตัวอ่อนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเหมาะสำหรับการซ้อมมืออย่างไร้ที่ติ จะทำให้เขาสามารถเข้าใจถึงชุดตัวอ่อนได้ลึกมากขึ้นไปอีก ทำให้เขาสามารถควบคุมความลึกซึ้งพิสดารของชุดตัวอ่อนได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นกว่าเดิม
หลี่ชิเย่ซุ่มฝึกอยู่บนเขาชมเทพ โดยมีเสิ่นเสี่ยวซันคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ กล่าวสำหรับพวกของเถี่ยซู่องในเวลานี้ การที่สามารถรั้งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่คอยปรนนิบัติรับใช้ถือเป็นประทานที่ยิ่งใหญ่ เป็นเกียรติยศอันสูงส่ง ใช่จะได้มาง่ายดาย
ระหว่างที่หลี่ชิเย่ซุ่มฝึกอยู่บนเขาชมเทพอยู่นั้น ภายในเขตฉีหลินเรียกได้ว่าคึกคักขึ้นมา ดูคึกคักยิ่งนัก
ในวันนี้เอง ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์…” ปรากฎเป็นเหมือนปีกที่เป็นประกายศักดิ์สิทธิ์รุนแรงของทูตสวรรค์แผ่ออกมาจำนวนนับหมื่นนับพัน อำนาจยิ่งใหญ่ปรากฏทั่วฟ้าดิน ทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในเขตฉีหลินล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ต้องแตกตื่นด้วยอำนาจลักษณะเช่นนี้
มองเห็นเกี้ยวโบราณหลังหนึ่งถูกหามออกมาจากตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางลักษณะของเกี้ยวโบราณมีความเก่าแก่ยิ่งนัก แต่ทว่า ด้วยเกี้ยวโบราณที่เก่าแก่ยิ่งหลังนี้กลับปรากฎสุริยันจันทราและดวงดาวที่โคจรอยู่รอบๆ ล้อมรอบด้วยทางช้างเผือก เหมือนว่าภายในเกี้ยวโบราณมีการบ่มฟักฟ้าดินเอาไว้อย่างนั้น ทั้งท้องฟ้าและโลกหล้าล้วนแล้วแต่กำเนิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่อยุ่ภายในเกี้ยวโบราณหลังนี้อย่างนั้น
เมื่อเกี้ยวโบราณหลังนี้ถูกหามออกมา อำนาจศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่คล้ายดั่งน้ำในแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลและน่าเกรงขามไม่มีสิ้นสุดปกคลุมไปทั่วเขตฉีหลิน พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เสมือนดั่งคลื่นยักษ์ที่สาดซัดใส่จิตใจของทุกๆ คน
ขณะที่พลังอำนาจที่น่าเกรงขามเช่นนี้พาดผ่านฟ้าดิน ทำให้สรรพชีวิตและยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนในเขตฉีหลินถูกทำให้แตกตื่น ภายใต้พลังอำนาจเช่นนี้ ผู้ที่อ่อนด้อยถึงกับหายใจลำบาก บริเวณที่ที่เกี้ยวโบราณผ่านไป ผู้อ่อนด้อยจำนวนไม่น้อยถูกพลังอำนาจสยบจนต้องทยอยคุกเข่าลงกับพื้น
“จอมเทพหนานหยางนะเนี่ย” ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวั่นไหว มองดูเกี้ยวโบราณหลังนี้มุ่งหน้าตรงไปยังตระกูลราชันฉีหลิน แม้ว่าทุกคนไม่เคยได้พบเห็นจอมเทพหนานหยางมาก่อน แต่ก็รู้ว่าบุคคลที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยวเป็นผู้ใด มีเพียงการออกเดินทางของระดับจอมเทพเท่านั้นที่มีลักษณะที่ยิ่งใหญ่น่าตื่นตระหนกเช่นนี้
ในขณะที่จอมเทพหนานหยางออกเดินทางได้ไม่นานนัก เสียง “แว้งค์” ก็ได้ดังขึ้น ในสำนักเจอเยื่อพลันปรากฏเป็นโลกๆ หนึ่งขึ้นมา เป็นโลกที่แท้จริงโลกหนึ่งปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าของสำนักเจอเยื่อ
ที่ตรงนั้นมีฟ้าดินและสรรพสิ่ง มีสุริยันจันทราแลดวงดาว มีสัจธรรมฟ้าดินทั้งมวล ยามที่โลกลักษณะเช่นนี้ปรากฏเหนือท้องฟ้าของสำนักเจอเยื่อนั้น อำนาจสูงสุดที่น่าเกรงขามได้ตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดิน เสมือนหนึ่งสรรพสิ่งต้องหมอบคลาน ฟ้าดินอีกทั้งจักรวาลล้วนแล้วแต่อยู่ภายในโลกนั้น
เสียงเทศนาธรรมดังขึ้น ทันใดนั้น บนโลกใบนั้นได้ปรากฏร่างเงาขึ้นมา ร่างเงานี้มีความสูงหมื่นจ้าง ศีรษะของเขาจดดวงสุริยันจันทรา เท้าเหยียบดวงดารา สัจธรรมฟ้าดินเคียงข้างซ้ายขวาของเขา
บนโลกใบนี้เขาคือผู้ควบคุมจักรวาล บัญชาหมื่นสัจธรรม เขาได้กลับกลายเป็นศูนย์กลางที่สูงสุดของโลกใบนี้ ไม่เพียงควบคุมโลกทั้งโลกเอาไว้เท่านั้น ยังเป็นผู้สร้างโลกอีกด้วย เหมือนว่าเขาผู้สร้างทุกสิ่งของโลกใบนี้
“สัจธรรมดำเนินไปตามธรรมชาติ…” เสียงสวรรค์ดังก้องท่ามกลางฟ้าดิน ครั้นได้ยินเสียงสวรรค์เช่นนี้ จิตนึกคิดไร้ขอบเขต ทำให้จิตของผู้คนสั่นไหว ทำให้อดที่จะก้มกราบลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว
พริบตาเดียวที่เสียงสวรรค์นั้นดังขึ้น ร่างเงาที่สูงหมื่นจ้างซึ่งอยู่บนโลกใบนั้น ปรากฏแขนขึ้นมาทีละข้างๆ แขนทุกแขนล้วนแล้วแต่มีทางช้างเผือกเป็นร้อยเป็นพันสายที่ล้อมรอบอยู่ เหมือนว่ามันคือศูนย์กลางของจักรวาล ยามที่พันแขนของเขากางออกก็คล้ายดั่งเขาได้ยกเอาตรีสหัสโลกธาตุขึ้นมาอย่างนั้น
“จอมเทพเชียนจวิน…” ไม่รู้ว่ามีสรรพชีวิตจำนวนเท่าไรในเขตฉีหลินถึงกับร้องออกมาด้วยความหวาดผวาเมื่อได้มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า และรู้ว่าร่างเงาที่อยู่ภายในสหัสโลกธาตุนั้นคือผู้ใด
“เสิ่นเชียนจวิน! มีผู้ที่แอบร้องกล่าวชื่อนี้ออกมา จอมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเจอเยื่อ!
“กี่ปีผ่านไป ในที่สุดเสิ่นเชียนจวินก็ได้เป็นจอมเทพแล้ว” มีระดับบรรพบุรุษที่แก่หงำเหงือกยิ่งนักอดที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่สะอื้นและหดหู่ เมื่อได้เห็นร่างเงาสูงหมื่นจ้างที่อยู่ในสหัสโลกธาตุนั่น
ระดับบรรพบุรุษที่เข้าสู่ยุทธภพพร้อมๆ กันกับเสิ่นเชียนจวิน ขณะที่ล่วงเลยมาถึงวันนี้เสิ่นเชียนจวินได้กลายเป็นจอมเทพที่ปราศจากผู้ต่อกรไปแล้ว จะไม่ให้ผู้คนต้องทอดถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกเศร้าโศกได้อย่างไร
การปรากฏตัวออกมาพร้อมกันของจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินในครั้งนี้ ทุกคนต่างรับรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา โดยเฉพาะการเดินทางมุ่งหน้าสู่ตระกูลราชันฉีหลินพร้อมกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจได้ว่าจะต้องเกิดพายุฝนกระหน่ำไปทั่วเมืองฉีหลินแน่นอน
“ช่างเป็นที่สะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน จอมเทพสององค์กลับคืนสู่โลกปัจจุบันพร้อมๆ กัน ออกจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่กระมัง” ผู้ยิ่งใหญ่บางคนอดที่จะพูดขึ้นมา เมื่อเห็นจอมเทพสององค์เดินทางไปยังตระกูลราชันฉีหลินพร้อมๆ กัน
“นี่เป็นการแสดงอำนาจนะเนี่ย และเป็นการยกระดับฐานะของสำนักเจ้าลัทธิทั้งสอง” มีผู้มีสติปัญญามองออกถึงเส้นสนกลในของเรื่องนี้ และกล่าวว่า “ผู้สืบทอดของตระกลูขุนนางโบราณหนานหยาง และสำนักเจอเยื่อต่างถูกสังหาร อีกทั้งพวกเขายังเป็นทายาทรุ่นหลังของจอมเทพ ถ้าหากไม่ทวงคืนความยุติธรรมนี้ มันจะส่งผลกระทบต่อฐานะของพวกเขาในเขตฉีหลิน อีกทั้งหากเป็นการเสนอข้อเรียกร้องต่อตระกูลราชันฉีหลินโดยเจ้าสำนักของทั้งสอง เกรงว่าตระกูลราชันฉีหลินคงไม่ให้ความสนใจ มีเพียงผู้ดำรงอยู่ในระดับจอมเทพเช่นนี้ออกหน้า ทางตระกูลราชันฉีหลินจึงจะให้ความสำคัญอย่างแท้จริง”
ทั้งสำนักเจอเยื่อ และตระกลูขุนนางโบราณหนานหยางต่างได้ชื่อว่าเป็นสำนักเจ้าลัทธิสองแห่งที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตฉีหลินของตระกูลราชันฉีหลิน เวลานี้ ผู้สืบทอดของพวกเขาถูกสังหารโดยผู้ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม หากพวกเขาไม่ทวงความยุติธรรมคืนมา ย่อมเป็นการกระทบต่อฐานะในตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขาโดยแท้จริง
ครั้นจอมเทพหนานหยางเดินทางมาถึงตระกูลราชันฉีหลินนั้น ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” เห็นเป็นพรมศักดิ์สิทธิ์สีทองแต่ละสายที่ถูกปูลาดขึ้นมา บุปผาสวรรค์โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า พื้นดินปรากฏน้ำพุทองคำที่พวยพุ่งขึ้นมา เสียงภูติที่ร้องเพลงขับขาน ในเวลานี้ประกายสีทองที่กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ทั่วทั้งบริเวณตระกูลราชันฉีหลินล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปกคลุมด้วยประกายของเซียนหวัง อานุภาพราชันสูงสุดที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงละเมิดได้
แม้ว่าตระกูลราชันฉีหลินไม่ได้มีท่าทีที่สะเทือนฟ้าดิน แต่ว่า ยามที่ตระกูลราชันฉีหลินตลบอบอวลไปด้วยประกายของเซียนหวัง และอานุภาพราชันเซียนสูงสุดที่เข้าปกคลุมนั้น ก็เท่ากับเป็นการบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง และพียงพอที่จะบอกว่าตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากพอ
ภายในตระกูลราชันฉีหลินได้มีระดับผู้ยิ่งใหญ่ออกมาให้การต้อนรับการมาถึงของจอมเทพหนานหยาง
ต่อให้จอมเทพหนานหยางมาด้วยตนเอง หลังจากที่มาถึงตระกูลราชันฉีหลินแล้วก็ต้องยับยั้งชั่งใจตนเอง ด้วยการก้าวลงจากเกี้ยวแล้วเดินเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลิน
แม้ว่าระดับจอมเทพได้ชื่อว่าปราศจากผู้ต่อกร และตระกลูขุนนางโบราณหนานหยางกับสำนักเจอเยื่อก็มีความแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้ายักษ์ใหญ่อย่างตระกูลราชันฉีหลิน ต่อให้เป็นจอมเทพก็ต้องรักษาความเป็นผู้ที่สามารถยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้