ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1811 ท่องเที่ยว
ตอนที่ 1811 ท่องเที่ยว
เซียนหวังเย่หลินมีสิบเอ็ดลัคนา สิบเอ็ดชะตาฟ้าในครอบครอง แม้ว่านางห่างจากจุดสูงสุดของเซียนหวังเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่ว่า กล่าวสำหรับมนุษย์ปุถุชนจำนวนมากในสิบสามทวีปแล้ว ระดับความสำเร็จสิบเอ็ดลัคนา สิบเอ็ดชะตาฟ้าในบางแง่มุมก็คือก้าวถึงระดับสุดยอดของเซียนหวังแล้ว
นับว่าเซียนหวังเย่หลินด้อยกว่านิดหนึ่งจริงๆ เมื่อเทียบกับราชันเทพชิงมู่ ราชันสวรรค์หุ้นหยวน ราชันซื่อตี้…เป็นต้น พวกเขาเหล่านี้มีสิบสองลัคนา สิบสองชะตาฟ้าที่เป็นราชันเซียนขั้นสุดยอดแล้ว
แต่ว่า เป็นที่ทราบกันว่า นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา เคยมีจอมราชันและเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าในครอบครองเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น ขณะเดียวกัน จอมราชันและเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าและมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วจอมราชันและเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าทั้งสี่จะไม่ปรากฎตัวในโลกปัจจุบันอีกแล้ว ซึ่งมนุษย์ปุถุชนจะไม่มีโอกาสได้พบเห็นพวกเขาอีก เนื่องจากจอมราชันและเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าที่ยังคงมีชีวิตอยู่เหล่านี้ พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงสวรรค์ลงทัณฑ์ได้อีกต่อไป เมื่อไรที่ร่างแท้จริงของพวกเขาปรากฎตัว โอกาสที่จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์มีอัตราสูงชนิดเรียกว่าไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อจอมราชันและเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว ในบางแง่มุมจึงอาจกล่าวได้ว่า จอมราชันและเซียนหวังที่มีสิบเอ็ดชะตาฟ้าคือจอมราชันและเซียนหวังที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถปรากฎตัวในโลกมนุษย์ปุถุชนแล้ว
ด้วยสาเหตุนี้เอง เซียนหวังเย่หลินที่มีสิบเอ็ดลัคนา สิบเอ็ดชะตาฟ้าจึงส่งผลให้ฐานะของตระกูลราชันฉีหลินในชิงโจวถูกยกระดับให้สูงขึ้นหนึ่งอันดับในทันที
เป็นที่ทราบกั้นว่า สายสำนักราชันเซียนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในชิงโจวก็คือตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ขณะที่ราชันสวรรค์จ้านหวัง ปฐมบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังก็มีเพียงสิบเอ็ดลัคนา สิบชะตาฟ้าเท่านั้นเอง
ลองนึกภาพดู เซียนหวังเย่หลินที่มีสิบเอ็ดลัคนา สิบเอ็ดชะตาฟ้านั้น นางแข็งแกร่งมากกว่าราชันสวรรค์จ้านหวังเสียอีก
ราชันสวรรค์จ้านหวังที่มีสิบเอ็ดลัคนา สิบชะตาฟ้านั้น เคยมีผลงานการสู้รบที่โด่งดังมากสยบเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน กระทั่งเคยบัญชาการทั่วหล้ามาแล้วช่วงหนึ่ง
ราชันสวรรค์จ้านหวังที่มีสิบเอ็ดลัคนา สิบชะตาฟ้ายังขนาดนี่ ย่อมจะประเมินได้ว่าฐานะของเซียนหวังเย่หลินที่มีสิบเอ็ดลัคนา สิบเอ็ดชะตาฟ้าจะเป็นเช่นใดได้แล้ว
สามารถกล่าวโดยไม่เป็นการคุยโวว่า ในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ของสิบสามทวีปนั้น เว้นแต่จอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุดสิบสองลัคนา สิบสองชะตาฟ้าแล้ว ในบรรดาราชันและเหล่าเทพแล้ว เซียนหวังเย่หลินนับว่าเป็นผู้ที่มีชื่อถูกจัดอยู่ในอันดับเหมือนกัน
ช่วงที่เซียนหวังเย่หลินปกครองตระกูลราชันฉีหลินอยู่นั้น พูดได้อย่างเต็มปากว่า ในชิงโจวไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังที่มีฐานะหนึ่งสำนักห้าราชันสวรรค์ หรือว่าหนึ่งสำนักสี่เซียนหวังอย่างพรรคซั่วเทียน หรือหนึ่งสำนักสี่ราชันอย่างหลงเฉินก็ต้องอยู่กันอย่างเจียมตัว
ในฐานะที่เป็นสายสำนักราชันเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในชิงโจวอย่างตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง พรรคซั่วเทียน และหรือหลงเฉิน พวกเขาต่างก็มีจอมราชันหรือเซียนหวังที่ยังคงมีชีวิตอยู่หลายองค์ แต่ในยุคของเซียนหวังเย่หลินหากเป็นมังกรก็ให้ขดตัวให้เรียบร้อย หากเป็นพยัคฆ์ก็หมอบกับพื้นเสียแต่โดยดี!
พูดได้เต็มปากว่า ยุคที่เซียนหวังเย่หลินเกรียงไกรไปทั่วสิบสามทวีปนั้น ยกเว้นจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด และราชันเซียนจากเก้าแดน ในหล้ายากจะมีจอมราชันเซียนหวังสามารถต่อต้านนางได้อีก
แม้ว่าเซียนหวังเย่หลินในเวลานี้จะปราศจากข่าวคราวใดๆ แต่ว่า อำนาจบารมีที่ยังคงเหลืออยู่ยังปกคลุมตระกูลราชันฉีหลินเอาไว้ เสียงของนางยังคงดังก้องอยู่ในตระกูลราชันฉีหลิน
เมื่อหลี่ชิเย่พาพวกของเสิ่นเสี่ยวซันมาถึงและมองดูตระกูลราชันฉีหลินจากระยะห่างไกล มองดูอานุภาพราชันเซียนที่ตลบอบอวลไม่มีจางหายแล้ว เขาถึงกับบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “เซียนหวังเย่หลิน…” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ
อดีตที่ยากจะหวนกลับไปมีมากมายเหลือเกิน ต่อให้หลี่ชิเย่ไม่ได้ผ่านการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งที่หก และไม่ได้ไปส่งพวกนาง แต่หลี่ชิเย่ก็ไม่ต้องการไปหวนนึกถึง การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งในใจ การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายในครั้งนี้มีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยอย่างที่สุดอยู่มากมาย การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายในครั้งนี้มีผู้ที่เขาลืมไม่ลงมากมายเหลือเกิน
“ตระกูลราชันฉีหลิน…” เฮ่อเฉินถึงกับตื่นเต้นดีใจยิ่งนักเมื่อมองเห็นตระกูลราชันฉีหลินจากระยะไกล เขาฝันอยากจะได้มีโอกาสเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินสักครั้ง แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เขาเองก็ได้แต่ฝันเท่านั้น
มาวันนี้ ตระกูลราชันฉีหลินอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เฮ่อเฉินไม่ดีใจได้หรือ?
เป็นความจริงที่ตระกูลราชันฉีหลินตั้งอยู่ในเมืองฉีหลิน แต่มันก็ฉีกตัวออกจากเมืองฉีหลิน เนื่องจากตระกูลราชันฉีหลินตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าขึ้นไป
เมืองฉีหลินกว้างขวางใหญ่โตมาก บริเวณใจกลางเมืองฉีหลินนั่นเอง มีพื้นที่ที่เป็นที่ราบได้ยกสูงขึ้นเป็นหมื่นจ้าง ทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนดั่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น
ลองนึกภาพดู พื้นที่ที่เป็นที่ราบกว้างใหญ่นับพันลี้ถูกยกตัวขึ้นทะลุเมฆา ช่างเป็นเรื่องที่อลังการและสร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนเหลือเกิน
ตระกูลราชันฉีหลินเสมือนดั่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งที่ใหญ่โตมโหฬารที่สูงทะลุเมฆาขึ้นไป อีกทั้งยังเป็นหน้าผาสูงชันที่ตัดตรง พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งตระกูลราชันฉีหลินคล้ายดั่งเป็นที่ราบที่ถูกใครเขาอาศัยสุดยอดฝีมือดึงขึ้นมาทั้งผืน แล้วอาศัยฝีมือที่ยอดเยี่ยมจัดการเฉือนด้านข้างจนเรียบเป็นแท่งตรง
ดังนั้น เมื่อมองจากระยะห่างไกล ตระกูลราชันฉีหลินก็คล้ายดั่งถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก การที่มันตั้งตระหง่านทะลุเมฆาทำให้ดูเหมือนเป็นแคว้นบนสวรรค์อย่างนั้น ทำให้ผู้พบเห็นต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง
เนื่องจากตระกูลราชันฉีหลินนั้นถูกดึงให้สูงขึ้นไปนับหมื่นจ้าง ดังนั้นหน้าผาสูงชันโดยรอบของตระกูลราชันฉีหลินจึงเป็นน้ำตกที่พุ่งลงมาเสมือนหนึ่งเป็นมังกรแท้จริง สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คน และแลดูอลังการยิ่งนัก
ถ้าหากต้องการเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลิน ไม่ก็เหาะขึ้นไป ไม่ก็ปีนขึ้นทางสะพานลอยฟ้า ซึ่งรอบๆ ที่ตั้งตระกูลราชันฉีหลินล้วนแล้วแต่มีสะพานลอยฟ้าที่ทิ้งตัวลงมา ทุกๆ สะพานลอยฟ้าต่างก็ลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่ขึ้นไปอยู่บนสะพานลอยฟ้าแล้วก้าวเดินไปเพื่อไปยังตระกูลราชันฉีหลินนั้น ทำให้ผู้คนบังเกิดเป็นมโนภาพว่ากำลังก้าวไปสู่แคว้นสวรรค์ขณะเดินอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
ด้านหน้าสะพานลอยฟ้าทุกๆ สะพานล้วนแล้วแต่มียอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินเฝ้าอยู่ เรียกว่าหากไม่ได้รับเชิญจากตระกูลราชันฉีหลินล่ะก็ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนใดๆ ก็ไม่สามารถเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหลี่ชิเย่ปรากฏตัวพร้อมกับพวกของเสิ่นเสี่ยวซันนั้น สร้างความฮือฮาขึ้นมาไม่น้อยในทันที ฐานะในวันนี้ของหลี่ชิเย่คิดจะไม่เป็นเป้าสายตาในเขตฉีหลินก็คงยาก
ภายในระยะเวลาอันสั้น สังหารรัชทายาทหงส์ฟ้า บีบหลี่เทียนเหา เสิ่นจินหลงจนตาย ทำให้ฉายาคนโหดอันดับหนึ่งโด่งดังยิ่งนัก เป็นศัตรูกับสำนักเจ้าลัทธิที่แข็งแกร่งรวดเดียวถึงสามแห่ง บุคคลเช่นนี้นับว่ามุทะลุดุดันโหดร้ายมีความโหดร้ายทารุณอย่างเหลือเฟือโดยแท้ มิน่าล่ะจึงได้เรียกตัวเองว่าคนโหดอันดับหนึ่ง
“คนโหดอันดับหนึ่งหลี่ชิเย่มาแล้ว” มีผู้ที่ร้องเสียงดังออกมาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ปรากฎตัวที่ด้านนอกตระกูลราชันฉีหลิน
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่รอบๆ ต่างจับจ้องไปที่หลี่ชิเย่ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเหมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตน
ต่อให้มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่จับจ้องมา หลี่ชิเย่ยังคงไม่สะทกสะท้านก้าวเดินด้วยความมั่นใจ พวกของเถี่ยซู่องเสียอีกที่รู้สึกขนลุกซู่ในใจ โดยเฉพาะเถี่ยซู่องเรียกได้ว่าตัวสั่นวงันงก อธิฐานภายในใจอย่างเงียบๆ ขออย่าได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา
“เขากล้ามาตระกูลราชันฉีหลินจริงๆ นะเนี่ย ทั้งตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง และสำนักเจอเยื่อต่างก็ประกาศว่าต้องการเอาชีวิตของเขา จอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินต่างมาทีตระกูลราชันฉีหลินด้วยตนเอง เขายังกล้ามาตามนัด อาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ก็อยู่เหนือกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว” แม้แต่เจ้าสำนักรุ่นอาวุโส และกษัตราที่ผ่านเหตุการณ์มานับไม่ถ้วนก็ต้องตกใจ และเลื่อมใสในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่มาที่ตระกูลราชันฉีหลินจริงๆ
หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่อื่นๆ ให้พวกเขาต้องไปเผชิญหน้ากับตระกูลราชันฉีหลิน จอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินที่เป็นระดับปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ เกรงว่าคงตกใจจนปัสสาวะอุจจะระราดไปนานแล้ว และหนีเตลิดไปนานแล้ว เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมาตามนัด นับว่าใจกล้ายากจะหาผู้ใดเทียม
“แค่ผู้ที่เข้ามาเป็นผู้บำเพ็ญตนใหม่ มีพลังขมุกขมัวแค่ไม่กี่พันลิตรเท่านั้นเอง ถึงกับกล้าเป็นศัตรูกับสำนักเจอเยื่อ และตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง กล้าเผชิญหน้ากับจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวิน ออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้วกระมัง” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เพิ่งเคยเห็นสภาพของหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรก รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แรกทีเดียวผู้ที่ได้ยินเรื่องที่คนโหดอันดับหนึ่งกล้าเป็นศัตรูกับสำนักเจอเยื่อ และตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางแล้ว พวกเขายังเข้าใจว่าเป็นสุดยอดดาวรุ่งของแคว้นเจ้าลัทธิแห่งใดแห่งหนึ่งที่เพิ่งเข้าสู่ยุทธภพ ไม่นึกเลยว่ากลับเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนตัวน้อยที่เพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรเท่านั้นเอง
พวกเขาหันไปมองดูคนที่อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ ในสายตาของพวกเขามองว่า ด้วยทักษะยุทธเช่นนี้ของพวกเถี่ยซู่องล้วนแล้วแต่เป็นประเภทไม่เข้าขั้นสำหรับแคว้นเจ้าลัทธิทั้งหลาย
บุคลลลักษณะเช่นนี้ไหนเลยกล้าทำเอะอะโวยวายต่อจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินได้เล่า ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ไม่รู้ถึงความลึกลับที่อยู่ภายในต่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
“แหะ ท่านไม่รู้อะไร แม้ว่าเขาจะมีทักษะยุทธอ่อนด้อย แต่ผู้ที่ให้การหนุนหลังอยู่น่ากลัวมาก ได้ยินมาว่าเบื้องหลังของเขามีจอมเทพคอยคุ้มครองอยู่ด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวเพราะมีคนให้ท้าย ดังนั้น เวลานี้ทักษะยุทธแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยไม่สำคัญ สำคัญที่ต้องมีชาติกำเนิดที่ดี ขอเพียงมีชาติกำเนิดที่ดีก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าหยิ่งยโสและพาลอย่างไร้เหตุผลได้” มีผู้บำเพ็ญตนที่พูดน้ำเสียงประหลาดพูดออกมาเช่นนี้ เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยความอิจฉาริษยา
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง มีจอมเทพคอยให้การคุ้มครอง เบื้องหลังไม่ธรรมดาเลยนี่” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เพิ่งเคยพบเจอหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรกจึงได้เข้าใจ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว
เมื่อหลี่ชิเย่พาพวกของเสิ่นเสี่ยวซันมาถึงสะพานลอยฟ้าที่อยู่ด้านหน้าตระกูลราชันฉีหลิน ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เฝ้าอยู่บริเวณสะพานลอยฟ้าจึงมีท่าทีที่เคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันที
เฮ่อเฉินดีใจจนใบหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นตระกูลราชันฉีหลินอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้นเอง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตระกูลราชันฉีหลินอยู่ใกล้ตนได้ถึงเพียงนี้ สำหรับเถี่ยซู่องนั้นเขารู้สึกเข่าอ่อนทั้งสองข้าง เขารู้ว่าเมื่อไรที่เหยียบเข้าตระกูลราชันฉีหลินแล้ว พวกเขาอาจไม่มีชีวิตรอดกลับออกมาก็เป็นได้ แต่ว่าเถี่ยซู่องยังคงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไหนๆ ก็มาถึงแล้วก็กัดฟันก้าวเดินต่อไป
“ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไร?” ณ ด้านหน้าของสะพานลอยฟ้า ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของตระกูลราชันฉีหลินได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
“หลี่ชิเย่ ให้ธิดาราชันพวกเจ้ามาให้การต้อนรับก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่สั่งการออกไปด้วยท่าทีเรียบเฉย
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกไป ทำให้บรรดาศิษย์ของตระกูลราชันฉีหลินที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าสะพานลอยถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง คำพูดนี้ออกจะยโสและพาลเหลือเกิน อ้าปากก็บอกว่าต้องการให้ธิดาราชันของพวกเขามาต้อนรับด้วยตนเอง วางมาดมากเหลือเกิน
แม้ว่าศิษย์ของตระกูลราชันฉีหลินจะตะลึงนิดหนึ่ง แต่ พวกเขาก็ไม่กล้าทำชักช้า รีบส่งศิษย์เข้าไปรายงานทันที
“ให้ธิดาราชันมาให้การต้อนรับ วางมาดเหลือเกินนะ” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ไม่ได้ไปเขาชมเทพมาเมื่อได้คำพูดเช่นนี้แล้วรู้สึกไม่พอใจ เนื่องจากพวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเขตฉีหลิน พวกเขามองว่าธิดาราชันมีฐานะที่สูงส่ง กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นเทพธิดาในทัศนะคติของบรรดาผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
เวลานี้ได้ยินหลี่ชิเย่เอ่ยปากต้องการให้เทพธิดาในทัศนะคติของพวกเขามาให้การต้อนรับด้วยตนเอง จึงทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยไม่พอใจขึ้นมาทันทีแล้ว
“ฮึ ยโสเหลือเกิน ไม่เห็นตระกูลราชันฉีหลินพวกเราอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้จักส่องดูเงาของตนเองบังอาจกล้าพูดจาสามหาวต้องการให้ธิดาราชันมาต้อนรับ เขานับเป็นตัวอะไร!” ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ของเขตฉีหลินรู้สึกไม่พอใจ พลันมีอคติต่อหลี่ชิเย่ทันที กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “นั่นน่ะสิ ต่อให้ด้านหลังของเขามีจอมเทพคอยคุ้มครองอยู่แล้วไง ตระกูลราชันฉีหลินยังมีเซียนหวังคุ้มครองด้วยซ้ำ มีจอมเทพคอยให้การคุ้มครองแล้วคิดว่าตัวเองคือบุรุษผู้สูงส่งจริงๆ รึ?” ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่สบอารมณ์ต่อหลี่ชิเย่ใช่มีเพียงคนสองคนเท่านั้น มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับธิดาราชันฉีหลินทันที
เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ปรากฏกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนสิบกว่าคนเหินฟ้าลงมาจากตระกูลราชันฉีหลิน พริบตาเดียวก็ร่อนลงอยู่ตรงหน้าสะพานลอยฟ้าแล้ว
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าของบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาถึงในพริบตาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่รูปงามร่าเริงสบายๆ ดูสง่าผ่าเผย ให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ข่มเหงผู้คน
“ท่านผู้นี้ต้องเป็นสหายหลี่แน่นอนน่ะสิ…” พลันที่ชายหนุ่มผู้นี้มองเห็นหลี่ชิเย่ จึงยิ้มกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาทันที