ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1813 หัวหลุดจากบ่า
ตอนที่ 1813 หัวหลุดจากบ่า
พวกจางหยางที่เป็นเหล่าศิษย์นอกตระกูลพลันมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป เมื่อเห็นหม่าเซิ่นถูกบีบคอและยกตัวลอยสูงขึ้นจากพื้นดิน ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ
“เจ้าหนู เจ้า เจ้ารีบปล่อยตัวเขา ถ้าหากเจ้ากล้าแตะต้องตัวเขาแม้แต่เส้นขน ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับตระกูลราชันฉีหลินพวกเรา ไม่ว่าจะมีจอมเทพคนไหนคอยคุ้มครองเจ้าก็ไม่มีจุดจบที่ดี” ในเวลานี้ จางหยางได้ร้องกล่าวด้วยเสียงอันดัง
พวกเขาที่เป็นศิษย์นอกตระกูลฝึกทักษะด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เวลานี้ เห็นหม่าเซิ่นถูกบีบคอ ทำให้จางหยางเกิดความร้อนรนขึ้นมาทันที
“เป็นศัตรูกับตระกูลราชันฉีหลิน?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และกล่าวว่า “คิดว่าข้าจะกลัวเป็นศัตรูกับใครอย่างนั้นรึ?”
เสียง “คร๊ากก…” ดังขึ้น พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ มือยักษ์ที่ไร้รูปพลันหักคอของหม่าเซิ่นทันที ยอดฝีมือเช่นหม่าเซิ่นไม่มีโอกาสกระทั่งส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา ก็ถูกสังหารเสียแล้ว
เวลานี้ ดวงตาทั้งสองของหม่าเซิ่นเบิกโพลง เขาตายตาไม่หลับ เนื่องจากเขาไม่เชื่อว่าจะถูกหักคอตายตรงด้านหน้าประตูของตระกูลราชันฉีหลินได้
ลองนึกดู ในโลกหล้านี้จะมีใครหาญกล้าสังหารศิษย์ของตระกูลราชันฉีหลินที่หน้าประตูของตระกูลราชันฉีหลินเอง นี่เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลราชันฉีหลินชัดๆ เป็นการไม่เห็นตระกูลราชันฉีหลินอยู่ในสายตาเอาเสียเลย!
เวลานี้ ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบ ศิษย์สำนักตระกูลราชันฉีหลินถูกสังหารบริเวณหน้าประตูของตระกูลราชันฉีหลิน ช่างเป็นภาพที่สะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนยิ่งนัก
เมื่อพวกของจางหยางที่เป็นศิษย์นอกตระกูลได้สติกลับมา พลันมีสีหน้าที่ดำคล้ำด้วยความโกรธแค้นอย่างยิ่ง พวกเขาที่เป็นศิษย์นอกตระกูลเหล่านี้สนิทสนมดั่งเป็นพี่น้อง เวลานี้หม่าเซิ่นถูกสังหาร แล้วจะให้พวกเขากล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไร
“เจ้าเดรัจฉานน้อย เอาชีวิตมา!” จางหยางร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ พลันร่วมกับศิษย์อีกกว่าสิบคนร้องคำรามออกมา ทั้งหมดบุกเข้าโจมตีหมายสังหารหลี่ชิเย่ดั่งพายุฝนฟ้าคะนอง พวกเขาต้องการแก้แค้นให้กับหม่าเซิ่นที่ตายไป!
สีหน้าของพวกของเถี่ยซู่องทั้งสี่คนเปลี่ยนไป เมื่อมองเห็นจางหยางพร้อมศิษย์กว่าสิบคนที่บุกเข้ามา ด้วยพายุฝนคะนองเช่นนี้เพียงพอที่จะทำลายพวกเขาได้โดยพลัน
“ปัง ปัง ปัง” จังหวะที่พวกของจางหยางบุกเข้าโจมตีหลี่ชิเย่ดั่งพายุนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถูกซัดจนร่วงลงไปหมอบอยู่กับพื้น
ทักษะของจางหยางไม่ธรรมดา แต่ เพียงชั่วพริบตาเดียวถูกคนเขาซัดจนลงไปกองกับพื้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวั่นไหวในใจ
ทุกคนยังเข้าใจว่าเป็นการลงมือของหลี่ชิเย่ หรือจอมเทพที่อยู่เบื้องหลังของเขา แต่เมื่อถูกคนมองออกไป จึงได้เห็นผู้เฒ่าที่ผมเผ้าขาวโพลนยืนอยู่คนหนึ่ง
“อาจารย์…” จางหยางที่ถูกซัดจนหมอบกับพื้นร้องเสียงดังออกมา แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเองเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ผมเผ้าขาวโพลนผู้นั้น
“เพียะ…” ผู้เฒ่าที่ผมเผ้าขาวโพลนลงมือตบเข้าที่หน้าของจางหยางอย่างไม่ปราณี จนฟันในปากแตกหักละเอียดไป
“เจ้าเดรัจฉานเนรคุณ ทำอาจารย์เสียหน้าจนหมดสิ้น ถึงกับกล้าตัดสินใจโดยพละการ แอบอ้างคำสั่ง ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติแทนฝ่าบาท โทษไม่อาจอภัย!”
“ผู้อาวุโส การแอบอ้างคำสั่งเป็นโทษตาย!” เวลานี้น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยอำนาจดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งได้ก้าวเดินมาช้าๆ ความเป็นกษัตริย์ที่ล้ำเลิศยากจะหาผู้ใดเทียม
“ฝ่าบาท…” ไม่ว่าจะเป็นบรรดาศิษย์ตระกูลราชันฉีหลินที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือว่ายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูอยู่ด้านนอกสะพานลอยฟ้าต่างทยอยกันก้มลงกราบ เมื่อเห็นผู้หญิงที่ค่อยๆ เดินเข้ามา
ผู้ที่มาคือธิดาราชันฉีหลินนั่นเอง เดิมนางกำลังเข้าพบบรรพบุรุษที่ปลีกตัวออกจากโลกภายนอกของตระกูลราชันฉีหลิน เนื่องจากบรรดาบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็ต้องการรู้ว่าหลี่ชิเย่คือผู้ดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดท่านใดที่มาปรากฎตัวกันแน่!
ไม่นึกเลยว่า พวกของจางหยางที่เป็นศิษย์นอกตระกูลกลุ่มคนรุ่นใหม่ถึงกับถือโอกาสแอบอ้างประสงค์ของธิดาราชันฉีหลินมาต้อนรับหลี่ชิเย่
“ฝ่าบาท…” เมื่อธิดาราชันฉีหลินพูดออกมาแล้ว ผู้อาวุโสก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้น
“ผู้อาวุโสอย่าหาว่าข้าไม่ยอมละเว้นให้” ธิดาราชันฉีหลินกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้แอบอ้างคำสั่ง โทษคือตาย! ตระกูลราชันมีกฎของตระกูลราชัน ไม่ยอมให้ก้าวล่วงอย่างเด็ดขาด! ผู้อาวุโสต้องการให้ข้าเป็นผู้ไต่สวนตัดสินเอง หรือให้บรรดาผู้อาวุโสมาไต่สวนตัดสินหละ!”
“เป็นข้าที่อบรมสั่งสอนไม่ดี!” เวลานี้ผู้อาวุโสมีสีหน้าที่ขาวซีด ต่อให้เขาตัดใจลูกศิษย์ของเขาไม่ลง แต่ ภายใต้โทษที่หนักขนาดนี้ไม่ว่าใครมาขอร้องก็ยากจะหนีความตายได้พ้น เพราะมันคือโทษตาย! ในขณะนี้หากธิดาราชันฉีหลินไม่สืบสาวหาความรับผิดชอบจากเขาผู้เป็นอาจารย์ก็นับว่าปราณีให้เป็นพิเศษแล้ว
เป็นที่ทราบว่า เฉกเช่นยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลราชันฉีหลิน หากใครก็สามารถแอบอ้างพระประสงค์ของธิดาราชันได้ ใครก็สามารถแอบอ้างคำสั่งได้ล่ะก็ ตระกูลราชันฉีหลินมิวุ่นวายไปหมดรึ ตระกูลราชันฉีหลินมิต้องล่มสลายลงรึ!
พวกของจางหยางเวลานี้ต่างมีสีหน้าที่ขาวซีดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แรกทีเดียวพวกเขาเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เป็นศัตรูกับตระกูลราชันฉีหลิน การที่พวกเขาเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ก็เป็นการปกป้องตระกูลราชันฉีหลิน พวกเขาที่เป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อนเมื่อถูกคำยุยงของผู้อื่นจึงไม่ได้คิดรอบคอบ และเข้าไปหาเรื่องหลี่ชิเย่ เวลานี้เรื่องราวมาถึงธิดาราชันฉีหลิน โทษตายไม่อาจละเว้นได้!
“ลากไปตัดหัวเสีย!” สุดท้ายแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสที่เป็นอาจารย์ก็ต้องทำใจแข็ง สั่งการออกไป
การถ่ายทอดคำสั่งปลอมของพวกจางหยาง เป็นโทษตายที่ใครก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ ในเวลานี้ตัวผู้อาวุโสเองก็ได้แต่ให้พวกจางหยางได้ตายอย่างสบาย!
ยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินลากตัวพวกจางหยางออกไปทันที เพียงชั่วพริบตาเดียวสิบกว่าหัวก็ได้หลุดออกจากบ่า ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นาทีนี้จึงทำให้ผู้บำเพ็ญตนที่ไม่เคยเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินได้เข้าใจว่า กฎเหล็กของตระกูลราชันฉีหลินเข้มงวดขนาดไหน!
ในเวลานี้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ก่อนหน้านี้พวกของจางหยางยังอาศัยอำนาจบารมีของตระกูลราชันฉีหลินข่มเหงผู้อื่น ไม่นึกเลยว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น พวกเขาก็ต้องหัวหลุดจากบ่า เพียงเพราะทำผิดกฎของตระกูลราชันฉีหลิน
มองดูหัวของพวกจางหยางที่กลิ้งไปกับพื้น ทำให้บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกสะพานลอยฟ้าไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักคำ ในที่สุด นาทีนี้พวกเขาได้รับรู้ถึงกฎเหล็กที่เข้มงวดของตระกูลราชันฉีหลินแล้ว เมื่อไหร่ที่ทำผิดกฎ ต่อให้ศิษย์ที่เป็นดาวรุ่งก็ยากจะหนีความตายได้พ้น
“เมิ่งหยิงไม่ทันต้อนรับ ศิษย์ภายในสำนักไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ล่วงเกินคุณชาย ขอคุณชายได้โปรดลงโทษ” เวลานี้ธิดาราชันฉีหลินก้าวเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่อย่างรวดเร็ว โค้งคำนับหลี่ชิเย่อย่างงามกล่าวรับการลงโทษออกมา
ภาพที่ธิดาราชันฉีหลินโค้งคารวะ และกล่าวขอรับการลงทัณฑ์ต่อหลี่ชิเย่ สร้างความหวั่นไหวให้กับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกสะพานลอยฟ้า
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตนทั่วไปที่ไม่เคยไปเขาชมเทพมาก่อน พวกเขายิ่งรู้สึกหวั่นไหวต่อภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ธิดาราชันฉีหลินคือผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลราชันฉีหลินต่อไปภายหน้า เป็นทายาทรุ่นหลังของเซียนหวังฉีหลิน
อีกทั้งตัวของธิดาราชันฉีหลินเองก็คือดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง ด้านทักษะนั้นได้มีการลือกันมานานแล้วว่า นางก้าวไปถึงระดับสวรรค์สัจธรรมแล้ว เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งฐานะหรือทักษะของนางเอง ในทัศนะคติของผู้บำเพ็ญตนจำนวนมาก นางอยู่ในฐานะที่สูงส่ง โดยเฉพาะในส่วนของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนในเขตฉีหลินแล้ว ธิดาราชันฉีหลินมีฐานะที่ส่งส่งยากจะหาผู้ใดเทียมสูงส่งสุดที่จะเอื้อมถึง
แต่ว่า มาวันนี้พวกเขากลับได้เห็นธิดาราชันฉีหลินแสดงความเคารพต่อหลี่ชิเย่ถึงขนาดนี้กับตาตนเอง กระทั่งยินดีรับการลงโทษจากหลี่ชิเย่ ภาพเช่นนี้จะไม่ให้ผู้คนจำนวนมากต้องอ้าปากค้างได้อย่างไร
“ช่างเถอะ ผู้เยาว์เท่านั้นเอง เรื่องที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไปก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยและยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง
ธิดาราชันฉีหลินประคองมือขวาของหลี่ชิเย่ด้วยตนเอง เดินเคียงข้างหลี่ชิเย่ก้าวขึ้นไปยังสะพานลอยฟ้าเดินเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลิน
ธิดาราชันฉีหลินประคองหลี่ชิเย่ด้วยตนเอง เคียงข้างหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต้องหวั่นไหวกับภาพนี้ ต่อให้เป็นธิดาราชันฉีหลินที่มีฐานะสูงส่งของพวกเขา ในสายตาของหลี่ชิเย่ก็เป็นเพียงระดับคนรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกายเท่านั้นเอง
เมื่อบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากนึกถึงจุดนี้แล้วต้องหวั่นไหวในใจ เจ้าหลี่ชิเย่คนนี้คือใครกันแน่ ถึงกับมีฐานะที่สูงส่งถึงเพียงนี้ ถึงกับหมางเมินทั่วหล้า ถึงกับเย้ยหยันต่อสรรพชีวิตถึงเพียงนี้
ตระกูลราชันฉีหลินมีบ้านที่ใหญ่โตเป็นพันเป็นหมื่น หนึ่งในนั้นคือตำหนักที่สูงตระหง่านเทียมเมฆ เป็นสถานที่ที่ตระกูลราชันฉีหลินใช้เป็นที่ตัดสินเรื่องใหญ่อยู่เสมอๆ
ตำหนักหลังนี้ดูน่าเกรงขาม สูงใหญ่ปราศจากผู้เทียบเทียม ด้านหน้าวิหารมีบันไดพันขั้น ด้านหน้าบันไดพันขั้นเป็นสนามกว้างใหญ่ที่สามารถจุผู้คนได้นับหมื่นคน
ด้านข้างซ้ายขวาของสนามมีรูปปั้นที่ดูศักดิ์สิทธิ์และทรงกำลังอำนาจตั้งอยู่ ประกอบด้วยเหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์ที่บินโฉบอยู่เหนือเมฆา มังกรยักษ์ที่เหินอยู่บนก้อนเมฆ และมีหงส์ฟ้าที่บินร่อนอยู่เก้าชั้นฟ้า………..
ในขณะนี้ ด้านหน้าตำหนักบันไดหินซ้ายขวาล้วนแล้วแต่มียอดฝีมือแต่ละคนนั่งอยู่ ยอดฝีมือแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีผมเผ้าขาวโพลน หรือไม่ก็มีท่าทีที่สยบผู้คน บรรดายอดฝีมือที่นั่งอยู่ตรงขั้นบันไดซ้ายขวาแต่ละขั้นที่อยู่ตรงหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นระดับบรรพบุรุษแคว้นเจ้าลัทธิที่ตั้งอยู่ในเขตฉีหลินทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น
ภายในตำหนักมีจอมเทพสององค์นั่งอยู่ ทั้งสององค์คือจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวิน ยามที่จอมเทพลักษณะเช่นนี้นั่งอยู่ในตำหนักปรากฏอานุภาพจอมเทพที่ตลบอบอวล พลานุภาพจอมเทพที่พวกเขาทั้งสองแผ่ออกมาเสมือนดั่งน้ำในมหาสมุทรอย่างนั้น ไม่มีสิ้นสุดและสามารถท่วมเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินจนมิด
จอมเทพหนานหยางนั่งอยู่ด้านซ้าย บนตัวของเขาเปล่งประกายสีทองออกมา ด้านหลังเสมือนมีดวงตะวันทองคำบริสุทธิ์ดวงหนึ่งที่ลอยขึ้นมา ดูเหมือนเป็นเทพสุริยันในเทพนิยายอย่างนั้น ในมือมีไฟโลกันต์ที่จุดไฟให้ลุกโชติช่วงในเก้าแดนได้ เหมือนว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดของเขาสามารถเผาผลาญสิ้นหมื่นอาณาจักร แต่ก็สามารถช่วยเหลือสรรพชีวิตนับล้านล้านที่อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากได้เช่นกัน
จอมเทพเชียนจวินนั่งอยู่ด้านขวา เขามีดวงดาวล้อมรอบ สำแดงหมื่นสัจธรรม แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ที่ตรงนั้น ขณะเดียวกันก็เหมือนว่าเขานั่งอยู่ที่ที่ห่างไกลท่ามกลางท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวอย่างนั้น ณ ที่ตรงนั้นเห็นแขนแต่ละแขนของเขาปรากฏ แขนทุกแขนของเขาล้วนแล้วแต่มีทางช้างเผือกและท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวล้อมรอบ เหมือนว่าเขาเป็นผู้สร้างโลกใบแล้วใบเล่าขึ้นมาอย่างนั้น
จอมเทพสององค์อยู่กันพร้อมหน้า ทำให้ระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ที่นั่งอยู่บริเวณขั้นบันไดซ้ายขวาแต่ละคนไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา กระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
แม้ว่าบรรดาระดับบรรพบุรุษที่นั่งอยู่ตรงนั้นมีอยู่ไม่น้อยที่อยู่ในระดับสวรรค์สัจธรรม แต่ทว่า ต่อให้ระดับบรรพบุรุษที่มีพลังขมุกขมัวสิบล้านลิตรและอยู่ในระดับสวรรค์สัจธรรมก็ตาม เมื่อเทียบกับจอมเทพแล้วก็ยังคงมีช่วงห่างกันมากอยู่
ข้างๆ ของจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินมีระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน บรรพบุรุษผู้นี้ไม่เพียงมีผมเผ้าที่ขาวโพลนเท่านั้น ทั้งยังดูเหมือนสะลืมสะลือ ต่อให้เขาต้องนั่งอยู่ข้างกายจอมเทพ ยังคงนั่งสัปหงกอยู่เหมือนว่าเมื่อคืนหลับไม่เต็มอิ่มอย่างนั้น
ครั้นเมื่อธิดาราชันฉีหลินเคียงข้างหลี่ชิเย่ก้าวเดินเข้ามาในลานกว้างนั้น พลันสายตาแต่ละคู่ต่างตกอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ทุกคนต่างจ้องเขม็งไปที่ตัวของหลี่ชิเย่