ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1847 ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1847 ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว
ตอนที่ 1847 ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว
ทั่วทั้งเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรล้วนแล้วแต่เงียบสงัด กระทั่งสร้างความแตกตื่นให้กับระดับผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากของชิงโจวจากศึกสงครามครั้งนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างแอบมองสงครามครั้งนี้ด้วยกัน
การต่อสู้ชี้ขาดระหว่างจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวง กับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวง มันเปี่ยมด้วยความเป็นตำนาน ตื่นเต้นเร้าใจยอดเยี่ยมที่สุด พวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีดวงตราสัญลักษณ์ที่ประสานเข้าด้วยกัน อีกทั้งมีพลังที่ไม่ได้แตกต่างกันมากเป็นพิเศษ การต่อสู้ชี้ขาดระดับจอมเทพลักษณะเช่นนี้หาชมได้ไม่ง่ายอย่างแน่นอน
กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว สงครามระหว่างจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนยากจะได้เห็น จะอย่างไรเสียจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนง่ายต่อการถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ พวกเขาที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้จึงไม่ลงมือง่ายดาย
เฉกเช่นการต่อสู้ชี้ขาดระหว่างจอมเทพที่มีอันดับสามารถชดเชยในจุดนี้ได้ ศึกสงครามระหว่างจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนนั้นเรียกว่ายากจะได้เห็นในรอบหมื่นปีที่เดียว ขณะที่จอมเทพจะต่างกัน มีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เนื่องเพราะมีการศึกระหว่างจอมเทพนี้เอง ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากของสิบสามทวีปได้มองเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าปราศจากผู้ต่อกรที่แท้จริง นี่ก็เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับพวกเขา สามารถปูเป็นพื้นฐานให้กับเส้นทางสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่จะก้าวเดินบนเส้นทางสู่ระดับจอมเทพ
การต่อสู้ชี้ขาดของจอมเทพระดับล่างไม่น่าตื่นเต้นพอ แต่กับประเภทจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวง และหรือสิบดวง พวกเขาคือจอมเทพที่เข้าใกล้จอมเทพระดับสูงสุดแล้ว การต่อสู้เพื่อชี้ขาดของพวกเขาไม่แพ้ระดับจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนแล้ว ท่วงท่าของพวกเขา สัจธรรมของพวกเขา ความลึกซึ้งพิสดารของพวกเขา…ล้วนแล้วแต่เพียงพอให้ผู้ที่โชคดีได้เห็นการต่อสู้ได้รับประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว
ศึกสงครามระดับเช่นนี้ สร้างความแตกตื่นให้กับจอมเทพระดับล่างบางส่วน เป็นต้นว่าจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์เพียงหนึ่งถึงสองดวง หรือสามถึงสี่ดวง กระทั่งมีจอมเทพบางส่วนอดที่จะกลับคืนสู่โลกปัจจุบันเพื่อจะได้เห็นการต่อสู้พิฆาตในครั้งนี้ด้วยสายตาของตนเอง
“การอุ่นเครื่องได้สิ้นสุดลงแล้ว ได้เวลาที่พวกเราจะต่อสู้กันจริงจังเสียทีแล้วหละ” ในขณะนี้ จอมเทพท่าซิงทำท่ายืดเส้นยืดสายทีหนึ่ง กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดังออกมา
“ตกลง ไม่ตายไม่เลิก!” จอมเทพเสินกงก็หาได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย คำรามเสียงยาวออกมาด้วยท่าทีที่พลุ่งพล่านรุนแรง
เมื่อครู่ทั้งสองฝ่ายเพียงแค่อุ่นเครื่องเท่านั้นเอง ทั้งสองคนต่างอาศัยกระบวนท่ามาต่อสู้กันเท่านั้นไม่ได้อาศัยอาวุธ ตัดสินแพ้ชนะด้วยฝ่ามือเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างถือเป็นการหยั่งเชิงกำลังของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น จึงอาศัยกำลังของตนเข้าต่อสู้กันโดยไม่อาศัยกำลังจากภายนอก
ผู้ที่โชคดีได้ยลการต่อสู้ในครั้งนี้ต่างรู้สึกเย็นวาบภายในใจเมื่อได้ยินคำพูดระหว่างจอมเทพเสินกง กับจอมเทพท่าซิง ขนาดแค่อุ่นเครื่องเท่านั้นยังสร้างความสยองได้เพียงนี้ ถ้าหากทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยท่าไม้ตายจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้ได้รับการเคารพสูงสุดระดับสวรรค์สัจธรรมเลย เกรงว่าแม้แต่จอมเทพระดับล่างก็รับได้ไม่กี่กระบวนท่า และจะต้องถูกจอมเทพระดับสูงเช่นพวกเขาสังหารภายในระยะเวลาอันสั้น
“ฆ่า…” พริบตาเดียวนี้เอง จอมเทพท่าซิงได้กระโดดขึ้น แม้ว่าจะอยู่ห่างกันหลายช่วงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แต่การกระโดดเพียงครั้งเดียวก็ไปปรากฎอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของจอมเทพเสินกงแล้ว
“ตึง…” ฉับพลันนั้น จอมเทพท่าซิงได้สวมชุดตัวอ่อนบนตัว สวมเสื้อเกราะดาว ขี่ม้าบินจากกลุ่มดาวเพกาซัส น้าวธนูดาว มีอาวุธสองชิ้นเสียบอยู่ด้านหลังซ้ายขวา ชุดตัวอ่อนเปล่งรัศมีดาวสีแสดออกมา
“ปุ…” ประกายดาวมัดหนึ่งได้กลับกลายเป็นธนู เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ยิงเข้าไปใกล้หน้าอกของจอมเทพเสินกง
ความเร็วชั่วพริบตาเดียวนี้รวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนไม่มีสิ่งใดสามารถเทียบเคียงได้ ต่อให้เป็นจอมเทพเสินกงในฐานะจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงก็รู้สึกได้ว่าความเร็วนี้เร็วจนสุดจะเทียบเทียมได้
“ปัง” เสี้ยวหนึ่งแห่งความเป็นความตาย จอมเทพเสินกงพลิกนิดหนึ่ง ปรากฏโล่ขนาดยักษ์ชั้นคุณภาพสวรรค์ตราตั้งก็ได้ขวางอยู่ด้านหน้าของหน้าอก นี่เป็นศาสตราวุธเต๋าระดับจอมเทพสิบดวงตราสัญลักษณ์ ทั้งยังอยู่ในชั้นคุณภาพสวรรค์ตราตั้ง ซึ่งศาสตราวุธเต๋าเช่นนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าศาสตราวุธเต๋าจอมราชันส่วนใหญ่
“ปัง” ต่อให้เป็นโล่ขนาดยักษ์ชั้นคุณภาพสวรรค์ตราตั้งของระดับจอมเทพสิบดวงตราสัญลักษณ์ก็ต้านธนูดอกนี้เอาไว้ไม่ได้ถูกยิงจนทะลุโดยพลัน ขณะที่จอมเทพเสินกงถูกหลังที่ยังเหลืออยู่กระแทกจนตัวลอยออกไป
“ตูม ตูม ตูม…” จังหวะที่จอมเทพเสินกงถูกพลังที่หลงเหลืออยู่กระแทกออกไปนั้น จอมเทพเสินกงได้เสกเอาอาวุธที่ทรงพลังปราศจากผู้ต่อกรแต่ละชิ้นออกมา โดยที่อาวุธทรงพลังปราศจากผู้ต่อกรแต่ละชิ้นได้ก่อเกิดเป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ด้านหนึ่งขึ้นมาอยู่ตรงด้านหน้าของเขา
“แว้งค์…” พริบตาเดียวนี้เอง ธนูดาวของจอมเทพท่าซิงได้รวบรวมพลังนับล้านล้านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและยิงออกไป ได้ยินเสียงดัง “ปัง” ต่อให้เป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบขึ้นมาจากอาวุธทรงพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรแต่ละชิ้นก็ถูกยิงจนทะลุไปทันที โดยแรงกระแทกของธนูดาวได้ทำลายกำแพงศักดิ์สิทธิ์ลงทั้งด้าน ขณะที่จอมเทพเสินกงก็ถูกพลังที่น่ากลัวกระแทกจนปลิวออกไปผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแต่ละผืน และกระอักเลือดออกมา
คราวนี้ เป็นจอมเทพท่าซิงที่ได้เปรียบโดยพลัน เพียงแค่เวลาสั้นๆ อาศัยสองสามกระบวนท่าก็ชี้ผลแพ้ชนะออกมา เรียกได้ว่าทุกๆ กระบวนท่าล้วนแล้วแต่ถึงตายได้ เรียกได้ว่าสามารถชี้ขาดได้ภายในกระบวนท่าเดียว
“ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว!” จอมเทพเสินกงที่ถูกกระแทกจนปลิวออกไปไกลหลายแผ่นฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวถึงกับชมด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกที่ประทับใจ
ในเวลานี้ ชุดตัวอ่อนของจอมเทพท่าซิงคือชุดตัวอ่อนที่มีตัวอ่อนหกชิ้น ชั้นคุณภาพแสดสามัญ ชุดตัวอ่อนชุดนี้จะประกอบด้วยคันธนูและลูกธนูอย่างละหนึ่ง ม้าบินหนึ่งตัว ชุดเสื้อเกราะดาวหนึ่งชุด ด้านหลังจะมีอาวุธคู่หนึ่งด้านซ้ายขวา
ชุดตัวอ่อนที่มีตัวอ่อนหกชิ้นชั้นคุณภาพแสดสามัญและเป็นประเภทพลังถูกสร้างขึ้นภายหลังชุดนี้ ไม่ถือเป็นชุดที่พบเห็นได้ยากนัก
แต่ว่า ชุดตัวอ่อนชุดนี้ถือเป็นชุดหลักของจอมเทพท่าซิง มันถูกสร้างขึ้นโดยสัจธรรมและเคล็ดวิชาทั้งหมดของเขา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านของเคล็ดวิชา ด้านสัจธรรม ด้านกระบวนท่าล้วนแล้วแต่ เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับชุดนี้
โดยเฉพาะบทคัมภีร์สำหรับชุดตัวอ่อนชุดนี้ของเขาคือ “ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว” ซึ่งบทคัมภีร์บทนี้จะสอดคล้องเสริมส่งกันกับดวงตราสัญลักษณ์และพลังการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงของเขา ด้วยเหตุนี้เอง ชุดตัวอ่อนชุดนี้จึงถูกจอมเทพท่าซิงใช้เรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่มเข้าสู่ยุทธภพจนถึงปัจจุบัน
-ชุดตัวอ่อนชุดนี้เรียกได้ว่าได้ผ่านการขัดเกลาจากจอมเทพท่าซิงโดยอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานมาก และชุดตัวอ่อนชุดนี้ได้เคยติดตามจอมเทพท่าซิงผ่านศึกการสู้รบอย่างหนักมาศึกแล้วศึกเล่า
ตั้งแต่ต้นจนจบจอมเทพท่าซิงมีอาวุธบนตัวอยู่มากมาย กาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา จอมเทพท่าซิงได้พบเห็นของวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ว่า “ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว” ชุดนี้กลับไม่เคยเปลี่ยน
ในแง่ความหมายอีกความหมายหนึ่งเป็นการบ่งบอกว่า การกระทำของจอมเทพท่าซิงได้บ่งชี้ว่า เมื่อผู้บำเพ็ญตนมีความแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะมีเพียงศาสตราวุธเต๋าที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ไม่มีศาสตราวุธเต๋าที่ทรงพลังมากที่สุด และด้วยเหตุนี้เอง ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยเมื่อแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะต้องทำการเลือกที่จะรับเอาสิ่งนั้นเอาไว้หรือไม่!
“ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาว…” ในเวลานี้ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้มองเห็นบนตัวของจอมเทพท่าซิงที่สวมใส่เสื้อเกราะดาว ขี่ม้าบินจากกลุ่มดาวเพกาซัส ในมือถือคันธนูและน้าวธนูเอาไว้แล้ว ด้านหลังมีอาวุธสองชิ้นเสียบอยู่ซ้ายขวา ทำให้ลักษณะท่าทางที่มีชีวิตชีวาและเข้มงวดของเขาสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
ชื่อของจอมเทพท่าซิงก็ได้มาจากตรงนี้แหละ ชื่อฉายาเทพของเขาก็มาจากชื่อบทคัมภีร์ของชุดตัวอ่อนชุดนี้ อีกทั้งผู้คนจำนวนมากสัจธรรมเมื่อได้ยินชื่อจอมเทพท่าซิงแล้ว ก็จะนึกจินตนาการไปถึงท่วงท่าของเขายามที่สวมใส่ชุดตัวอ่อนชุดนี้
ชุดตัวอ่อนชุดนี้ของจอมเทพท่าซิงมีทั้งด้านความเร็ว การบุกโจมตี การลอบสังหาร การป้องกัน เรียกได้ว่าไม่ว่าจะมองจากด้านใดก็ตาม มันก็คือชุดตัวอ่อนที่สมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง ครบเครื่องทั้งรุกและรับ
ทุกคนถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อได้เห็นภาพนี้เข้า ย่อมไม่เป็นที่สงสัยเลย ภายใต้ปราศจากชุดตัวอ่อนต่อให้มีศาสตราวุธเต๋าที่ทรงพลังมากเท่าไรก็ตาม ก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าจอมเทพเสินกงจะเสกเอาศาสตราวุธเต๋าออกมากี่ชิ้นก็ตาม ก็ไม่สามารถต้านรับการโจมตีของจอมเทพท่าซิงได้ สิ่งนี่ก็คืออานุภาพของชุดตัวอ่อน และเป็นเสน่ห์ของมัน มิฉะนั้นล่ะก็ เหตุใดจึงมียอดฝีมือจำนวนมากที่เสาะหาชุดตัวอ่อนที่ทรงพลังปราศจากผู้เทียบเทียมไปชั่วชีวิตได้อย่างไร
บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณตงกงถึงกับสะท้านในใจ เมื่อมองเห็นจอมเทพเสินกงได้รับบาดเจ็บ ก่อนหน้านั้นบรรพบุรุษของพวกเขายังได้เปรียบอยู่ ซึ่งทำให้พวกเขาถึงกับโล่งอก แต่ภายในระยะเวลาอันสั้นเหตุการณ์กลับพลิกผัน บรรพบุรุษของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ พลันทำให้พวกเขาต้องกังวลใจขึ้นมา
“สหายทำความบรรลุมาเป็นแสนปี ควรจะนำเอาท่าไม้ตายของท่านออกมาได้แล้ว” ในขณะนี้ จอมเทพท่าซิงไม่ได้ตามฆ่าจอมเทพเสินกง เขาได้หยุดและเอ่ยขึ้นช้าๆ
เห็นชัดว่าเป็นจอมเทพท่าซิงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างยิ่ง ในเวลานี้กเขากลับกลายเป็นระมัดระวังยิ่งนัก ไม่ได้ถือโอกาสเข้าโจมตีต่อขณะได้เปรียบอยู่
“สัจธรรมไม่ง่าย คิดจะแอบดูความลับสวรรค์ หาใช่กำลังของคนๆ หนึ่งสามารถทำได้” เวลานี้ จอมเทพเสินกงจอมเทพเสินกงดูจะทอดถอนใจออกมาด้วยความหดหู่อยู่บ้าง และเศร้าใจอยู่บ้าง และพูดเป็นคำพูดที่สร้างความงุนงงประโยคหนึ่งขึ้นมา
“ตึง…” ในขณะนี้เอง จอมเทพเสินกงค่อยๆ ขักดาบโค้งออกมาเล่มหนึ่ง ดาบโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว ตัวดาบเย็นวาบทั้งเล่ม แต่ตัวของดาบเองไม่ได้มันวาว มีเพียงประกายที่หม่นๆ ปรากฏออกมา ประกายดังกล่าวออกขาวหม่น ครั้นเห็นสีขาวหม่นนี้แล้วทำให้ผู้คนเกิดมโนภาพขึ้น เหมือนว่านาทีนี้ได้มองเห็นความตายอย่างนั้น!
ดาบโค้งเล่มนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพครบถ้วนสมบุรณ์ ตัวดาบมีรอยแหว่งไปครึ่งหนึ่ง มันไม่เหมือนถูกกระทำให้ต้องแหว่งไป เหมือนว่ามันเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น รอยปากแหว่งเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนว่ามันคือดาบที่ชำรุดมาตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว
แม้ว่าดาบชำรุดเล่มนี้ไม่ได้มีท่าทีที่สะเทือนฟ้า ไม่มีประกายดาบที่ปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่า ยามเมื่อผู้คนจำนวนมากได้เห็นดาบโค้งเล่มนี้แล้ว เหมือนวิญญาณของตนล่องลอยออกจากร่างไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ เหมือนว่าดาบโค้งเล่มนี้สามารถเก็บเกี่ยวเอาชีวิตของตนไปได้อย่างง่ายดาย
“ตำราและอาวุธสวรรค์!” จอมเทพระดับล่างที่ชมการต่อสู้ผู้หนึ่งถึงกับผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนไป ร้องเสียงหลงออกมา
อย่างไรก็ตาม ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังไม่รู้เลยว่าตำราและอาวุธสวรรค์คืออะไร
“มิน่าหละ สหายเสินกงถึงได้หายไปไม่ได้ข่าวคราวมาหลายแสนปี ที่แท้ก็เพื่อดาบโค้งเล่มนี้ เพื่อตำราและอาวุธสวรรค์แล้ว แม้ต้องเสียเวลาหลายแสนปีก็คุ้ม” สายตาของจอมเทพท่าซิงถึงกับหรี่ลงเมื่อเห็นดาบโค้งเล่มนี้ของจอมเทพเสินกง ท่าทีเคร่งเครียดยิ่งนัก
“ยังไม่นับว่าเป็นตำราและอาวุธสวรรค์ เป็นเพียงตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบเท่านั้นเอง “วลานี้จอมเทพเสินกงกล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “ใช้เวลาแสนปีทำลายสระน้ำดึกดำบรรพ์ แสนปีบ่มฟักดาบ แสนปีทำความเข้าใจตำรา เพิ่งจะสำเร็จวันนี้เอง อาศัยกำลังโดยลำพังอย่างไรก็ต้องอ่อนด้อย การที่จะสามารถแอบมองเห็นสวรรค์ได้บ้างไม่ง่ายเลย”
“เพียงพอแล้ว” จอมเทพท่าซิงจ้องเขม็งไปที่ดาบโค้งเล่มนี้ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ได้รับตำราและอาวุธสวรรค์ที่อยู่ในลักษณะดั้งเดิมมากที่สุด ไม่ได้มีการเปลี่ยนมือโดยเป็นเจ้าของคนแรก มีพลังดั้งเดิมมากที่สุด เสมือนหนึ่งบัญชาแขนซ้ายแขนขวาของสวรรค์ มีดาบอยู่ในมือ เพียงพอที่จะก้าวไปทุกที่ มิน่าเล่าวันนี้สหายถึงได้กลับสู่โลกปัจจุบัน หากแม้เปลี่ยนเป็นตัวข้า ข้าก็อยากจะสังหารจอมเทพที่มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงเพื่อเป็นการทดสอบอานุภาพของดาบ”
“บางทีอาจเป็นตัวข้าที่บูชายันต์ดาบ” จอมเทพเสินกงไม่ได้ลำพองใจ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “จะอย่างไรเสียสิ่งนี้ก็คืออาวุธฆ่าคน เมื่อดาบออกจากฝัก เกรงว่าหากไม่ใช่ศัตรูตายก็คือข้าม้วย ดาบเล่มนี้สังหารเทพเป็นครั้งแรก อย่างไรเสียมันก็ต้องดื่มเลือดเทพให้อิ่มหนำสำราญ ส่วนจะเป็นเลือดของใครนั้นพูดยาก”
คำพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกมา ทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหวาดกลัวยิ่งนัก ต่อให้ผู้ที่ไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าตำราและอาวุธสวรรค์ก็อดที่จะจ้องมองดาบโค้งเล่มนี้มากกว่าครั้ง