ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1863 อู่ฟ่งหยิ่ง
ตอนที่ 1863 อู่ฟ่งหยิ่ง
สำหรับคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่นั้น ธิดาราชันฉีหลินก็ได้พยักหน้า และกล่าวว่า “พี่ฉินในครั้งนั้นคือดาวรุ่งผู้มีอำนาจอิทธิพลที่สุดของชิงโจว แม้ว่าจะพ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อ แต่ทว่าได้ฝึกฝนอย่างหนักจนตกผลึกในหลายปีที่ผ่านมา ทักษะยุทธก้าวหน้าไปมาก มีข่าวลือกันว่าเขาเลือกที่จะก้าวไปบนเส้นทางของความเป็นเทพ”
“เขามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง” หลี่ชิเย่ได้ประเมินให้กับฉินไป่หลี่ โดยกล่าวว่า “ต่อให้ก้าวเดินบนเส้นทางของความเป็นเทพ ขอเพียงก้าวเดินอย่างแน่วแน่มั่นคงไปเรื่อยๆ ในอนาคตวาสนาของเขาไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าจอมราชันเซียนหวังทั่วไป”
“นั่นสิ ครั้งนั้นเขาได้พ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อขณะที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด แต่ เขาไม่ได้หมดอาลัยตายอยากและไม่ได้ท้อแท้ ด้วยสาเหตุนี้ การฝึกของเขายังคงรุดหน้าไปดั่งเดินทวนน้ำ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ต่อให้เขาไม่ไปแย่งชิงชะตาฟ้ากับจินเก๋อ แต่ก็สามารถกลายเป็นจอมเทพที่สุดยอดได้อย่างแท้จริง” ธิดาราชันฉีหลินก็อดที่จะกล่าวขึ้นมา
พรรคซั่วเทียนและตระกูลราชันฉีหลินต่างก็เป็นสำนักในสังกัดร้อยชาติพันธุ์ มีการไปมาหาสู่กันโดยตลอด และทั้งสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นธิดาราชันฉีหลินจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับพรรคซั่วเทียนอยู่ไม่น้อย
“แพ้ชนะเป็นเรื่องปรกติ การพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งใช่ว่าหมายถึงจะต้องพ่ายแพ้ตลอดชีวิต ในโลกนี้ผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครเลยตลอดชีวิตมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ว่า สามารถลุกขึ้นยืนหลังจากพ่ายแพ้แล้วกลับมีเป็นจำนวนมาก จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ แน่นอน ก็มีจำนวนไม่น้อยที่หลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก ต่อให้เป็นดาวรุ่งที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งก็ตาม ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย
หลังจากธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงกับพยักหน้าเงียบๆ และคิดทบทวนอย่างละเอียด
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว เป็นความจริงที่ในบางครั้งจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นมีความสำคัญมาก ดาวรุ่งบางคนหลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกเลย และหายสาบสูญไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา นั่นเป็นเพราะจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มั่นคง เฉกเช่นฉินไป่หลี่ ในขณะที่เขากำลังอยู่ในจังหวะที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด เรียกได้ว่าสมปรารถนาทุกสิ่ง ความโดดเด่นในขณะนั้น ในชิงโจวไม่มีใครเทียบเทียม
แต่ว่า เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อในช่วงจังหวะนี้ กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้วนี่คือภัยพิบัติยิ่งใหญ่เลยหละ มันคือการตกลงไปสู่จุดต่ำสุดของชีวิตคนๆ หนึ่ง เกรงว่าผู้คนจำนวนมากจะต้องมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่สั่นคลอน กระทั่งหมดอาลัยตายอยาก
แต่ ฉินไป่หลี่กลับตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ก้าวไปข้างหน้าทุกฝีก้าว การกลับสู่ยุทธภพอีกครั้งในครั้งนี้ รับรองได้ว่าจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจะต้องมีความมั่นคงยิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นการบ่งบอกว่า ต่อให้ฉินไป่หลี่ไม่เป็นจอมราชันเซียนหวัง เขาก็ต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน
“พวกเรากลับกันเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูข้างนอกแวบหนึ่งยิ้มกล่าวขึ้นมา
ในเวลานี้ เรือนิรันดรได้แล่นต่อไปข้างหน้า เนื่องจากสายฟ้าแลบในเขตฟ้าแลบถูกหลี่ชิเย่กลืนกินไปทั้งหมด ดังนั้นเรือนิรันดรในเวลานี้จึงเดินเครื่องเต็มสูบ ความเร็วนั้นเร็วจนยากจะหาผู้ใดเทียม
ในขณะที่หลี่ชิเย่กกับธิดาราชันฉีหลินกำลังจะกลับไปนั้น กลับถูกคนผู้หนึ่งขวางทางเอาไว้ คนที่ขวางทางหลี่ชิเย่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
พลันที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาก็มีพลังสายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พลังของการข่มผู้อื่นว่าตนนั้นเหนือกว่า แต่พลังสายนี้เป็นพลังที่มีความฮึกเหิมกล้าได้กล้าเสีย เสมือนหนึ่งมีมังกรแท้จริงอย่างนั้น
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดที่เป็นเกล็ดมังกรทั้งชุด ส่งประกายสีทองแวบวับ เกล็ดมังกรมีลายมังกรอยู่ ดูเหมือนเป็นของจริงมาก เหมือนไม่ใช้สร้างขึ้นมาจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นชุดเกราะที่สร้างขึ้นมาจากเกล็ดมังกรแท้จริง
ด้วยเหตุนี้เอง ขณะที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่เสื้อเกราะนี้อยู่นั้น ผู้คนสามารถได้ยินเสียงมังกรคำรามเลือนลาง อีกทั้งการที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่ชุดเกราะเกล็ดมังกรได้ให้ความรู้สึกถึงมังกรที่โลดแล่นอยู่บนเก้าชั้นฟ้าอย่างนั้น
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสวมใส่ชุดเกราะมังกร แต่ชุดดังกล่าวยังคงไม่สามารถปิดบังทรวดทรงที่งดงามของนางได้ หน้าอกที่อิ่มเอิบชูชัน ขาทั้งสองที่เรียวยาวงดงาม รูปร่างที่สูงโปร่ง ยิ่งเสริมให้ส่วนเว้าส่วนโค้งที่มีเสน่ห์ให้โดดเด่น สามารถดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นเอาไว้โดยพลัน
แม้ว่ารูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งของผู้หญิงคนนี้จะดึงดูดผู้คนยิ่งนัก ทำให้ผู้คนต้องจ้องมองไปตรงหน้า แต่ว่า มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าจ้องมองนาน เนื่องจากนางมีความสูงส่งสายหนึ่ง เสมือนหนึ่งเป็นมังกรแท้จริงที่ผงาดอยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า เหมือนดั่งเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งที่มีฐานะสูงส่ง
คู่ดวงตาของผู้หญิงคนนี้สุกใสเป็นพิเศษ และคมกริบยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เงาวับดั่งหิมะ สามารถส่องเข้าไปภายในจิตใจของผู้คน แน่นอน หากถูกนางจ้องมองแวบหนึ่งจะต้องรู้สึกหนาวสะท้านภายในใจ กระทั่งสั่นเทิ้มขึ้นมา
ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้เห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ล้วนแล้วแต่พูดในใจคำหนึ่งว่า “เสียดายไม่ใช่บุรุษ ด้วยจิตใจอันห้าวหาญเช่นนี้หากเป็นบุรุษล่ะก็ต้องได้เป็นกษัตริย์!”
“อู่ฟ่งหยิ่ง…” มีผู้ที่ถึงกับตกใจและร้องออกมาเมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว
“ชี่วว เรียกนางว่าเจ้าเมืองหลงเฉิน อย่าเรียกชื่อของนางตรงๆ ระวังนางจะอัดเจ้า” เพื่อนรีบกล่าวเตือนเขา
บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ เมื่อได้ยินชื่อ “อู่ฟ่งหยิ่ง” ชื่อนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างจ้องมองนาง แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่สงบปากสงบคำ ไม่มีใครกล้าพูดมาก
เนื่องจากนิสัยอารมณ์ร้อนของอู่ฟ่งหยิ่งโด่งดังมากในชิงโจว แค่คำพูดไม่เข้าหูก็จะลงไม้ลงมือเป็นประจำ หลายคนแค่สามถึงห้ากระบวนท่าก็ถูกนางอัดจนร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
“เจ้าเมืองอู่ ไม่พบเสียนานเลย ครั้งนั้นจากกันที่หลงเฉินเพียงพริบตาเดียวก็ห้าหกปีแล้ว” เมื่อผู้หญิงคนนี้เข้ามาขวางทาง ธิดาราชันฉีหลินถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ในใจ เกรงว่าคราวนี้คงต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้วหละ
“น้องสาวตระกูลฉี ไม่พบกันเสียนาน หากมีเวลาพวกเรานั่งลงพูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตกันอีก แต่ว่า เวลานี้ข้าต้องการหาเขา”
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง รู้ว่าคราวนี้คงต้องต่อสู้กันจริงๆ แล้ว
อู่ฟ่งหยิ่ง เจ้าเมืองหลงเฉินคนปัจจุบัน และเป็นเจ้าสำนักหลงเฉิน ซึ่งเป็นหนึ่งสำนักสี่ราชัน ชื่อเสียงในชิงโจวอยู่เหนือตระกูลราชันฉีหลินเสียอีก
สำนักหลงเฉินก่อตั้งโดยราชันเซียนฉานหลงแห่งเก้าแดน หลังจากที่ราชันเซียนฉานหลงได้ก่อตั้งสำนักหลงเฉินแล้ว ทำการรับผู้บำเพ็ญตนจากทั่วหล้าเข้ามาอยู่ในสังกัด ไม่จำกัดเฉพาะร้อยชาติพันธุ์เท่านั้น ต่อให้เป็นเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ล้วนแล้วแต่สามารถเข้าสังกัดในสำนักหลงเฉินได้ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากราชันเซียนฉานหลง และเซียนหวังองค์ที่สามแล้ว จอมราชันอีกสององค์ของหลงเฉินมีชาติกำเนิดมาจากเผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ตามลำดับ
หลงเฉินนับเป็นสำนักที่มีความพิเศษมากของชิงโจว ภายในสำนักหลงเฉินความสัมพันธ์ระหว่างร้อยเผ่าพันธุ์กับเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน และหลงเฉินก็เป็นสายสำนักราชันเซียนที่มีอยู่ไม่มากในชิงโจวที่สามารถยอมรับศิษย์จากร้อยเผ่าพันธุ์ และเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์ได้ในเวลาเดียวกัน
อู่ฟ่งหยิ่งคือเจ้าสำนักของหลงเฉินคนปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังเป็นอันมากไม่ใช่พรสวรรค์ที่ยอดดเยี่ยมของนาง ไม่ใช่ทักษะยุทธที่สูงส่งมากของนาง ยิ่งไม่ใช่หน้าตาที่งดงามของนาง และไม่ใช่การมีอำนาจในมือของนาง
สิ่งที่ทำให้นางมีชื่อเสียงกึกก้องคือความหยาบคายสามส่วนของนาง บวกกับเป็นคนที่มีนิสัยเจ้าอารมณ์ ผู้คนจำนวนมากในชิงโจวล้วนแล้วแต่รู้ว่า ขอเพียงมีเรื่องกับอู่ฟ่งหยิ่ง พูดไม่เข้าหูเพียงคำเดียวนางก็จะลงมือทำร้ายคนทันที โดยไม่สนใจว่าบุคคลนั้นจะเป็นระดับบรรพบุรุษของสำนักก็ดี หรือจะเป็นผู้สืบทอดของสายสำนักราชันเซียนก็ช่าง นางก็จะลากตัวบุคคลผู้นั้นมาจากที่นั่งและจัดการลงมืออัดจนน่วมในสามถึงห้ากระบวนท่า จนใบหน้าบุคคลผู้นั้นบวมเป่งดั่งหัวหมู
โดยปรกติแล้ว เฉกเช่นหนึ่งสำนักสี่ราชันอย่างหลงเฉิน ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสมควรเป็นผู้ที่มีความหนักแน่น มีจิตใจและน้ำใจดีงามจึงจะถูก ไม่ควรเป็นคนที่ทำการบุ่มบ่ามเลินเล่อ ไม่ทันใดก็จะอาศัยกำปั้นมาข่มขู่ผู้คนตลอดเวลา
แต่ อู่ฟ่งหยิ่งกลับได้เป็นเจ้าเมืองหลงเฉิน แม้ว่านางจะได้เป็นเจ้าเมืองหลงเฉินแล้ว แต่นิสัยที่อารมณ์ร้อนของนางยังคงไม่เปลี่ยน ยังคงอัดคนเพียงเพราะคำพูดที่ไม่เข้าหูคำเดียวเหมือนเดิม
สามารถจินตนาการได้ว่า ด้วยเจ้าเมืองสาวที่งดงามยากจะหาได้เทียมกลับซัดคนจนหมอบคลานกับพื้นได้อย่างง่ายดาย ด้วยท่าทางที่ดุดัน ต่อให้มีรูปโฉมที่งดงามเพียงใด มีรูปร่างที่น่าหลงใหลเช่นใดก็ต้องไร้ความสำคัญไปในทันที
ดังนั้น จึงมีผู้ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า หากอู่ฟ่งหยิ่งเป็นบุรุษก็คงดีหละนะ ในฐานะที่เกิดมาเป็นผู้หญิงที่สวยงามยากจะหาใดเทียมในหล้า กลับต้องเสียดายรูปโฉมที่งดงามในส่วนนี้ของนางไปน
เมื่ออู่ฟ่งหยิ่งปรากฏตัวออกมา ธิดาราชันฉีหลินที่เข้าใจนางก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้จะดีแล้ว
“นี่ ในลัคนาของเจ้ามีอะไรอยู่” เวลานี้อู่ฟ่งหยิ่งได้เข้าขวางและพูดกับหลี่ชิเย่
ผู้คนสามารถจินตนาการถึงภาพของสาวงามที่มีรูปโฉมงดงามล้ำเลิศแต่กลับทำตัวเหมือนบุรุษคนหนึ่งไปขวางผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้ ทั้งยังพูดจาหยาบคายได้หรือไม่?
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ แต่ไม่สนใจนาง
“นี่ เจ้าได้ยินมั้ย ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่!” เมื่ออู่ฟ่งหยิ่งเห็นหลี่ชิเย่ไม่สนใจตน จึงทำตาโตจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ทันที
เวลานี้หลี่ชิเย่จึงค่อยๆ หันมามองหน้านางทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ข้อแรก ข้าไม่ได้ชื่อนี่ ข้าชื่อหลี่ชิเย่ ข้อสอง ถ้าหากเจ้าต้องการขอคำชี้แนะปัญหาจากข้า พูดให้มันนุ่มนวลนิด สุภาพหน่อย ถ้าหากเจ้าอยากรู้เรื่องจริงๆ เจ้าเรียกข้าคุณชายคำหนึ่ง หรือเรียกข้าว่าปรมาจารย์”
อู่ฟ่งหยิ่งจ้องเขม็งหลี่ชิเย่อยู่พักหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง พูดจาทำไมเชื่องช้าอะไรอย่างนั้น เจ้าเป็นประเภทตุ๊ดรึ”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ ไม่ได้โกรธอะไร กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “เจ้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ทำไมพูดจาหยาบคายเช่นนี้ เจ้าเกิดผิดที่หรือ?”
“ไร้สาระ!” อู่ฟ่งหยิ่งทำท่าเท้าสะเอวทันที ร้องกล่าวเสียงดังว่า “พูดจาไร้สาระ! ใครเป็นคนกำหนดว่าผู้หญิงทำตัวหยาบคายไม่ได้!”
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “แล้วใครเป็นคนกำหนดให้ผู้ชายไม่สามารถพูดช้าๆ ได้? ”
“เจ้า…” อู่ฟ่งหยิ่งไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ในเวลานี้ เรื่องทะเลาะไม่ใช่เรื่องที่นางถนัดแน่นอน อาศัยปากที่พูดจาเชือดเฉือนเก่งนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่อย่างแน่นอน
“เชื่อหรือไม่ว่าข้านี่แหละจะอัดเจ้าจนใบหน้าบวมเป่งดุจหัวหมูได้!” ในขณะนี้ อู่ฟ่งหยิ่งเริ่มคลั่งขึ้นมาแล้ว คำรามเสียงทุ้มต่ำส่งหมัดฮุกเข้าทักทายใบหน้าของหลี่ชิเย่ทันที
“ปัง” เสียงหนึ่งดังขึ้น หมัดของอู่ฟ่งหยิ่งยังไม่ทันเข้าถึงใบหน้าของหลี่ชิเย่ก็ถูกขวางเอาไว้
ตามติดมาด้วยเสียงดัง “ปัง” อู่ฟ่งหยิ่งยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบได้ทัน ก็ถูกมือขนาดยักษ์ที่ไร้รูปสยบอยู่กับพื้น เสียงดัง “ปึก” ร่างของนางถูกสยบลงกระแทกกับดาดฟ้าเรืออย่างแรง
ทำเอาผู้คนจำนวนมากถึงกับตกใจ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่สยบอู่ฟ่งหยิ่งได้อย่างฉับพลัน เจ้าหมอนี่ช่างประหลาดเหลือเกิน ที่ทำให้ทุกคนต้องเสียวสันหลังวาบยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เจ้าหมอนี้ออกจะพาลเหลือเกิน ถึงกับเล่นจริงกับอู่ฟ่งหยิ่ง
“เล่นของจริงอย่างนั้นรึ เก่งจริงก็ปล่อยข้าก่อนสิ พวกเรามาสู้กันสักตั้ง!” อู่ฟ่งหยิ่งกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ยอมแพ้
หลี่ชิเย่เพียงมองหน้านางด้วยท่าทีที่เรียบเฉยยิ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ได้มาร้าย ดังนั้นข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก คราวหลังทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้ ต่อให้ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าก็จะจับเจ้าแก้ผ้าล่อนจ้อนแล้วค่อยโยนลงทะเลไป!”
กล่าวขาดคำ เรียกความคิดแวบหนึ่งกลับคืน มองหน้าอู่ฟ่งหยิ่งด้วยท่าทีเย็นชา หันหลังเดินจากไปทันที
“ไร้สาระ…” อู่ฟ่งหยิ่งถูกยั่วโมโหจนโกรธจัด กล่าวว่า “ใครจะจับใครแก้ผ้าจนล่อนจ้อนยังไม่แน่หรอกนะ แน่จริงก็อย่างเพิ่งไป พวกเรามาสู้กันสักครั้ง ดูซิว่าเป็นข้านี่แหละใช่หรือไม่ที่จับเจ้าแก้ผ้าจนล่อนจ้อน!”
พลันที่อู่ฟ่งหยิ่งพูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องงุนงง ผู้หญิงโดยทั่วไปต่อให้ใจกล้ามากกว่านี้ก็ไม่กล้าพูดคำๆ นี้ออกมา แต่นางกลับไม่ถือสาอะไรเลย
……………………………………………………