ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1880 การทำลายล้างโลกในตำนาน
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1880 การทำลายล้างโลกในตำนาน
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำเช่นนี้แล้ว ทำให้รู้สึกหนักอึ้งในใจ นาทีนี้ธิดาราชันฉีหลินจึงได้เข้าใจคำๆ หนึ่ง…ไม่รู้คือความสุข สิ่งที่นางไม่เคยนึกถึงในอดีต เวลานี้ได้รู้เรื่องนี้แล้ว นางมักจะรู้สึกว่ามีเงามืดที่วนเวียนอยู่บนโลกใบนี้อยู่ไม่สลายเสียที
“หรือเป็นเพราะเรื่องนี้คุณชายจึงกลับสู่โลกมนุษย์?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมา นัยน์ตาพลันสุกใสขึ้นมา และกล่าวว่า “การที่คุณชายกลับคืนสู่โลกมนุษย์ก็เพื่อทำลายแผนการทำลายล้างโลกนี้เสีย”
คำพูดของธิดาราชันฉีหลินพลันทำให้หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา เขาถึงกับใช้นิ้วดีดเบาๆ ที่จมูกโด่งของธิดาราชันฉีหลินไปทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “คำพูดของเจ้าออกจะตลกนิดหนึ่ง ข้าได้ยินแล้วรู้สึกขำ”
“หรือไม่ใช่?” ธิดาราชันฉีหลินตะลึงนิดหนึ่ง นางยังเข้าใจว่าตัวเองต้องทายถูก จะอย่างไรเสีย เฉกเช่นหลี่ชิเย่ผู้ดำรงอยู่ในระดับสูงสุดเช่นนี้ไม่น่าจะปรากฎตัวและท่องไปบนโลกมนุษย์โดยไร้เหตุผล
“นังหนู เกรงว่าทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้วหละ” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่ดั่งที่เจ้าจินตนาการเอาไว้ ข้าไม่ใช่พระเจ้าที่มาช่วยชาวโลก การที่ข้าท่องไปในโลกมนุษย์ไม่ได้เพื่อทำลายแผนการล้างโลกอะไรนั่น”
“เช่นนั้นแล้วคุณชายมาเพื่อกิจอันใด?” ธิดาราชันฉีหลินลังเลนิดหนึ่ง แต่ก็รวบรวมความกล้าขึ้นมาและถามออกไปในที่สุด ทั้งที่เป็นปัญหาที่ในฐานะผู้เยาว์ไม่ควรถาม
หลี่ชิเย่มองดูใบหน้าที่ยอดเยี่ยมในหล้าของธิดาราชันฉีหลิน มองดูนัยน์ตาที่เปี่ยมด้วยความกระหายต้องการรู้คู่นั้น ถึงกับพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “โลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลกอะไรนั่น อย่างน้อยไม่ใช่ข้า ข้าเป็นเพียงผู้ที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น”
ธิดาราชันฉีหลินฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วจะว่าเข้าใจก็ไม่เชิง นางยังคงจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
“ชาตินี้ของข้า หาใช่เพื่อต้องการทำลายแผนการล้างโลกอะไรนั่น ข้าเพียงต้องการสู้ถึงที่สุด สู้จนถึงวันสิ้นโลก” หลี่ชิเย่มองดูนัยน์ตาคู่นั้นของธิดาราชันฉีหลิน แล้วทอดถอนใจออกมาเบาๆ
“การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้าย…” คำพูดของเขาทำให้ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินต้องสั่นเทานิดหนึ่ง หัวข้อสนทนานี้หนักเกินไป นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา ไม่มีใครสามารถกลับมาจากที่ตรงนั้นได้
เริ่มตั้งแต่ยุคบุกเบิกของราชันสวรรค์หุ้นหยวน ไปถึงราชันเทพจงหนาน ราชันเซียนเฟยที่ปราดเปรื่องยากจะหาใดเทียม มาถึงผู้ที่พลันลงมือทำก็สร้างความตื่นตะลึงโลกาอย่างราชันเซียนกู่ฉุน มาถึงผู้ที่ทำตัวเงียบเชียบอย่างราชันเซียนหมิงเหริน กระทั่งถึงสุดท้ายราชันเซียนฉวี่เจิน ที่ทำการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่า ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถกลับมาจากที่ตรงนั้น ไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่ชนะสงครามเช่นนั้นได้
เวลานี้หลี่ชิเย่ปรากฎตัวบนโลกมนุษย์ก็เพื่อการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายที่อยู่ในตำนาน ซึ่งสร้างความหวั่นไหวให้กับธิดาราชันฉีหลินจนต้องเหม่อลอยอยู่เป็นเวลานาน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาแล้วถึงกับเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “แล้วเรื่องทำลายล้างโลกหละ? เพราะอะไรจอมราชันเซียนหวังจึงยอมก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย แต่กลับไม่มีใครสนใจเรื่องทำลายล้างโลก?”
“ในนั้นสลับซับซ้อนมากแล้วหละ เรื่องบางสิ่งอยู่เหนือความคาดคิดของเจ้าไปมาก” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะ และส่ายตัวเบาๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้ใช่ว่าเจ้าบอกว่าทำลายล้างโลกก็คือทำลายล้างโลกอย่างนั้น และก็ไม่ใช่เจ้าคิดว่าจะมีการทำลายล้างโลกก็ต้องมีการทำลายล้างโลก”
“ที่ว่าทำลายล้างโลกนั้น เป็นเพียงมุมมองของข้าเองเท่านั้น” หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มกล่าวขึ้นมา
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับโล่งอกไปทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ แต่ว่า คำพูดต่อจากนี้กลับทำให้หัวใจของธิดาราชันฉีหลินต้องสั่นเทาทีหนึ่ง
“แต่ นี่เป็นเรื่องจริง” หลี่ชิเย่ขยี้ผมของธิดาราชันฉีหลินเบาๆ และเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ถ้าหากเจ้าคิดจะเฝ้าหวังล่ะก็ ให้หวังว่าการทำลายล้างโลกจะไม่มาถึงในขณะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็จะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดหลังจากที่ตนเองได้ตายไปแล้ว ไม่ต้องสนใจว่าน้ำจะท่วมอย่างรุนแรงหรือไม่อย่างไร”
“ถ้าหากเป็นเรื่องจริง ทำไมจึงไม่มีจอมราชันเซียนหวังไปยับยั้งเล่า?” ธิดาราชันฉีหลินเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่มีวันได้รู้อยู่แล้ว จอมราชันเซียนหวังได้ทำอะไรมาบ้าง เบื้องหลังท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาได้ซ่อนความลับอะไรเอาไว้บ้าง สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่หาใช่สิ่งที่เจ้าสามารถรับรู้ได้ บางทีหลังจากเจ้าได้สืบทอดชะตาฟ้าสิบสายแล้ว คงมีโอกาสอยู่ระดับหนึ่งที่จะได้รับรู้ถึงความลับที่อยู่เบื้องหลัง” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย
“หรือว่าการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายสำคัญมากกว่าสถานการณ์ล้างโลกอย่างนั้นรึ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางได้ฟังเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่านางไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายคืออะไร ทำไมถึงได้มีจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากก้าวสู่เส้นทางสายนี้
“การทำลายล้างโลกมันก็แค่เรื่องรองของการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น” หลี่ชิเย่มองดูนางทีหนึ่งและกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าสามารถเอาชนะการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายได้ เช่นนั้นแล้วการทำลายล้างโลกก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น ล้างโลกอะไรนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง ในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายได้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลกับการทำลายล้างโลกอะไรนั่นอีกเลย!”
คำพูดเช่นนี้พลันเท่ากับตรงกับจินตนาการของธิดาราชันฉีหลิน ภายในใจของนางไม่มีสิ่งใดน่าสยดสยองไปกว่าการทำลายล้างโลก และทำให้ต้องกังวลงยิ่งกว่าอีกแล้ว เวลานี้ หลี่ชิเย่กลับบอกว่าการทำลายล้างโลกเป็นเพียงเรื่องรองของการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
แม้แต่การทำลายล้างโลกยังเป็นได้แค่เรื่องรอง เช่นนั้นแล้ว การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไรกันนะ? ทำให้ธิดาราชันฉีหลินตกอยู่ในปริศนาที่ลึกล้ำมาก
“คุณชายทำเพื่อช่วยเหลือโลก” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาแล้วถึงกับเอ่ยว่า “เมื่อคุณชายเอาชนะศึกการปราบปรามครั้งสุดท้ายได้ ย่อมเท่ากับเป็นการทำลายสถานการณ์การทำลายล้างโลกได้ ก็เท่ากับได้ช่วยเหลือสรรพชีวิตเอาไว้”
“เจ้ามองว่าข้ายิ่งใหญ่เกินไปแล้ว” หลี่ชิเย่ถึงหัวเราะและส่ายไปมา กล่าวว่า “ข้าจะสู้ไปถึงสุดปลายทางของโลก นั่นเป็นเพราะข้าต้องการคำตอบๆ หนึ่งเท่านั้นเอง แค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องการช่วยเหลือโลกไม่ใช่หน้าที่ของข้า” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาได้มองไปยังที่ที่ห่างไกลมากๆ สายตานั้นดูลึกล้ำยิ่งนัก
ธิดาราชันฉีหลินนิ่งเงียบ เนื่องจากสิ่งที่นางได้ยินได้ฟังในวันนี้ได้เกินกว่าจินตนาการของนางไปมากทีเดียว และออกนอกกรอบความรู้ที่นางมีมาในอดีต
หลังจากนิ่งเงียบนานมากแล้ว ธิดาราชันฉีหลินทนต่อความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่ภายในใจไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “หากว่าในโลกยังคงมีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคหลงเหลืออยู่ แล้วมันไปอยู่ในมือของใครนะ?”
ในอดีต สิ่งที่นางได้ยินมามากที่สุดก็คือชุดตัวอ่อนเซียนแท้จริง ส่วนอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคนางเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้นางยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครครอบครองสิ่งของเช่นนี้มาก่อน
“เรื่องแบบนี้อย่าไปรับรู้จะดีกว่า” หลี่ชิเย่เหลือบตามองนางทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องรู้แล้วไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้า อีกอย่าง เรื่องนี้หาใช่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรจะต้องเป็นห่วง ถ้าหากเจ้าได้กลายเป็นเซียนหวังแล้ว และได้สืบทอดชะตาฟ้าสิบสายขึ้นไป บางทีอาจจะไปทุกข์ใจกับมันได้บ้าง มิฉะนั้นล่ะก็ แม้ว่าเจ้าจะได้เป็นเซียนหวังไปแล้ว หากไม่ได้มีชะตาฟ้าตั้งแต่สิบสายขึ้นไป มันก็แค่เหมือนถูกบังคับให้ไปเป้ารับกระสุนเท่านั้นเอง”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำ จอมราชันเซียนหวังที่ไม่ได้มีชะตาฟ้าตั้งแต่สิบสายขึ้นไป เป็นได้เพียงเหมือนถูกบังคับให้ไปเป็นเป้ารับกระสุนเท่านั้นเอง ช่างเป็นคำพูดที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน
ในมุมมองของผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองว่า จอมราชันเซียนหวังคือผู้บงการของยุคสมัยหนึ่ง ต่อให้จอมราชันเซียนหวังมีการแบ่งแยกว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อย แต่ว่า ก็เป็นอะไรที่พวกเขาไม่สามารถเอื้อมไปถึง เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าจอมราชันเซียนหวังแล้ว ยอดฝีมือในหล้าเป็นได้แค่มดปลวกเท่านั้น
เวลานี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าจอมราชันเซียนหวังที่ไม่ได้ครอบครองชะตาฟ้าตั้งแต่สิบสายขึ้นไปก็แค่เป็นผู้ที่ไปเป็นเป้ารับกระสุนเท่านั้น คำพูดลักษณะเช่นนี้ไม่ว่าใครได้ยินแล้วก็ไม่เชื่อ แต่ ธิดาราชันฉีหลินกลับเชื่อเรื่องนี้!
“เอาหละ นังหนู อย่าไปคิดให้มันมากมาย” หลี่ชิเย่ขยี้ผมของธิดาราชันฉีหลินเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้าพยายามฝึกฝนให้ดีก็แล้วกัน รอให้เจ้าแข็งแกร่งจนถึงระดับนั้นแล้ว ค่อยมาเป็นห่วงกับปัญหาที่ยาวไกลก็ยังไม่สาย”
ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกมีเหตุผล เมื่อได้รับคำปลอบโยนเช่นนี้จากหลี่ชิเย่ ในโลกนี้ยังมีจอมราชันเซียนหวังอยู่เป็นจำนวนมาก ยังมีราชันซื่อตี้ ราชันเทพชิงมู่พวกเขาที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ยังมีจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนคอยค้ำเอาไว้ ยังไม่จำเป็นต้องให้ผู้เยาว์อย่างพวกเขามาคอยทุกข์ใจกับเรื่องนี้
ธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ติดตามหลี่ชิเย่เดินทางกลับไป
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่กลับไปถึงเรือนิรันดรแล้ว ความที่เป็นห่วงในอาการบาดเจ็บของอู่ฟ่งหยิ่ง ธิดาราชันฉีหลินจึงกล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “คุณชาย ข้าขอไปเยี่ยมเจ้าเมืองอู่ ดูว่าอาการของนางดีขึ้นแล้วยัง”
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ และกล่าวว่า “เจ้าไปบอกต่อนังหนูนั่น ทางที่ดีจงทำตัวเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย อย่าได้มาหาเรื่องกับข้า หากทำให้ข้าโกรธขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะสังหารนางเสีย”
“ข้าต้องหว่านล้อมนางแน่นอน” ธิดาราชันฉีหลินยิ้มเจื่อนๆ ด้วยนิสัยความดื้อรั้นหัวแข็งชอบเอาชนะของอู่ฟ่งหยิ่งไหนเลยจะหว่านล้อมได้ง่ายดาย แต่ว่าธิดาราชันฉีหลินก็ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ นางได้แต่หวังว่าหลังจากที่อู่ฟ่งหยิ่งได้รับบทเรียนในครั้งนี้แล้ว สามารถเข้าใจได้ว่ามีคนบางคนที่นางไม่สามารถไปหาเรื่องได้
หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับมาถึงเรือนิรันดรแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นหน้าเขา กระทั่งออกห่างจากหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ ไม่กล้าเข้าไปอยู่ใกล้ตัวของเขา
เนื่องจากเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่ได้แพร่กระจายไปทั่วเรือนิรันดรแล้ว ดังนั้น เวลานี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าไปหาเรื่องกับหลี่ชิเย่ หากไปหาเรื่องกับคนที่ชั่วร้ายผิดปรกติเช่นนี้เข้า มันคือการรนหาที่ตายเองชัดๆ
“พี่หลี่ ยินดีด้วย ยินดีด้วย” ในขณะที่หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้กลับไปถึงที่พักของตน ได้มีคนผู้หนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน เขาแสดงคารวะแบบจีนกล่าวแสดงความยินดีต่อหลี่ชิเย่ ว่า “พี่หลี่ได้รับสุดยอดของวิเศษในหล้า นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง น่ายินดีอย่างยิ่ง”
คนที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันไม่ใช่ใครอื่นไกล คือทารกมังกรหลวงที่ทำเป็นพูดจาด้วยบุคลิกลักษณะอันอาจหาญ แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานกลับถอนตัวนั่นเอง
หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าทารกมังกรหลวงทีหนึ่ง ขี้คร้านจะไปสนใจเขา
แต่ว่า ทารกมังกรหลวงไม่ใส่ใจในท่าทีของหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย ยังคงทำหน้าด้านเดินตามหลังหลี่ชิเย่ต่อไป กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “พี่หลี่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า วิทยายุทธยากจะหาผู้ใดเทียม ท่วงท่าของพี่นับว่าเป็นที่เคารพเลื่อมใสของน้อง ความไร้เทียมทานของพี่ดั่งสายน้ำที่ไหลไปไม่ขาดสายสำหรับน้อง” ทารกมังกรหลวงเดินตามหลังหลี่ชิเย่และพูดประจบสอพลอหลี่ชิเย่เป็นการใหญ่
หลี่ชิเย่หยุดเดินและมองหน้าเขาอย่างเย็นชาทีหนึ่ง และกล่าวว่า “มีอะไรก็รีบว่ามา มีลมก็รีบผาย!”
ทารกมังกรหลวงทำท่าถูมือไปมา ยิ้มแต้และกล่าวว่า “การที่พี่หลี่ได้สุดยอดของวิเศษในหล้ามาเรียกได้ว่ายากจะหาผู้ใดเทียมในหล้า เป็นที่อิจฉาของผู้คน เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเลย”
“เชื่อหรือไม่ว่า ข้าจับเจ้าโยนลงไปจากเรือนิรันดรไปเลี้ยงเต่า” หลี่ชิเย่กล่าวน่าเกรงขามออกมา
“ไม่ ไม่ ไม่” ทารกมังกรหลวงรีบเร่งกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า “พี่หลี่อย่าเข้าใจผิด อย่าได้เข้าใจผิด น้องไม่ได้มีอะไร เพียงต้องการทำการค้ากับพี่หลี่เท่านั้นเอง”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ทารกมังกรหลวงยิ้มกล่าวว่า “น้องเองนับว่าเป็นคนที่ทำการค้าอยู่ครึ่งตัว ทำการซื้อขายเล็กน้อยอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ ที่ทำไปล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าระดับสูง พี่หลี่ย่อมจะเข้าใจได้ สินค้าทั่วไปข้าไม่ทำอยู่แล้ว ลูกค้าที่อยู่ในมือของข้าล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลยอดเยี่ยมของยุคนี้ทั้งสิ้น”
………………………………………………………………………