ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1886 สันเขาถัวหลิ่ง
การที่ธิดาราชันฉีหลินหลุดปากพูดคำๆ นี้ออกมาไม่นับเป็นเรื่องแปลก เป็นเรื่องปรกติของมนุษย์เท่านั้นเอง เปลี่ยนเป็นคนหนึ่งคนใดก็ตาม วินาทีแรกต้องพบกับมหันตภัย สิ่งที่คิดถึงก็คือรักษาชีวิต การกระทำในลักษณะเช่นนี้ไม่มีอะไรน่าตำหนิอยู่แล้ว
“ถูกต้อง รักษาชีวิต” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นี่คือเรื่องปรกติของมนุษย์ เปลี่ยนเป็นคนอื่นๆ ก็จะทำเช่นนี้กันเป็นจำนวนมาก”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับนิ่งเงียบ ท่าทางดูจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
ธิดาราชันฉีหลินที่มองเห็นท่าทีของหลี่ชิเย่แล้วรู้สึกรู้สึกกังวลไม่เป็นสุข เอ่ยถามเบาๆ ว่า “คุณชาย หรือว่าข้าพูดอะไรผิดหรือ?” หลี่ชิเย่เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มเฉยเมย ส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่ เจ้าพูดไม่ผิด ในยามที่เกิดภัยพิบัติการรักษาชีวิตรอดเป็นสัญชาตญาณ สิ่งมีชีวิตล้วนแล้วแต่ทำเช่นนี้ สิ่งนี้ไม่มีอะไรต้องตำหนิ แต่ว่า ถ้าหากภัยพิบัติมาถึงจริงๆ ล่ะก็ การรักษาชีวิตรอดจะไม่ง่ายดายเพียงนั้น คิดจะรักษาตนเองให้รอดปลอดภัยไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทน”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้ ได้มองออกไประยะห่างไกล แววตาของเขากลับกลายเป็นล้ำลึกยิ่งนัก
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความงงงวยให้กับธิดาราชันฉีหลินอยู่บ้าง คำพูดนี้ลึกซึ้งมากเกินไปกระทั่งนางไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินทีหนึ่ง และกล่าวว่า “อย่าได้เฝ้าปรารถนาว่าจะมีพระเจ้าช่วยโลกอะไร โดยเฉพาะช่วงที่โลกแตก ประเภทที่เรียกว่าพระเจ้าช่วยโลกมักจะเป็นเพียงสู้เพื่อตัวเองเสมอๆ คนที่ไม่บูชายันต์ฟ้า ไม่บูชายันต์ดิน ไม่บูชาสิ่งมีชีวิตต้องนับว่าสุดยอดมากแล้ว คนประเภทนี้เรียกได้ว่ามีคุณธรรมสูงส่งและบริสุทธิ์แล้ว”
“บูชายันต์ฟ้า บูชายันต์ดิน บูชายันต์สิ่งมีชีวิต!” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพึมพำเสียงแผ่วเบาออกมา พยายยามทบทวนคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด แล้วนึกไปถึงเรื่องที่หลี่ชิเย่ได้เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้า นางคาดเดาถึงความน่าจะเป็นที่สยดสยองยิ่งเรื่องหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาแล้ว นางถึงกับมีร่างที่สั่นเทาทีหนึ่ง
ในพริบตาเดียวนี้เอง ธิดาราชันฉีหลินจึงเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วว่า เพราะอะไรหลี่ชิเย่จึงได้พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “อย่าได้คาดหวังว่าจะมีพระเจ้าช่วยโลกอะไรนั่น!” พริบตาเดียวนี่เอง ธิดาราชันฉีหลินได้นึกถึงเรื่องราวที่น่าสยดสยองยิ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ทำให้ถึงกับต้องตัวสั่นดั่งลูกนกเลยทีเดียว
“เอาหละ พวกเราอย่านอกเรื่องไปไกลนัก” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “การที่สามารถเกิดต้นหญ้าที่เหลืองเฉาในฝอเหย่นั้น เป็นเพราะเคยมีผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแต่ละคนคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ที่ตรงนี้ มีสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ที่มีความศรัทธาที่มั่นคงอยู่ที่ตรงนี้ พลังปกป้องบวกกับพลังศรัทธามหาศาล ทำให้ที่ตรงนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา…
“…แต่ว่า พลังทำลายล้างนั้นไม่สามารถจินตนาการได้ และไม่สามารถทำลายแก้ไขได้ ต่อให้มีพลังปกป้องที่แข็งแกร่งมากกว่านั้น ความศรัทธาที่มหาศาลมากกว่านั้น ก็ไม่สามารถรักษาโลกนี้เอาไว้ได้ ต่อให้ต้นหญ้านั่นก็เป็นการฝืนมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง ต้นหญ้าพวกนี้เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ดังนั้น จึงมีลักษณะที่แตกต่างจากโลกภายนอก พวกมันเกิดมาพร้อมกับความไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด ถูกลงโทษ”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับจินตนาการไปไกล นี่เป็นยุคสมัยที่แข็งแกร่งเพียงใด บนผืนแผ่นดินแห่งนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเช่นใดอาศัยอยู่ แต่ สุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง
“ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปยังสันเขาถัวหลิ่งกัน” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ กับธิดาราชันฉีหลิน และเดินหน้าต่อไป
สันเขาถัวหลิ่งถือว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองตี้ฮว่ามากนัก แค่หนึ่งแสนลี้เท่านั้นเอง แต่ว่า สันเขาถัวหลิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝอเหย่เท่านั้น ต้องข้ามสันเขาถัวหลิ่งไปแล้วจึงจะถือว่าได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของฝอเหย่ได้อย่างแท้จริง
สันเขาถัวหลิ่งเป็นภูเขาสูงลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีความยิ่งใหญ่มาก ทอดยาวต่อเนื่องนับพันลี้ ที่ทำให้ผู้คนต้องหวั่นไหวมากไปกว่านั้นหาใช่ความยิ่งใหญ่ของสันเขาถัวหลิ่ง แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนสันเขาถัวหลิ่ง
บนสันเขาถัวหลิ่งมีเศษซากปรักหักพังของผนังจำนวนนับไม่ถ้วน ทอดสายตามองออกไป สุดลูกหูลูกตา วิหารวัดเก่าแก่โบราณแต่ละหลัง ซึ่งอดีตเคยกว้างขวางโอ่อ่ายากจะหาใดเทียม เจดีย์บางแห่งกระทั่งมีความสูงถึงเหมื่นจ้าง แค่เสาต้นหนึ่งก็ทะลุไปถึงสวรรค์
เพียงแต่วิหารวัดโบราณเหล่านี้ได้พังครืนลงมาแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงผนัง และซากปรักหักพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง อิฐและกระเบื้องแตกหักมีอยู่ทุกพื้นที่ ภาพที่ปรากฎอยูตรงหน้าเป็นเพียงโลกที่แตกหักโลกหนึ่งเท่านั้นเอง
เมื่อมองดูโลกที่แตกหักตรงหน้านี้แล้ว สามารถจินตนาการได้ว่ามันเคยยิ่งใหญ่เพียงใด มันเคยมีความคึกคักเช่นใด บางทีสถานที่แห่งนี้อาจะเคยเป็นโลกของแคว้นพระพุทธมาก่อน ที่ตรงนี้เคยมีภิกษุจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ที่ตรงนี้ เสียดาย ท้ายที่สุดแล้วยังคงกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกเลย
ที่สันเขาถัวหลิ่งมีทางที่เป็นบันไดหินทอดยาวจากด้านล่างของสันเขาถัวหลิ่งต่อเนื่องขึ้นไปจนถึงยอดเขา
ขณะที่หลี่ชิเย่พาธิดาราชันฉีหลินมาถึงด้านล่างของสันเขาถัวหลิ่ง ขณะยืนอยู่ด้านหน้าบริเวณบันไดหินที่ทอดยาวต่อเนื่องขึ้นไปด้านบน มองดูบันไดหินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปถึงสวรรค์อย่างนั้น แม้ว่าบันไดหินนี้จะไม่ได้มีประกายเซียนและเสียงเทศนาธรรม แต่ว่า เมื่อมองดูบันไดหินแล้ว ทันใดนั้นได้บังเกิดมโนภาพขึ้นมา เหมือนว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ตรงนี้กราบสามครั้งคำนับเก้าครั้ง คุกเข่าคำนับแล้วก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ
“ข้า ข้าเหมือนมองเห็นมโนภาพ” ธิดาราชันฉีหลินพูดอย่างไม่มั่นใจอะไรนัก เนื่องจากนางที่ก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเกิดมโนภาพได้โดยง่ายดาย จะอย่างไรเสียจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนางจะมั่นคงมาก ไม่ถูกมโนภาพอะไรมาทำให้สับสนได้โดยง่าย
“นี่เป็นเรื่องปรกติ” หลี่ชิเย่พูดเรียบๆ ขึ้นมาว่า “ถ้าหากว่าเจ้าเกิดในยุคสมัยนั้น ยามที่เจ้ายืนอยู่ที่ตรงนี้ อย่าว่าแต่ทักษะยุทธเช่นเจ้าเลย ต่อให้เป็นถึงระดับจอมเทพระดับล่าง เกรงว่าคงคุกเข่าอยู่ที่ตรงนี้นานแล้ว…”
“…สยบทั้งกายทั้งใจนานแล้ว ยินดีที่จะกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้งด้วยความเลื่อมใสศรัทธาทั้งกายและใจ และคุกเข่ากราบขึ้นไปทีละขั้นๆ เพียงแต่ระยะเวลาผ่านมายาวนานมาก การทำลายที่รุนแรงมาก ได้ลบล้างอำนาจการโปรดและสอนสั่งของที่นี่ไปเท่านั้นเอง มิฉะนั้นล่ะก็ การที่เจ้ายืนอยู่ตรงนี้คงถูกโปรดและสอนสั่งจนกลายเป็นภิกษุณีของสำนักไปแล้ว”
“หนึ่งความคิดโปรดและสอนสั่งนี่เป็นวิชามารรึ?” ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินถึงกับบังเกิดความกลัวขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่
“จะเป็นวิชามารได้อย่างไรกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “นี่มันเป็นสัจธรรมที่สง่าผ่าเผย ถ้าหากเปรียบเคล็ดวิชาจอมราชันของพวกเรา เท่ากับมันคือความหมายที่ลึกซึ้งสูงสุดของเคล็ดจอมราชัน มันสามารถหนึ่งความคิดโปรดและสอนสั่งได้ นั่นเป็นเพราะความเชื่อของสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน มันไม่ใช่เป็นพลังที่บังคับลงบนตัวของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความเชื่อของสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่สั่งสมมายุคแล้วยุคเล่า…”
“…สิ่งมีชีวิตนับล้านล้าน ความเชื่อยุคแล้วยุคเล่า ท่ามกลางความเชื่อเปี่ยมด้วยความเวทนา ความไม่เห็นแก่ตัว ความเมตตากรุณา ความสงบสุข ความเชื่อลักษณะเช่นนี้เกิดจากการสั่งสมมายุคแล้วยุคเล่า หลังจากผ่านการสั่งสมมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ปณิธานของคนๆ หนึ่งที่วางเอาไว้ตรงนี้มันก็แค่เม็ดข้าวเม็ดหนึ่งกลางมหาสมุทรเท่านั้น ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง เมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางความเชื่อเช่นนี้ มันก็แค่หยดน้ำเล็กๆ ท่ามกลางน้ำทะเลในมหาสมุทร เจ้าที่อยู่ตรงนี้ทำได้แค่ล่องลอยไปตามน้ำเท่านั้นเอง”
“ความเชื่อก็เป็นสัจธรรมได้รึ?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว นับว่าได้เข้าใจอะไรบางอย่างจนได้
“ได้สิ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเชื่อในสัจธรรมของข้า ข้าก็จะให้ความคุ้มครองกับเจ้า ใช่ว่าข้าคือพระเจ้าที่ช่วยโลกของเจ้า แต่เป็นการต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น”
“ดังนั้น จึงมีพลังปกป้องเช่นนี้ในฝอเหย่ มีพลังความศรัทธา” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำอธิบายจากหลี่ชิเย่แล้ว จึงเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรฝอเหย่จึงแตกต่างกับที่อื่นๆ
“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ ไปจุดธูปสักดอก” หลี่ชิเย่กล่าวต่อธิดาราชันฉีหลิน
ธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไป แต่ว่าภายในใจของนางรู้สึกแปลกๆ นางอ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“นังหนู มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ” หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของธิดาราชันฉีหลินที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“คุณชายก็มีวันที่เคารพนับถือคนอื่นด้วยรึ?” ธิดาราชันฉีหลินไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรดี แต่ว่า สุดท้ายยังคงพูดออกมาตรงๆ
จะอย่างไรเสีย ในมุมมองของธิดาราชันฉีหลินมองว่า เฉกเช่นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอย่างหลี่ชิเย่ ตัวเขาเองได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว ในโลกนี้ยังจะมีใครที่สมควรให้เขาไปเคารพสักการะแล้ว
“นี่เป็นการแสดงความเคารพต่อปรัชญาเมธี” หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลิน และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แม้จะกล่าวว่า ในโลกนี้ไม่ได้มีพระเจ้าช่วยโลก แต่ยังคงมีผู้กล้าแต่ละคนที่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด หรือวันสิ้นโลก พวกเขาก็จะไม่ทรยศต่อความตั้งใจแรกเริ่มของตน ดังนั้น พวกเขาจึงควรค่าแก่การให้ผู้คนเคารพ
“ไม่ทรยศต่อความตั้งใจแรกเริ่มของตน” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพึมพำออกมา
“เจ้าคิดว่าความตั้งใจแรกเริ่มของผู้บำเพ็ญตนคืออะไร?” ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินกำลังทำความเข้าใจอย่างละเอียดอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้มองหน้าและเอ่ยขึ้นมา
ธิดาราชันฉีหลินนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง คำถามนี้นับว่าเป็นคำถามที่นางตอบไม่ได้ กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว ความตั้งใจแรกเริ่มคงต้องการเป็นจอมราชันเซียนหวัง
“สู้รบถึงที่สุด” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ยามเมื่อเจ้าก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ เป็นการบ่งบอกแล้วว่าเจ้าจะต้องสู้รบจนถึงที่สุด ขณะที่เจ้ายังอ่อนแอ เจ้าต้องการกลายเป็นผู้เข้มแข็ง ต้องการต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่า ต่อเมื่อแข็งแกร่งแล้ว เจ้าก็จะต่อสู้กับตนเอง ต่อสู้กับสวรรค์ เจ้าต้องการกระโดดออกจากพันธนาการของโลกนี้! ดังนั้น เจ้าจะต้องสู้ให้ถึงที่สุด”
“แต่ว่า ระหว่างทางมีคนคอยประนีประนอม ใช่ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่สามารถสู้จนถึงที่สุดได้ เคยมีผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่ยิ่งใหญ่ยากจะหาใดเทียม แต่ ท้ายที่สุดแล้วกลับทอดทิ้งความตั้งใจแรกเริ่มของตนไป ยอมรับการประนีประนอมกลางทาง ขณะที่มีคนบางส่วนกลับต่อสู้จนถึงที่สุด แม้ตัวตายชีพสลายก็ไม่เคยนึกเสียใจ ดังนั้น พวกเขาจึงคู่ควรให้ผู้คนเคารพ…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “นี่แหละคือเพราะอะไรจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจึงมีความสำคัญ ขอเพียงเจ้ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง เจ้าจึงสามารถสู้จนถึงที่สุดได้ ถ้าหากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าไม่มั่นคง ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ คงมีสักวันเจ้าก็ต้องกลายเป็นคนที่ตนเองเคยเกลียดคนนั้น”
“คนที่ประนีประนอมหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดใช่หรือไม่?” ในเวลานี้ ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินสั่นเทานิดหนึ่ง นางคาดเดาได้ลางๆ แล้ว ดังนั้นจึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้ ขณะที่นางถามคำถามนี้ออกไปเสียงของนางถึงกับสั่นเครือ เนื่องจากคำตอบนี้น่าตกใจยิ่งนัก เกรงว่าจะเป็นคำตอบที่ผู้คนจำนวนมากไม่ต้องการไปเผชิญหน้ากับมัน
“พวกเราขึ้นไปแสดงความคารวะเถอะ หนึ่ง คือคารวะต่อปรัชญาเมธี สอง ดูว่าสามารถได้รับความคุ้มครองจากหลิงเตี๋ยได้หรือไม่” หลี่ชิเย่ไม่ได้ตอบคำถามของธิดาราชันฉีหลิน เพียงก้าวเดินไปข้างหน้าและกล่าวขึ้นช้าๆ
……………………………………………………..