ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1890 ศาลเจ้าทองคำ
ชื่อของศาลเจ้าทองคำเต็มไปด้วยตำนานตลอดมา และเปี่ยมด้วยความยั่วยวน ผู้คนจำนวนเท่าไรที่มายังฝอเหย่จุดประสงค์ก็เพื่อศาลเจ้าทองคำ ผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่เคยฝันจะขนเอาของล้ำค่าเซียน ของวิเศษจากศาลเจ้าทองคำไปจนเกลี้ยงศาล
จังหวะแรกที่ธิดาราชันฉีหลินมองเห็นศาลเจ้าทองคำนั้น สายตาของนางพลันถูกของล้ำค่าต่างๆ ที่กองจนแทบจะไม่มีทีให้วางดึงดูดเอาไว้
สิ่งนี้จะไปโทษว่าธิดาราชันฉีหลินก็ไม่ถูก เกรงว่าใครก็ตามที่มาถึงที่ตรงนี้ก็ต้องถูกดึงดูดด้วยสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ตะเกียงที่ส่งประกายแวบวับหลากสีสัน กระบี่ปราบมารที่เปล่งประกายการฆ่าฟัน ยังมีดอกบัวที่เป็นหนึ่งในของวิเศษทั้งแปดซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของสรรพชีวิตทั่วหล้า…
ท่ามกลางของวิเศษหลากชนิดที่กองเต็มศาลเจ้าทองคำแห่งนี้ แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นที่ต้องตาต้องใจทั้งสิ้น หากสามารถได้ครอบครองชิ้นใดชิ้นหนึ่ง จะทำให้ผู้บำเพ็ญตนธรรมดาทั่วไปได้รับประโยชน์ไปชั่วชีวิต เรียกได้ว่ากลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับทอดถอนใจออกมา ขณะมองดูของวิเศษจำนวนมากมายของศาลเจ้าทองคำ ของวิเศษจำนวนมากมายขนาดนี้ไม่ด้อยไปกว่าคลังสมบัติของสายสำนักราชันเซียนใดๆ อย่างแน่นอน
ไม่ง่ายนัก กว่าธิดาราชันฉีหลินจะละสายตาจากของวิเศษหลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วนในศาลเจ้าทองคำได้ เมื่อนางมองดูศาลเจ้าทองคำอีกครั้ง สายตาของธิดาราชันฉีหลินไม่ได้ถูกดึงดูดโดยของวิเศษหลากหลายในศาลเจ้าทองคำอีกต่อไป
เมื่อนางมองดูศาลเจ้าทองคำอีกครั้ง นางพบว่าศาลเจ้าทองคำทุกหลังล้วนแล้วแต่มีพระอริยสงฆ์นั่งหลับตาอยู่องค์หนึ่ง ด้านหน้าของพระอริยสงฆ์แต่ละองค์จะมีปลาไม้ตั้งอยู่ มือหนึ่งถือไม้เคาะ อีกมือหนึ่งยกตั้งขึ้นอยู่ในท่าเคารพ เหมือนว่าพระอริยสงฆ์แต่ละองค์เหล่านี้กำลังเคาะปลาไม้และสวดมนต์อยู่
เพียงแต่ว่าพระอริยสงฆ์แต่ละองค์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มรณภาพไปแล้ว ร่างกายของพระอริยสงฆ์เหล่านี้ได้กลายสภาพเป็นสิ่งที่แข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก เหมือนหนึ่งได้กลายเป็นพระพุทธรูปแกะสลักไปแล้ว
นอกเหนือจากพระอริยสงฆ์แต่ละองค์ที่นั่งอยู่ตรงศาลเจ้าทองคำแล้ว บริเวณลานด้านหน้าของศาลเจ้าทองคำยังมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้ต่างนั่งกันกระจัดกระจายอยู่บนพื้น มือของพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในท่ามุทราและวางอยู่บริเวณท้อง หลับตาลงทั้งสองข้าง
เมื่อมองดูให้ละเอียดอีกครั้งจึงพบว่า บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่นั่งอยู่กับพื้นนั้นล้วนแล้วแต่เสียชีวิตไปแล้วทั้งสิ้น ในจำนวนนั้นยังเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนในยุคปัจจุบัน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกแปลกใจยิ่งนักและเอ่ยถามขึ้น เมื่อมองเห็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่นั่งอยู่กับพื้นด้านหน้าศาลเจ้าทองคำล้วนแล้วแต่ เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งยังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ด้วยท่าทีที่สงบและเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก
“ละโมบ” หลี่ชิเย่พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ศาลเจ้าทองคำใช่จะเป็นเพียงศาลเจ้าธรรมดาเท่านั้น มันคือสถานที่ที่สำหรับถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคต ถ้าหากเจ้าเข้าไปสถานที่แห่งนั้นพร้อมด้วยจิตที่ละโมบล่ะก็ อย่าหวังจะได้กลับออกมาได้อีกเลย”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดจบได้เหินฟ้าขึ้นและชี้นิ้วไปข้างหน้า และโจมตีถูกยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่งที่นั้งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าทองคำ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ได้เสียชีวิตมานานมากแล้ว เขานั่งหลับตาด้วยท่าเสียชีวิตที่สงบนิ่งอย่างยิ่ง
“ปุ…” จังหวะที่นิ้วของหลี่ชิเย่โจมตีใส่ร่างของผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ ผู้บำเพ็ญตนพลันกลายเป็นเถ้าธุลีไป เป็นการกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างไร้ร่องรอยที่แท้จริง เห็นเพียงร่างของเขาที่กลายเป็นผงทองปลิวกระจัดกระจายออกไป และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตาเดียว
สิ่งนี้ใช่ว่าเป็นเพราะหลี่ชิเย่อาศัยนิ้วเดียวในการทำลายร่างของเขา แต่เป็นเพราะร่างของเขาได้กลายเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้ว เพียงแต่ยังคงรักษาท่าทางเหมือนเดิมเท่านั้น เมื่อหนี่งนิ้วของหลี่ชิเย่ที่โจมตีเข้าร่างของเขาเพียงเบาๆ ก็แตกกระจายปลิวหายไป
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตกใจอย่างยิ่ง เมื่อมองเห็นร่างของคนผู้นี้ที่กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวกระจายออกไป
“มีผู้ที่จะไปรนหาที่ตายแล้วหละ” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่มองเห็นหัวคนที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าทองคำ ถึงกับยิ้มกล่าวเรียบเฉยออกมา
ความจริงแล้ว ผู้ที่มาอยู่ด้านหน้าของศาลเจ้าทองคำไม่ได้มีเพียงหลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากได้มาถึงก่อนหน้าแล้ว กระทั่งมีระดับจอมเทพที่ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนี้
ผู้ที่มายังศาลเจ้าทองคำล้วนแล้วแต่มาเพื่อหลากหลายสมบัติล้ำค่าของศาลเจ้าทองคำทั้งสิ้น แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดสามารถทำได้สำเร็จมาก่อน
“ข้าไม่เชื่อว่ามันจะชั่วร้ายผิดปรกติ!” ในขณะนี้ ได้มีผู้บำเพ็ญตนในชุดยาวสีม่วงแบบมารผู้หนึ่งร้องกล่าวเสียงดังออกมา คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเผ่ามาร บริเวณหน้าผากของเขาปรากฎเป็นสัญลักษณ์รูปเทียนฉวน สัญลักษณ์เทียนฉวนเปล่งประกายแวบวับออกมา บ่งบอกว่าเขานั้นมีความแข็งแกร่งยิ่งแล้ว
เมื่อยอดฝีมือผู้นี้มองเห็นสมบัติมากมายจำนวนนับไม่ถ้วนในศาลเจ้าทองคำแล้ว ในที่สุดอดทนต่อไปไม่ไหว จึงได้ก้าวเดินออกมาก้าวหนึ่ง ก้าวเท้าเข้าไปบริเวณศาลเจ้าทองคำ
“แว้งค์” เสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะที่ยอดฝีมือผู้นี้ก้าวเท้าเขาไปยังบริเวณศาลเจ้าทองคำนั้น ชุดยาวมารสีม่วงที่เขาสวมใส่อยู่พลันเปล่งรัศมีมารขึ้นมา รัศมีมารแต่ละวงหมุนวน เหมือนเป็นกงล้อศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองตัวเขาอย่างนั้น
ชุดยาวมารสีม่วงตัวนี้นับเป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากชิ้นหนึ่ง ดังนั้น เมื่อได้รับความคุ้มครองจากชุดยาวมารสีม่วงนี้แล้ว เขาจึงมีความปลอดภัยมากขึ้น
หลังจากที่ยอดฝีมือก้าวเท้าเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำแล้ว ปรากฎว่ายังคงปลอดภัยโดยสิ้นเชิง ไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น และไม่มีสิ่งอัปมงคลเกิดขึ้นกับตัวของเขา
“ศาลเจ้าทองคำก็แค่นี้เองแหละ เมื่อข้ามีชุดมารคุ้มครอง จะทำอะไรข้าได้” เมื่อยอดฝีมือผู้นี้เห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อยนิด ถึงกับหัวเราะเสียงดังและกล่าวด้วยความลำพองใจออกมา
“เจ้าโง่” ผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสที่เคยมายังสถานที่แห่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วนถึงกับหัวเราะเยาะ เมื่อเห็นท่าทีที่ลำพองใจของยอดฝีมือผู้นี้ มองดูเหตุการณ์ด้วยความเย็นชา
“สมบัติวิเศษเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของของข้า!” เมื่อยอดฝีมือผู้นี้มองเห็นสมบัติวิเศษที่กองเต็มศาลเจ้าแล้ว ทำให้ยอดฝีมือผู้นี้ดีใจสุดขีด วิ่งเข้าหาห้องของศาลเจ้าหลังนี้ หวังจะไปหยิบฉวยสมบัติวิเศษเหล่านั้น
จังหวะที่เขาวิ่งเข้าไปนั้นเอง ตัวของเขาพลันเหมือนแข็งทื่อไปทันที ท่วงท่าพลันเชื่องช้าเหมือนหนึ่งเป็นภาพช้าอย่างนั้น เหมือนร่างถูกแยกออกจากกันไป
“ไม่…” ทันใดนั้นเอง ยอดฝีมือผู้นี้ร้องเสียงดังออกมา ท่ามกลางเสียงที่ร้องออกมานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจและสิ้นหวัง จากนั้น ร่างของเขาเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมา
ได้ยินเสียง “แว้งค์” เห็นผู้บำเพ็ญตนผู้นี้เปล่งประกายออกมาทั่วร่าง เป็นประกายที่ดูใสและชัดเจนมากและละลานตายิ่งนัก ดูไปแล้วเหมือนเป็นแก่นของสรรพสิ่งอย่างนั้น
“จบแล้ว” ยอดฝีมือที่มากประสบการณ์เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว กล่าวขึ้นมาว่า “ถูกชิงเอาอกุศลกรรมไปเท่ากับละทิ้งกฎแห่งกรรมของตนไป หรือเท่ากับมรณะ”
มองเห็นประกายที่ใสและชัดเจนนี้ถูกศาลเจ้าทองคำดูดเอาไป เสมือนหนึ่งไปหล่อเลี้ยงศาลเจ้าทองคำอย่างนั้น หลังจากที่ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ถูกแยกเอาประกายสายนี้ออกไปแล้วพลันแลดูสงบนิ่งอย่างยิ่งในทันที กลายเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธา เขาค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ กับพื้น แสดงท่ามุทรา จากนั้นค่อยๆ หลับตาทั้งสองลง และเสียชีวิตไปอย่างสงบ
“นี่ นี่มันน่าสยดสยองยิ่งเกินไปกระมัง” ผู้ที่เพิ่งจะได้มองเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก ถึงกับต้องสั่นเทาขึ้นมา ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการฆ่าสังหาร ยอดฝีมือผู้หนึ่งต้องตายลงอย่างสงบ เหมือนว่ามีมือใหญ่ที่ไร้รูปมาพร่าเอาชีวิตของเขาไปอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วก็ต้องตัวสั่นเหมือนลูกนก
“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้หละ?” ธิดาราชันฉีหลินยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เห็น ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ถูกพร่าเอาชีวิตไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นมีใครลงมือ เพราะอะไรยอดฝีมือคนหนึ่งถึงกับต้องตายอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงเช่นนี้
“นี่เป็นยุคสมัยที่ว่ากันด้วยเรื่องของกฎแห่งกรรม พูดถึงเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อบังเกิดจิตที่ละโมบคือมูลเหตุ และการถวายตัวเป็นศิษย์คือผล” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “มองเห็นแม่น้ำเหิงเหอข้างหน้าหรือไม่?”
ธิดาราชันฉีหลินมองตามที่หลี่ชิเย่ชี้ไป เห็นแม่น้ำเหิงเหอข้างหน้าที่ไหลเอื่อยๆ ช้าๆ และเงียบ การที่น้ำในแม่น้ำเหิงเหอไหลไปโดยปราศจากเสียงใดๆ เสมือนหนึ่งก้าวข้ามอดีตกาลอย่างนั้น ไหลรินเช่นนี้ตั้งแต่ยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์กระทั่งถึงวันนี้ เหมือนว่ามันไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเลยอย่างนั้น
มองผ่านเลยแม่น้ำเหิงเหอไปไม่สามารถเห็นฟากฝั่งอีกด้านหนึ่ง บอกได้แต่เพียงว่ามีเงาตะคุ่มๆ อยู่เลือนราง เหมือนเป็นแคว้นพระพุทธ และคล้ายเป็นสถานที่ที่มีความเป็นอมตะ เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ขอบเขต…
“ข้ามแม่น้ำเหิงเหอ มีชีวิตเป็นอมตะ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด” ในเวลานี้เอง ธิดาราชันฉีหลินได้นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา
“คำพูดประโยคนี้เป็นเพียงคำพูดที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์มาก ไม่มีผลต่อยุคสมัยของพวกเรา” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบๆ และกล่าวว่า “ในยุคสมัยนั้น หากเจ้าคิดจะถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคต เจ้าก็ต้องละทิ้งผลกรรมของตนเอง ตัดขาดผลกรรมของตนเอง ก้าวข้ามแม่น้ำเหิงเหอ ข้ามไปยังแดนนิพพาน บรรพชาเป็นพระ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ก้าวสู่หนทางไร้ทุกข์ของสรรพชีวิต”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่มองดูศาลเจ้าทองคำทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ดังนั้น จึงกำเนิดศาลเจ้าทองคำขึ้นมา ยามที่ผู้คิดจะข้ามแม่น้ำเหิงเหอไป ข้ามไปยังแดนนิพพาน จะต้องสละกิเลสในใจของตนที่ด้านหน้าศาลเจ้าทองคำเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษหรือความมั่งคั่ง ล้วนแล้วแต่ต้องทิ้งเอาไว้ตรงนี้ สุดท้าย อาศัยตัวเปล่าก้าวข้ามแม่น้ำเหิงเหอไป มีเพียงละทิ้งบาปที่อยู่ในใจจึงจะข้ามไปยังแดนนิพพานได้ สามารถเชื่อมต่อไปแดนสุขาวดีเหล่าเวไนยสัตว์ สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์”
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงกับจ้องมองศาลเจ้าทองคำด้วยความตระหนก เวลานี้นางจึงได้เข้าใจว่าเพราะอะไรสมบัติที่อยู่ในศาลเจ้าทองคำจึงได้วางกันระเกะระกะตามอารมณ์จนเต็มพื้นไปหมด ยิ่งเหรียญทองคำแล้วกระจัดกระจายไปทุกที่ ที่แท้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคนั้นที่ต้องการข้ามแม่น้ำเหิงเหอได้ทิ้งเอาไว้ที่นี่
“นี่คือผลกรรมหนัก การละทิ้งกิเลสทั้งหมดอยู่ที่ตรงนี้ ขณะที่เจ้ากลับต้องการช่วงชิงบรรดาของล้ำค้าของวิเศษหายากเหล่านี้จากผลกรรมหนัก เจ้าจะต้องอาศัยพลังที่แข็งแกร่งเพียงใดเพื่อไปตัดผลกรรมนี้ให้ขาด” หลี่ชิเย่ยิ้มและกล่าวเรียบๆ ขึ้นมา
ในที่สุด ธิดาราชันฉีหลินก็เข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรผู้ที่เข้าไปหยิบฉวยทรัพย์สมบัติจึงต้องตายไปลักษณะเช่นนี้
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ไม่ได้มองดูศาลเจ้าทองคำอีกต่อไป ก้าวเท้าเดินไปยังท่าข้าม ยืนมองจากท่าข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามของเหิงเหอ่จากระยะห่างไกล
ทุกคนต่างหยุดอยู่ตรงด้านหน้าของศาลเจ้าทองคำ เนื่องจากทุกคนต่างมาด้วยเรื่องของของล้ำค่าและของวิเศษที่หาได้ยาก น้อยคนนักที่จะไปให้ความสนใจต่อแม่น้ำเหิงเหอ มีเพียงสามถึงห้าคนที่ยืนพิจารณาแม่น้ำเหิงเหอกันอยู่
กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว การข้ามไปยังแดนนิพพานไม่มีสภาพของความเป็นจริง เทียบไม่ได้กับของล้ำค่า และของวิเศษหายาก
การยืนอยู่หน้าแม่น้ำเหิงเหอ มองดูน้ำในแม่น้ำเหิงเหอที่รินไหลอย่างเงียบๆ ธิดาราชันฉีหลินเองก็อดที่จะมองไปยังฝั่งแดนนิพพานไม่ได้ แต่นางไม่สามารถมองทะลุผ่านไปได้ ต่อให้นางเปิดเนตรฟ้าก็ตามที แดนนิพพานยังคงมองเห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น มองเห็นมี่ชัดเจนอยู่แล้ว
“น้ำในแม่น้ำเหิงเหอมีความอัศจรรย์ขนาดนี้จริงหรือ?” ธิดาราชันฉีหลินมองดูน้ำในแม่น้ำเหิงเหอที่ไหลไปอยางเงียบๆ แล้ว ถึงกับเอ่ยขึ้นมาว่า “มีตำนานเล่าว่า น้ำของแม่น้ำเหิงเหอสามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีพได้”
“นั่นมันเป็นเรื่องที่ยาวนานมากมาแล้ว ไม่นับเป็นยุคสมัยของพวกเรา” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้าเบาๆ “ในยุคนั้น แม่น้ำเหิงเหอหาได้เป็นเช่นนี้ ตามบันทึกว่าไว้ว่า มันเป็นสิ่งที่ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา มันไม่ได้เป็นแม่น้ำสายหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ได้รวบรวมเอาความเชื่อของยุคสมัยหนึ่ง เอาไว้ ดังนั้น มันจึงค่อยๆ ไหลรินอยู่ท่ามกลางยุคสมันนั้น…” หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินและยิ้มกล่าวว่า “…ถ้าหากเจ้าเกิดในยุคนั้น หากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้ามีความศรัทธามากพอ เช่นนั้นแล้วให้ดื่มน้ำในแม่น้ำเหิงเหอแห่งนี้ มันสามารถช่วยชำระล้างความเมื่อยหล้า ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ สามารถทำให้เจ้าอบอุ่นรู้จักพอเพียง”
ครั้นหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ได้หยุดนิดหนึ่ง ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “นี่คือแม่น้ำสายยาวที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง เสียดาย ยังคงไม่สามารถปกป้องคุ้มครองโลกใบนี้ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เสียแรงเปล่า แต่ว่า ในยุคนี้ยังคงสามารถคงฝอเหย่เอาไว้ได้ เรียกได้ว่าแม่น้ำเหิงเหอได้บังเกิดผลด้านนี้ได้เป็นอันมากทีเดียว”