ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1893 โลกนี้ไม่มีแดนนิพพาน
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1893 โลกนี้ไม่มีแดนนิพพาน
ด้วยหลุมดำแต่ละหลุมที่ซ้อนกันแน่นนั้น เสมือนหนึ่งเป็นหุบเหวลึกที่สยองขวัญที่สุดในโลก มันสามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือกาลเวลา และหรือกฎแห่งกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่ถูกกลืนกินสิ้น
โดยเฉพาะยามที่หลุมดำแต่ละหลุมที่หมุนไปในทิศทางที่แตกต่างกันไป มันก็คล้ายดั่งเป็นปากขนาดใหญ่ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่กำลังขบเคี้ยวอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามหากเข้าไปยังหลุมดำก็จะถูกฉีกจนแหลกละเอียดไป แม้กระทั่งกาลเวลา
แต่ว่า ด้วยหลุมดำที่น่าสยดสยองเช่นนี้ แม่น้ำเหิงเหอกลับทะลุผ่านหลุมดำไปได้ทั้งหมด น้ำจากแม่น้ำเหิงเหอมันไหลรินผ่านหลุมดำแล้วหลุมดำเล่าไปอย่างช้าๆ เหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ร่างกายของธิดาราชันฉีหลินถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง พลันที่ได้มองเห็นหลุมดำนั้น ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ร่างกายของธิดาราชันฉีหลินถึงกับแข็งทื่อไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย นาทีนี้ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกได้ถึงวิญญาณของตนกำลังจะล่องลอยออกไป เหมือนถูกหลุมดำดึงแยกออกจากร่างอย่างนั้น
ขณะที่วิญญาณของตนกำลังถูกดึงแยกออกจากร่างกาย แต่นางงกลับจนด้วยเกล้าไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากภายใต้พลังเช่นนี้นางไม่อาจที่จะขัดขืนได้แม้แต่น้อยอยู่แล้ว ภายใต้ผลกระทบจากหลุมดำนี้ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนางไม่สามารถปกป้องวิญญาณของตนเอาไว้ได้ ร่างกายของนางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ กระทั่งไม่สามารถกระดิกแม้แต่นิ้วมือ
ธิดาราชันฉีหลินมองดูร่างกายของตนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ขณะที่วิญญาณกำลังจะหลุดลอยออกจากร่างไป ทำเอาธิดาราชันฉีหลิน ตกใจสุดขีด นาทีนี้นางเข้าใจว่าตนเองนั้นจบเกมแล้ว
แต่ทว่า ในเสี้ยววินาทีนี่เอง ปรากฏพลังอุ่นๆ สายหนึ่งได้ส่งต่อไปถึงวิญญาณของนาง เป็นพลังที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งสายหนึ่งได้ทำการดึงเอาวิญญาณของนางกลับมาในฉับพลันทันที และกลับเข้าร่างตามเดิมโดยพลัน
จังหวะที่วิญญาณกลับคืนสู่ร่างนั้น ธิดาราชันฉีหลินถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ร่างกายอ่อนแรงเกือบจะล้มลง แต่หลี่ชิเย่ได้โอบนางไว้ในอ้อมอกทันที
“อย่าได้จ้องมองมัน ด้วยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าในขณะนี้ยังห่างชั้นที่จะต้านกับอานุภาพของมันได้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ
ในขณะนี้ ธิดาราชันฉีหลินไม่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่อีกแล้ว เมื่อตกไปอยู่ในอ้อมกอดของหลี่ชิเย่ แผ่นอกที่กว้างและแน่นหนาพลันทำให้นางรู้สึกถึงความปลอดภัย เสมือนหนึ่งเป็นอ่าวที่กว้างขวางใหญ่โต ณ ที่ตรงนี้มันช่างสงบเงียบเหลือเกิน ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกวางใจ ไม่ว่าจะมีพายุใดๆมาก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถทำให้ผู้คนพักผ่อนได้อย่างสบาย
การตกลงสู่อ้อมอกลักษณะเช่นนี้ กลิ่นอายของบุรุษที่ไม่เหมือนใครสายหนึ่งได้วนเวียนอยู่ปลายจมูกของนาง โดยกลิ่นอายของบุรุษที่ไม่เหมือนใครสายนี้เสมือนหนึ่งเป็นกลิ่นที่ดีที่สุดในโลก ทำให้จิตใจที่หวาดกลัวของนางพลันรู้สึกสงบลงในทันที อดที่จะแนบชิดไม่ยอมห่าง ทำให้ภายในใจของนางรู้สึกทั้งหอมและหวาน เหมือนร่างของนางล่องลอยอยู่บนปุยเมฆอย่างนั้น
ธิดาราชันฉีหลินในเวลานี้แนบอยู่กับอกของหลี่ชิเย่อย่างดื่มด่ำ ซุกอยู่กับตรงนั้นแนบชิดไม่ยอมห่าง นาทีนี้ไม่ว่าจะมีภัยอันตรายใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะหลอนเช่นใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นไร้ค่าไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
แม้ธิดาราชันฉีหลินจะซุกหน้าอยู่ท่ามกลางอกของหลี่ชิเย่ แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจต่อนางแม้แต่น้อย ในขณะนี้ ประกายจากนัยน์ตาทั้งสองของเขารวมเป็นสายหนึ่ง จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรบังเกิดความคิดแวบหนึ่งขึ้น ปณิธานสูงสุดพลันปะทุขึ้น ความคิดแวบเดียวบรรลุเป็นพุทธะ
“อามิตาพุทธ…” เปล่งพุทธวาจาออกมา ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งร่างของหลี่ชิเย่ปรากฎประกายพุทธะไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งออกมา ประกายพุทธะที่ไร้สิ้นสุดพลันส่องสว่างไสวไปทั่วฟ้าดิน ปิดบังทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก กระทั่งหลุมดำพลันถูกประกายพุทธะที่ไม่มีสิ้นสุดของเขาย้อมจนสีเปลี่ยนไป
พริบตาเดียวนี้เอง หลี่ชิเย่ได้กลับกลายเป็นอริยสงฆ์องค์หนึ่ง สูงส่งปราศจากผู้เทียบเทียม เสื้อผ้าของเขาปรากฏประกายพุทธะระยิบระยับ แม้ว่าเคยเป็นชุดปรกติธรรมดาก่อนหน้า ในเวลานี้ได้กลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าพุทธะ มันคือจีวรของพระสงฆ์โบราณ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพระ เหมือนว่าจีวรพระสงฆ์โบราณนี้พลันปรากฏ มันสามารถครอบคลุมโลกทั้งโลก ทำให้โลกๆ หนึ่งกลายเป็นแคว้นพุทธะดึกดำบรรพ์แคว้นหนึ่ง
ที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวยิ่งกว่าก็คือ ด้านหลังศีรษะของหลี่ชิเย่กำเนิดเป็นธรรมจักรขึ้น ธรรมจักรหมุนเคลื่อนไปรอบหนึ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของยุคสมัยหนึ่ง สับเปลี่ยนหมุนเวียนทั้งโลก ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเช่นใด ไม่ว่ากฎแห่งกรรมจะสับเปลี่ยนเช่นใด ไม่ว่าสัจธรรมจะวิวัฒนาการไปอย่างไร เขาก็จะทอดข้ามท่ามกลางสิ่งนั้น
นาทีนี้ หลี่ชิเย่ก็คือพุทธะ พุทธะก็คือหลี่ชิเย่ ความคิดแวบเดียวของเขาสามารถกลับกลายเป็นแคว้นพุทธะหมื่นพันแคว้น หนึ่งความนึกคิดสามารถโปรดสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ชีวิต หนึ่งความนึกคิดสามารถสยบความวุ่นวายของโลกทุกๆ ยุคสมัย!
ธิดาราชันฉีหลินที่ซุกอยู่กับอกของหลี่ชิเย่เงยหน้าขึ้นมอง เห็นประกายพุทธะเป็นล้านล้านจ้างของหลี่ชิเย่ หนึ่งความนึกคิดกลายเป็นแคว้นพระพุทธหมื่นพัน หนึ่งความนึกคิดสามารถโปรดเวไนยสัตว์ได้นับล้านล้านชีวิต หนึ่งความนึกคิดสามารถสยบความวุ่นวายได้ทุกยุคทุกสมัย หากไม่เป็นธิดาราชันฉีหลินได้กอดหลี่ชิเย่เอาไว้ล่ะก็ เกรงว่านางคงคุกเข่าหมอบกราบสยบอยู่ใต้แทบเท้าของหลี่ชิเย่เสียแล้ว และอดที่จะบรรจงจูบนิ้วเท้าของเขาไปแล้ว
“องมานีปามีฮง….” หลี่ชิเย่ที่กลับกลายเป็นพุทธะในขณะนี้ได้ท่องเป็นคาถาออกมา กลายเป็นพระธรรมของพุทธะ ประกายพุทธะสายหนึ่งได้จี้ลงบนหน้าผากของผีดิบสงฆ์ หนึ่งพระธรรมที่โปรดสั่งสอนรู้แจ้ง
“อามิตาพุทธ…” พระสงฆ์ที่ในเวลานี้ได้กลายเป็นผีดิบไปแล้วนั้นถึงกับปริปากเอ่ยเป็นพุทธวาจาออกมา คำนับและคารวะตามธรรมเนียมสงฆ์ ในพริบตาเดียวนี้เอง ประกายพุทธะสายนั้นของหลี่ชิเย่ได้ระเบิดที่บริเวณหน้าผากของผีดิบสงฆ์ ได้ยินเสียงดัง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดังขึ้น เห็นประกายพุทธะเบ่งบาน เพียงพริบตาเดียวก็ลามกระจายไปทั่วร่างของผีดิบสงฆ์นั้น
นาทีนี้ ผีดิบสงฆ์ถึงกับเปล่งประกายพุทธะออกมาเช่นกัน เหมือนหนึ่งมีชีวิตขึ้นมาโดยพลันอย่างนั้น จิตวิญญาณพุทธะตลบอบอวล เป็นอริยสงฆ์ผู้หนึ่ง
แม้ว่าผีดิบสงฆ์ยังคงเป็นคนตายเช่นเดิม ยังคงเป็นเพียงศพๆ หนึ่งเท่านั้น แต่ทว่าในเวลานี้บนตัวของเขาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งพุทธะ เหมือนว่าทุกอย่างแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เขามีชีวิตหาไม่แล้ว แต่จิตวิญญาณพุทธะเสมือนหนึ่งได้ประทานชีวิตให้กับเขาอย่างนั้น
เสียง “ช่าาา…” ดังขึ้น เดิมทีเรือข้ามฟากที่แล่นมุ่งหน้าไปยังหลุมดำ แต่ทว่า ในพริบตาเดียวนี้เอง ผีดิบสงฆ์พลันหันเรือขวางลำเปลี่ยนทิศทางแล่นไปทางด้านขวาทันที
ผีดิบสงฆ์ยังคงไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมา ยังคงไม่มีท่าทางใดๆ เขายังคงเหมือนเครื่องจักรที่ทำหน้าที่พายเรือข้ามฟากลำนี้ แต่ว่านาทีนี้เรือข้ามฟากได้ปรับเปลี่ยนทิศทางไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เป็นที่ทราบกันดีว่า ขอเพียงลงนั่งอยู่ในเรือข้ามฟากแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการแล่นของมันไปได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เรือข้ามฟากแล่นไปตามยถากรรม แต่นาทีนี้กลับบังเกิดเป็นปาฏิหาริย์ขึ้น ผีดิบสงฆ์ที่มีจิตวิญญาณพุทธะกลับเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเดินเรือของเรือข้ามฟาก นำพาหลี่ชิเย่ และธิดาราชันฉีหลินไปจากหลุมดำ
ธิดาราชันฉีหลินเองรู้สึกตระหนกเป็นอันมากเมื่อได้เห็นภาพนี้ ไม่นึกเลยว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาได้
จากการที่เรือข้ามฟากแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ จึงออกห่างจากหลุมดำมากขึ้นๆ ทุกที สุดท้ายหลุมดำก็ได้หายไปด้านหลังมองไม่เห็นอีกต่อไป
น้ำในแม่น้ำเหิงเหอยังคงไหลริน เหมือนว่าแม่น้ำเหิงเหอนั้นกว้างขวางไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะพายเรือแล่นไปในทิศทางใด ก็จะปรากฏน้ำจากแม่น้ำเหิงเหอปรากฎอยู่ตรงหน้า
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากที่หลุมดำหายไปจากสายตา นับว่าสามารถรอดจากเคราะห์กรรมไปได้อีกเปราะหนึ่งแล้ว
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ได้สลายประกายพุทธะเรียกคืนความนึกคิด และกลับมาเป็นร่างเดิม ยังคงเป็นผู้ชายที่แลดูธรรมดาไม่มีสิ่งใดเป็นที่สะดุดตา
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะสลายประกายพุทธะไปแล้ว แต่ตัวของผีดิบสงฆ์ยังคงส่งประกายพุทธะแวบวับ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณพุทธะ เนื่องจากหลี่ชิเย่ได้คงประกายพุทธะเอาไว้ในร่างของมัน ซึ่งเป็นประกายพุทธะที่คงอยู่ได้นานโดยไม่สลายไป
ธิดาราชันฉีหลินมองดูภาพนี้ด้วยความตะลึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้คลายดั่งเป็นความฝัน ถ้าหากไม่ใช่เห็นมากับตาของตนเอง เรียกได้ว่ายากที่ผู้คนจะเชื่อว่าเป็นความจริง
“กอดเอาไว้อย่างนี้สบายดีมั้ย?” ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินมองดูใบหน้าที่ธรรมดาของหลี่ชิเย่ด้วยความหลงไหลอย่างลึกซึ้งอยู่นั้น เสียงของหลี่ชิเย่ที่เอ้อระเหยดังขึ้นที่ข้างหูของนาง
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งและได้สติกลับมาทันที ในเวลานี้เองนางจึงพบว่าตนเองนั้นกำลังตะกองกอดหลี่ชิเย่เอาไว้แน่น ซุกหน้าอยู่กับอกกว้างของเขาอย่างแนบแน่น ไม่มีทีท่าว่าอยากจะปล่อยวาง
พลันทำให้ใบหน้าของธิดาราชันฉีหลินแดงก่ำ และรีบปล่อยมือทั้งสองข้างทันที ในขณะนี้ธิดาราชันฉีหลิน รู้สึกได้ว่าร้อนผ่าวไปทั่วร่าง เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่อธิบายไม่ถูกตลบอบอวลอยู่ภายในก้นบึ้งของหัวใจ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินยังคงรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นความรู้สึกที่หวานฉ่ำได้ซึมซาบหัวใจของนางไปทั้งดวง
*เมื่อธิดาราชันฉีหลินแอบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง เห็นท่าทีของหลี่ชิเย่ที่ดูเป็นธรรมชาติ เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้ธิดาราชันฉีหลินหายใจด้วยความโล่งอก และมีจิตใจที่สงบลงไม่น้อย
ธิดาราชันฉีหลินมองดูหลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเป็นธรรมชาติแล้ว เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “เมื่อครู่สิ่งนั้นคืออะไร?”
“แค่หนึ่งความคิดเป็นพุทธะเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
น้ำเสียงที่ราบเรียบของหลี่ชิเย่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับอ้าปากตาค้าง เมื่อครู่ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ก็ไม่สามารถเชื่อได้ นางอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หนึ่งความนึกคิดสามารถเป็นพุทธะได้จริงหรือ?”
การจะเป็นพุทธะได้ใช่จะเป็นเรื่องง่ายดาย ผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรที่บำเพ็ญเพียรมาหลายพันหลายหมื่นปีก็ไม่สามารถกลายเป็นพุทธะได้ หนึ่งความนึกคิดเป็นพุทธะมันคือเทพนิยายชัดๆ
“เรื่องนี้ต้องดูว่าคนๆ นั้นเป็นใครแล้วหละ” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งเพียงพอ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เป็นพระหรือเป็นมาร มันก็อยู่ความนึกคิดเพียงแวบเดียวของเจ้าเท่านั้นเอง สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องของโชควาสนา ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรของเจ้า หนึ่งเดียวที่ต้องการก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าเป็นตัวบงการทุกสิ่ง เจ้าต้องการเป็นพระหรือต้องการเป็นมาร ล้วนแล้วแต่อยู่ภายในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าทั้งสิ้น สิ่งนี้หาใช่ว่าเจ้าฝึกเคล็ดวิชามารก็จะกลายเป็นมาร บำเพ็ญพระธรรมก็จะกลายเป็นพระ!”
ครั้นธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำของหลี่ชิเย่เช่นนี้แล้ว ถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง หนึ่งความนึกคิดเป็นมาร หนึ่งความนึกคิดเป็นพระ มันคือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรลักษณะเช่นใดกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเคล็ดวิชามาร ไม่ต้องอาศัยพระธรรม อาศัยความนึกคิดของตนโดยสิ้นเชิง จิตแห่งการบำเพ็ญเพียงเช่นนี้ช่างน่ากลัวเพียงใด!
“พวกเรากำลังเดินทางไปที่ใดกัน?” ไม่ง่ายนักกว่าธิดาราชันฉีหลินจะได้สติกลับมา มองไปข้างหน้าแล้ว เห็นว่ายังคงเลือนลางเหมือนเดิม ไม่สามารถมองเห็นว่าเป็นอะไรได้ชัดเจนอยู่แล้ว
“สถานที่แห่งหนึ่ง” หลี่ชิเย่พูดขึ้นเบาๆ ว่า “สถานที่ที่ปราศจากกิเลสทั้งปวง เป็นสถานที่ที่ซึ่งขณะเกิดภัยพิบัติยุคสมัยนั้นถูกทำลายลง และเป็นสถานที่ที่เพียงแห่งเดียวทที่สามารถดำรงอยู่ได้ และเป็นการดำรงอยู่ที่แท้จริง”
ธิดาราชันฉีหลินไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก ขณะที่หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อในเวลานี้ หลับตาพักผ่อนกายา โดยธิดาราชันฉีหลินนั่งอยู่ข้างๆ ตัวเขาและค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน ปล่อยให้เรือข้ามฟากนำพาพวกเขาแล่นไปข้างหน้า กล่าวสำหรับธิดาราชันฉีหลินแล้ว ขอเพียงมีหลี่ชิเย่อยู่ข้างกาย นางไม่สนอะไรทั้งนั้นว่าเรือข้ามฟากจะนำพาพวกเขาไปที่ใด
“ถึงแล้ว” ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เสียงของหลี่ชิเย่ได้ดังขึ้นข้างหูของธิดาราชันฉีหลิน นางจึงรีบลืมตาขึ้นมา
เมื่อนางลืมตาขึ้นมา ในเวลานี้เรือข้ามฟากได้จอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแล้ว ส่วนผีดิบสงฆ์ที่ทำหน้าที่พายเรือกลับหมอบอยู่ริมฝั่งในขณะนี้ ท่าทีของมันที่เห็นก็คือ มันสยบทั้งกายและใจ หมอบกราบไปยังด้านหน้าในลักษณะเช่นนี้ ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป เหมือนว่าได้กลับกลายเป็นรูปแกะสลักเท่านั้นเอง