ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1909 ซึหุนหลิน
“ถ้าไม่มีอุบายอะไรอีกแล้ว ส่งเจ้าออกเดินทางก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และนิ้วมือที่ชี้ออกไปตามใจ “ปุ” ทารกมังกรหลวงพลันถูกบดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดไปทันที
ทารกมังกรหลวงเข้าใจว่าตัวเองนั้นฉลาด นับตั้งแต่หลี่ชิเย่ได้ของวิเศษจากแหลมฮ่าวว่างมาครอบครอง เขาก็คิดวางแผนให้ร้ายหลี่ชิเย่ตลอดมา ดังนั้น เขาจึงได้ใส่ร้ายหลี่ชิเย่ที่ฝอเหย่
โดยที่เขามองว่า ขอเพียงแผนการร้ายของเขาประสบความสำเร็จ หลี่ชิเย่ก็จะกลายเป็นศัตรูกับผู้คนทั่วหล้า ถึงเวลานั้นทุกคนต่างจ้องจะสังหาร เมื่อมาถึงขั้นนั้น เกรงว่าหลี่ชิเย่ทำได้แค่ขอพึ่งพาอาศัยพวกเขา พึ่งพาอาจารย์ของเขา เมื่อถึงตอนนั้น สมบัติทั้งหมดของหลี่ชิเย่ก็คือหมูในอวยของเขา
อย่างไรก็ตาม แผนการร้ายที่ทารกมังกรหลวงเข้าใจไปเองว่ายอดเยี่ยม กลับกลายเป็นเรื่องที่ช่างน่าขันอะไรอย่างนั้นในสายตาของหลี่ชิเย่ ภายใต้พลังที่เด็ดขาดของเขา มันไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง เทียบไม่ได้กระทั่งฝุ่นผงเสียด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา มองดูของวิเศษแต่ละลังด้วยท่าทีเย็นชา และกล่าวว่า “มันเป็นของของใครก็เอากลับคืนไปกันเองก็แล้วกัน แค่เศษเหล็กเท่านั้นไม่เข้าตาข้า ของวิเศษภายในศาลเจ้าทองคำหยิบจับขึ้นมาสุ่มๆ สักชิ้นก็ดีกว่าพวกเศษเหล็กเหล่านี้แล้ว”
คำพูดนี้อันธพาลยิ่งนัก แต่ ไม่มีใครกล้าพูดสักคำในเวลานี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่กล่าวโทษหลี่ชิเย่เมื่อครู่ก็ไม่กล้าพูดสักคำ แม้แต่ยินหัวลี่ก็นิ่งเงียบเช่นกัน
ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่า นี่เป็นแผนการร้ายของทารกมังกรหลวงเท่านั้นเอง กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่ที่ก้าวถึงจุดนั้นแล้ว สมบัติแต่ละลังที่กองอยู่บนพื้นนับเป็นเศษเหล็กโดยแท้ เฉกเช่นที่หลี่ชิเย่ได้พูดขึ้นมาเมื่อครู่ว่า เขาแค่เอามือคว้าไปตามอารมณ์จากศาลเจ้าทองคำก็ดีกว่าพวกเศษเหล็กเหล่านี้มากมายแล้ว
ไม่มีใครกล้าบ่น และไม่มีใครกล้าสงสัยในคำพูดของหลี่ชิเย่
ครั้นหลี่ชิเย่พาธิดาราชันฉีหลินจากไปแล้ว บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงทยอยกันเข้าไปค้นเอาของวิเศษของตนกลับคืน และพวกเขาไม่กล้าไปหยิบของของคนอื่น เนื่องจากอำนาจบารมีของหลี่ชิเย่ที่ยังคงวนเวียนอยู่กลางใจของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าทำบุ่มบ่าม หากหลี่ชิเย่รู้เข้าล่ะก็ พวกเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้น แค่คำพูดที่พูดออกมาตามอารมณ์ของหลี่ชิเย่ มันคือกฎบัญญัติเหล็กที่ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน
หลี่ชิเย่พาธิดาราชันฉีหลินจากไป ขณะเดินผ่านบริเวณที่ตั้งของระฆังใบนั้น หลี่ชิเย่แหงนหน้ามองขึ้นไปยังจักรวาลทีหนึ่ง
ท่ามกลางจักรวาลตรงนั้น ระฆังพุทธะยังคงแขวนห้อยอยู่บนที่สูงตรงนั้น ภายใต้อวกาศที่มีแต่ซากปรักหักพังปรากฎยอดฝีมือแต่ละคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ รวมทั้งระดับจอมเทพ พวกเขาต่างรอคอยโอกาสที่จะดึงเอาระฆังใบนี้ลงมาให้ได้
เวลานี้ หลี่ชิเย่มองดูทีหนึ่งและยื่นมือออกไป พลันทะลุไปถึงจักรวาลคว้าไปที่ระฆังใบนั้น
“ตึง…” ระฆังเหมือนถูกเคาะตีให้ดังขึ้น แต่ว่าระฆังใบนั้นในเวลานี้กลับไม่โจมตีต่อหลี่ชิเย่ โดยตัวระฆังเองได้เปล่งรัศมีพุทธออกมา คล้ายดั่งประสานเสียงอย่างนั้น ด้วยเสียงที่ชื่นชมยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังขึ้น มันถูกหลี่ชิเย่คว้าลงมาได้อย่างง่ายดาย เหมือนดั่งแหงนหน้าแล้วเก็บเอาผลไม้ผลหนึ่งลงมาอย่างนั้น ทำเอาบรรดายอดฝีมือ และจอมเทพผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ตามดวงดาวขนาดใหญ่ หรืออุกาบาตรถึงกับจ้องมองจนตาค้าง
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ระฆังพุทธะใบนี้องอาจห้าวหาญยิ่งนัก มีความยอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าศาสตราวุธเต๋าของจอมราชันเซียนหวังใดๆ ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากจึงอยากได้ครอบครองจนน้ำลายหก ไม่ว่าใครก็ต้องการได้มันมาครอบครอง
แต่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครทำได้สำเร็จ แม้แต่จอมเทพระดับล่างก็ล้มเหลว เวลานี้หลี่ชิเย่เอื้อมมือข้างเดียวก็คว้าเอามาได้อย่างง่ายดาย ช่างสร้างความงุนงงให้กับผู้คนเหลือเกิน
“ผู้ชายคนที่กลับกลายเป็นพระคนนั้น…” หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่คว้าเอาระฆังพุทธะลงมาล่ะก็ ต้องถูกยอดฝีมือจำนวนมากล้อมโจมตีอย่างแน่นอน เกรงว่าบรรดาผู้ที่เฝ้ารอจังหวะระฆังพุทธะเหล่านั้นจะต้องลุกขึ้นมาโจมตีอย่างแน่นอน
แต่ว่า เมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้ที่คว้าเอาระฆังใบนั้นลงมาก็คือหลี่ชิเย่แล้ว พวกเขาได้แต่ทอดถอนใจออกมา ได้แต่รับว่าตนเองนั้นโชคร้าย การเฝ้ารอคอยมาหลายสิบปีกระทั่งหลายพันปีของตนได้มาเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นเอง
เนื่องจากทุกคนต่างมองเห็นภาพที่หลี่ชิเย่บดขยี้ระดับจอมเทพเหมือนขยี้มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น หากพวกเขากล้าไปหาเรื่องหลี่ชิเย่ล่ะก็ เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง!
สุดท้าย บรรดายอดฝีมือกระทั่งระดับจอมเทพที่เฝ้ารออยู่ทั้งหมดก็ได้สลายตัวกันไป ต่อให้พวกเขาอยากได้ระฆังพุทธะใบนี้เป็นอันมากก็ได้แต่มองดูและทอดถอนใจออกมา
หลังจากที่หลี่ชิเย่คว้าเอาระฆังพุทธะใบนี้ลงมาได้แล้ว ยื่นมือปัดเบาๆ ทีหนึ่ง ปัดเอากฎแห่งกรรมออกไป จากนั้นมอบระฆังใบนี้ให้กับธิดาราชันฉีหลินที่อยู่ข้างกาย กล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้ามีวาสนากับพุทธศาสนา นำเอาระฆังพุทธะใบนี้ติดตัวเอาไว้ก็แล้วกัน จะทำให้เจ้าได้ประโยชน์”
“กฎแห่งกรรมนี้…” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตระหนกและเอ่ยขึ้นมา แม้จะกล่าวว่าหลี่ชิเย่ได้ปัดเอากฎแห่งกรรมออกไป แต่กฎแห่งกรรมไม่ได้หายไปไหน มันไปเพิ่มอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่
“กฎแห่งกรรมที่ข้าแบกรับอยู่หาใช่เจ้าสามารถจินตนาการได้ กับกฎแห่งกรรมเพียงเท่านี้กล่าวสำหรับข้าแล้วไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังสามารถลอกจากคราบของพุทธะได้”
ท่ามกลางฝอเหย่ยังจะมีกฎแห่งกรรมใดน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเมล็ดพันธุ์พุทธะเสียอีก บนตัวของเขาขณะนี้มีเมล็ดพันธุ์พุทธะอยู่ ต่อให้เอากฎแห่งกรรมของระฆังใบนี้รวมเข้าไปบนตัวของเขา เมื่อเปรียบกับกฎแห่งกรรมของเมล็ดพันธุ์พุทธะแล้ว ไม่นับเป็นอะไรเลย
“ขอบคุณคุณชาย” ธิดาราชันฉีหลินได้สติคืนกลับมา รับระฆังพุทธะใบนั้นเอาไว้ แล้วคารวะต่อหลี่ชิเย่อย่างลึกซึ้งโดยไม่ได้ปฏิเสธ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลานสาวคนเก่ง ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็มาที่ฝอเหย่เหมือนกัน” ในเวลานี้เอง ผู้เฒ่าผู้หนึ่งเหินฟ้าลงมา กล่าวพร้อมกับหัวเราะด้วยท่าทีเปิดเผยตรงไปตรงมา
ผู้ที่เหินฟ้าลงมาเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ มีคู่ดวงตาที่โตมากดุจกระดิ่งวัว ไว้หนวดสั้นและแข็งดุจแปรงเหล็ก แลดูทรงกำลังอำนาจยิ่ง จากผมสีดอกเลาสามารถดูออกว่าเขามีอายุมากแล้ว แต่ยังคงคล่องแคล่วดั่งมังกรแลพยัคฆ์ ต้องเป็นขุนพลที่ดุดันอย่างแน่นอน
“ท่านลุงหลิน…” ธิดาราชันฉีหลินเองให้รู้สึกเหนือความคาดคิดที่ได้เห็นผู้เฒ่าผู้นี้ กล่าวว่า “ท่านก็อยู่ที่นี่นะเนี่ย”
“ฮ่า ฮ่า นังหนู หลายปีมานี้ไม่ได้พบเห็นเจ้าถึงกับโตได้ขนาดนี้แล้ว วันหลังจะไปดื่มเหล้าที่บ้านของเจ้า” ผู้เฒ่าผู้นี้หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง
“ทำไมท่านลุงหลินก็มาอยู่ที่ฝอเหย่ด้วย?” การที่ธิดาราชันฉีหลินได้พบผู้อาวุโสที่ฝอเหย่รู้สึกเหนือความคาดคิดเช่นกัน
“เฮ่อ อย่าพูดถึงมันอีกเลย” ผู้เฒ่าผู้นี้จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ ดูดริมฝีปากและยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ข้าเองก็อยากจะได้ระฆังใบนี้มาครอบครอง ก็ข้าเองกำลังขาดอาวุธที่เหมาะมืออยู่นี่ น่าเสียดายที่เฝ้ารอคอยมาหลายปีก็เอามาไม่ได้ เวลานี้นับว่าหลายปีที่เฝ้ารอคือเสียเวลาเปล่าแล้วหละ”
เมื่อได้ฟังคำของผู้เฒ่าแล้วธิดาราชันฉีหลินจึงได้เข้าใจว่า ที่แท้เขาก็หลบซ่อนตัวอยู่บนจักรวาลคอยเฝ้ารอจังหวะระฆังพุทธะใบนั้นเหมือนกัน
“คุณชาย เขาผู้นี้คือท่านลุงหลินของข้า เป็นจอมเทพองค์หนึ่ง” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาจึงแนะนำให้กับหลี่ชิเย่
“นังหนูอย่าได้พูดถึงจอมเทพแล้ว เทพตัวน้อยๆ อย่างข้าไม่เข้าตาท่านพี่คนนี้หรอกนะ” ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง แสดงคารวะแบบจีนและกล่าวว่า “ข้า ตาเฒ่าน้อยซึหุนหลิน เป็นผู้บำเพ็ญตน ตัวน้อยๆ ถือกำเนิดที่ชิงโจว วันนี้สามารถรู้จักกับท่านพี่ นับว่าโชคดีอย่างยิ่ง”
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับถูกความเป็นคนตลกของผู้เฒ่าแหย่จนหัวเราะออกมา แต่ว่านางไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ต้องตกใจระคนกับประหลาดใจแต่อย่างใด จะอย่างไรเสียเมื่อเปรียบกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นหลี่ชิเย่แล้ว ซึหุนหลินก็ไม่นับเป็นอะไรได้
ผู้เฒ่าผู้นี้ที่ชื่อว่าซึหุนหลิน เป็นผู้ที่คบหากับตระกูลราชันฉีหลินมาหลายชั่วคน ยิ่งกับบิดาของธิดาราชันฉีหลินแล้วเป็นสหายที่ร่วมดื่มสุราที่สนิทสนมมาก ตัวเขาเองก็มีความแข็งแกร่งยิ่ง เป็นระดับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวง ทั้งยังเป็นดวงตราสัญลักษณ์สามดวงที่ประสานเข้าด้วยกัน
แม้จะกล่าวว่าซึหุนหลินคือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวง ในสายตาของผู้อื่นนับว่าอยู่ในฐานะสูงส่ง แต่ทว่า แม้อายุของเขาจะมาก และกำลังความสามารถสูงส่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้วกลับมีความถ่อมตนยิ่งนัก ยกย่องหลี่ชิเย่ว่าเป็นพี่ เรียกตัวเองว่าเป็นตาเฒ่าน้อย
เนื่องจากก่อนหน้านั้นเขามองเห็นกับตาตนเองขณะหลี่ชิเย่กลับกลายเป็นพระ หลี่ชิเย่ที่กลายเป็นพระพุทธองค์ทองนั้นคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะพานพบเทพสังหารเทพอยู่แล้ว เฉกเช่นตัวเขาที่เป็นเพียงจอมเทพกับดวงตราสัญลักษณ์สามดวงเทียบกับพวกจอมเทพมังกรหลวงที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงแล้วนับเป็นอะไรได้
พวกของจอมเทพมังกรหลวงบทจะถูกสังหารก็ถูกสังหารไปเลย ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อซึหุนหลินอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่จึงไม่กล้าจะยกตนเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย และยกย่องให้หลี่ชิเย่เป็นพี่
หลี่ชิเย่เพียงมองดูซึหุนหลินทีหนึ่งและพยักหน้าเฉยๆ ถือเป็นการทักทายตอบ
ในสายตาของผู้อื่นอาจจะมองว่านี่เป็นกิริยาที่เย่อหยิ่ง แต่ซึหุนหลินกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ผู้ที่สามารถกลับกลายเป็นพระพุทธองค์ทองได้ ย่อมมีคุณสมบัติและท่าทีที่สูงเด่นเช่นนี้ได้
“หลานสาวคนเก่ง พวกเจ้ามาครั้งนี้จะไปที่ใดรึ?” ซึหุนหลินยิ้มกล่าว
“ไกลกันดาร…” ธิดาราชันฉีหลินกล่าวตอบ
ซึหุนหลินพลันมีแววตาที่สุกใสขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “ไหนๆ ข้าก็ไม่ได้มีธุระอะไร หากไม่รังเกียจล่ะก็ข้าขอไปที่ไกลกันดารด้วยได้หรือเปล่า?”
แม้ว่าคำพูดนี้ซึหุนหลินจะพูดกับธิดาราชันฉีหลิน แต่ดวงตาทั้งสองของเขายังคงมองไปที่หลี่ชิเย่ เนื่องจากเขารู้ว่ามีเพียงหลี่ชิเย่เท่านั้นที้ตัดสินใจได้
ธิดาราชันฉีหลินย่อมไม่กล้าตัดสินใจอยู่แล้ว นางได้แต่จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
“ก็ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย พูดออกมาตามอารมณ์ และเดินหน้าต่อไป
ซึหุนหลินรีบตามติดให้ทัน เหมือนเป็นคนรับใช้คนหนึ่ง โดยไม่ได้วางมาดในฐานะที่เป็นจอมเทพ หัวเราะเสียงดังออกมาและกล่าวว่า “สถานที่ที่อันตรายเช่นไกลกันดาร ตัวน้อยๆ อย่างข้าไม่พอให้พวกมันยัดขี้ฟัน มาวันนี้สามารถติดตามพี่หลี่เข้าไปเปิดหูเปิดตา นับว่าโชคดีมาก โชคดีเหลือเกิน”
แม้ว่าคำพูดของซึหุนหลินออกจะเกินเลยไปบ้าง แต่ก็เป็นความจริงที่ไกลกันดารนั้นอันตรายยิ่งนัก แม้แต่ระดับจอมเทพก็ไม่กล้าเสี่ยง เคยมีระดับจอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบเอ็ดสายเสียชีวิตที่ไกลกันดาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงเช่นเขาเลย
ไม่นานนัก พวกของหลี่ชิเย่ก็ได้กลับไปถึงเรือนิรันดร จังหวะที่หลี่ชิเย่เพิ่งกลับมาบนเรือนิรันดร กัปตันเรือนิรันดรก็ได้มารอเขาอยู่ที่หน้าห้องแล้ว
“ออกไปเถอะ” เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นท่าทางของกัปตันเรือนิรันดร จึงโบกมือเบาๆ ให้ธิดาราชันฉีหลินหลบไปก่อน
“ท่านเซียน นี่คือรายชื่อผู้โดยสารที่อยู่บนเรือนิรันดร” เมื่อเหลือหลี่ชิเย่กับตนเองเท่านั้น กัปตันเรือนิรันดรได้โค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างงาม และมอบรายชื่อให้กับหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่รับเอามาพลิกเปิดดู ยิ้มเรียบๆ และกล่าวว่า “ดูท่าพวกภูติผีปีศาจยกมากันไม่น้อยเลยนี่ เตรียมก่อการใหญ่ขึ้นที่ไกลกันดารน่ะสิ”
“คงจะเป็นเช่นนั้น พวกเขายังได้แบกเอาโลงศพใบหนึ่งมาด้วย รายละเอียดข้างในเป็นอะไรไม่ทราบ และข้าน้อยก็ไม่กล้าคาดเดามากมายนัก” กัปตันเรือนิรันดรรายงานอย่างนอบน้อม
“ถึงจะแบกอะไรมาก็เปล่าประโยชน์” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “ของบางสิ่งในไกลกันดารใช่ว่าพวกเขาสามารถแตะต้องได้! อย่าคิดว่าอาศัยความสัมพันธ์อันน้อยนิดก็สามารถไปแตะต้องสิ่งของในไกลกันดารได้ พวกเขากระทั่งคำว่า ‘ตาย’ ยังสะกดไม่เป็น”
กัปตันเรือยืนแขนทิ้งตัวลงข้างลำตัวไม่กล้าเอ่ยถาม แม้ว่าตัวเขาจะมีความแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่ทว่า สิ่งนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตที่เขาจะถามได้ เนื่องจากในนี้ได้เกี่ยวข้องถึงส่วนของจอมราชันเซียนหวังแล้ว!
…………………………………………………………………….