ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1924 นักปราชญ์
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา เผยให้เห็นถึงน้ำใจและจิตใจที่ซื่อตรงและอ่อนโยน การที่เขาเผยรอยยิ้มที่มีความสุขและอบอุ่นออกมา และกล่าวว่า “ไม่พบกันเสียนานสหายเก่า”
“ไม่พบกันนานสหายเก่า” หลี่ชิเย่เองก็ดูสบายใจและสบายๆ กล่าวทอดถอนใจออกมา “กาลเวลาเคลื่อนผ่าน นำพาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไป แต่กลับไม่สามารถนำเอาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้ากับข้าไปได้”
“หนทางยาวไกล มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าที่มองเห็นแสงปลายอุโมงค์ได้ โลกของเจ้า ยุคสมัยของเจ้าล้วนแล้วแต่ฝากเอาไว้บนตัวของเจ้า สหายของข้า” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมา และกล่าวว่า “เจ้าก็คือเจ้า ข้าคือข้า เจ้าเป็นปราชญ์ ข้าคือมารร้าย เจ้าสามารถช่วยโลก ขณะที่ข้าเป็นเพียงคนที่เดินผ่านไปเท่านั้น โลกอันยิ่งใหญ่ เป็นเพียงจอกแหนที่ล่องลอยในสายตาของข้าเท่านั้น”
“นั่นเป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น” ผู้เฒ่ากล่าวว่า “ข้าเข้าสู่ยุทธภพด้วยความเป็นปราชญ์ ต่อต้านความอำนาจมืด ช่วยเหลือไถ่ชีวิตให้โลก ขณะที่เจ้าเข้าสู่ยุทธภพด้วยความกำแหง หวังเพียงการสู้รบครั้งสุดท้าย แต่เมื่อก้าวเดินจนถึงสุดท้ายแล้ว เส้นทางของเจ้ากับข้าก็บรรจบด้วยกัน ต่างกันที่วิธีการเท่านั้น”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ กับคำพูดลักษณะเช่นนี้โดยไม่ได้โต้แย้ง การพบกันของคนทั้งสองเสมือนดั่งพี่น้อง เหมือนญาติ พวกเขามีความรู้สึกที่ใกล้ชิดสนิทสนม เนื่องจากพวกเขาต่างก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
ภาษิตกล่าวไว้ว่า คนบางคนอยู่ด้วยกันมานานกลับแปลกหน้า คนบางคนเพิ่งพานพบเหมือนรู้จักกันมานานนั้น หมายถึงพวกเขาสองคนนี้แหละ
พวกเขาทั้งสองต่างก็ดำรงอยู่ในฐานะเช่นเดียวกัน ต่างมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งยากจะหาใดเทียมดวงหนึ่ง ต่างปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ไปครึ่งค่อนยุคสมัย ต่างมุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าเพื่อเป้าหมายเดียวกันอย่างกล้าหาญ พวกเขาได้อะไรมามากมาย แต่สูญเสียไปมากยิ่งกว่า แต่พวกเขาไม่เคยเหลียวหลังกลับไป ไม่เคยนึกเสียใจ ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างทระนง
กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว อายุไม่ใช่สิ่งขวางกั้น ผู้เฒ่ามีอาวุโสมากกว่าหลี่ชิเย่จนไม่สามารถนับได้ เขาเป็นผู้ที่โชคดีและรอดมาได้จากยุคสมัยที่เนิ่นนานมากๆ และมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ณ ที่ตรงนี้ แต่พวกเขากลับคบหากันในฐานะเท่าเทียมกัน คบหากันจนรู้ใจกันและกัน
“ข้าเกรงว่าจะไม่ไหวอยู่แล้ว กาลเวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้ว” ผู้เฒ่ากล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน
“วางใจเถอะ แม้ว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้จะไม่เหมือนเดิม แต่อาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ถึงข้ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนดั่งเหล็กและหินเท่านั้น เว้นแต่จิตที่ยึดติดในใจแล้ว ไม่มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้” รอยยิ้มของผู้เฒ่าอ่อนโยนมาก
“แล้วจะมีผู้ใดเล่าที่สามารถปล่อยวางจิตที่ยึดติดนั้นได้หละ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
เมื่อพวกเขาได้พูดคุยมาถึงตรงนี้แล้ว อดที่จะนิ่งเงียบกัน กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วหัวข้อสนทนาเรื่องนี้ช่างหนักอึ้งเหลือเกิน เป็นหัวข้อสนทนาที่กดทับอยู่ในใจของพวกเขามาตลอดทั้งยุคสมัย!
“ข้าเพิ่งจะเล่านิทานเรื่องผู้กล้ากลายเป็นมังกรชั่วร้ายกับคนอื่นไปเมื่อครู่นี้เอง” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้หัวเราะขึ้นมาว่า “แม้ว่าพวกเขาต่างรู้ว่าผู้กล้ากลายเป็นมังกรชั่วร้าย แต่กลับไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ชาวบ้านคนที่แอบสะกดรอยผู้กล้าคนนั้นมีชะตาชีวิตอย่างไร”
“ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตที่แตกต่างกันไป” ผู้เฒ่าเพียงแค่ยิ้มๆ มองเรื่องนี้บางเบามาก และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนเพียงหนึ่งเดียวที่พบความลับเรื่องนี้ และไม่ใช่หนึ่งเดียวที่พบเห็นเรื่องนี้กับตาตนเอง ในโลกนี้ผู้ที่ได้สติและเข้าใจแจ่มแจ้งมีมากมายเพียงใด”
“แต่ว่าปราชญ์ที่แท้จริงกลับมีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ใช่ ในโลกนี้มีผู้ที่ล่วงรู้ความลับเช่นนี้ แต่ จะมีใครสามารถต่อต้านเล่า? ต่อให้สามารถก้าวออกมาต่อต้าน แล้วจะมีใครเล่าที่ทำได้เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ปล่อยเวลาผ่านไปครึ่งค่อนยุคสมัยโดยเปล่าประโยชน์ ยังคงไม่ยอมปล่อยวางสิ่งที่ยึดติดอยู่ในใจนั่น!”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ ได้จ้องมองไปที่ผู้เฒ่าและกล่าวต่อไปว่า “ดังนั้น เจ้าคือปราชญ์ มีปรัชญาเมธีมากยิ่งกว่าที่ได้กลายเป็นสมุน หรือบางทีกลายเป็นมังกรชั่วร้าย”
“บนเส้นทางสายนี้ก็มีปรัชญาเมธีจำนวนมากที่กลายเป็นโครงกระดูกแต่ละโครงไป” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยกลัดกลุ้ม
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่หยักหน้าเงียบๆ และกล่าวว่า “แต่ ไม่มีความตาย ไหนเลยจะมีแสงอรุโณทัย ไม่มีแสงอรุโณทัยไหนเลยจะมีชัยชนะ?”
“ยุคสมัยของพวกเราสิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าพวกเขายังคงหยั่งรากอยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่แตกละเอียดนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องจบลง ยุคสมัยนี้ไม่สามารถยืดเยื้อต่อไปได้ แต่ว่ายุคสมัยของเจ้ายังมีโอกาส เจ้ายังมีโอกาสต่อสู้กับสวรรค์สักครั้ง ขอเพียงเจ้าชนะ เจ้าก็จะสามารถให้ยุคสมัยของเจ้าคงอยู่ต่อไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปจะกลายเป็นงฝุ่นผงของประวัติศาสตร์ บางทีเมื่อถึงวันนั้น วิญญาณที่ร้องโหยหวนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดจึงจะสงบลงได้ สามารถสลายหายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา มิฉะนั้นล่ะก็ ทุกคนต่างวนเวียนอยู่โดยที่เงาทมิฬไม่อาจสลายไปได้ตลอดกาล”
เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับมีท่าทีที่สลด
“อาจจะอย่างนั้นมั้ง” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ และหลี่ชิเย่ “ทั้งหมดนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงทลายสวรรค์เท่านั้นเอง ไม่ตายไม่เลิก ชาตินี้ขอสู้รบจนถึงที่สุด จะเป็นหรือตายล้วนแล้วแต่ไม่มีความสำคัญอีกแล้ว”
“ไม่ เจ้าจะต้องได้รับชัยชนะกลับมา” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ทอดสายตาไปในยุคสมัยของเจ้า หากแม้แต่เจ้ายังไม่สามารถได้รับชัยชนะกลับมาล่ะก็ ยุคสมัยของเจ้าก็หมดหวังเสียแล้ว แม้ว่าในยุคสมัยของเจ้าก็เคยมีคนพยายามอยู่ก่อน แต่ไม่มีใครสามารถก้าวเดินได้เด็ดขาดเช่นเจ้า! ส่วนใหญ่เอาตัวรอดทั้งนั้น ถ้าหากเจ้าต้องตายอยู่ที่สุดปลายทางของโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นยุคสมัยของเจ้าก็ต้องตกอยู่ในความมืด ภาพของการนองเลือดต้องย้อนกลับมาแสดงในยุคสมัยของเจ้าอีกครั้ง กระทั่งทำลายล้างจนสิ้น”
“ข้าไม่ใช้พระเจ้าที่ช่วยโลก” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าช่วยเหลือโลกไม่ได้ ช่วยจิตใจของมนุษย์ไม่ได้ ถ้าหากเจ้าคาดหวังให้ข้าดำรงอยู่ในสถานะเหมือนดั่งเจ้า เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วหละ”
“แต่ว่า เจ้าสามารถช่วยเหลือตัวเจ้าเอง! การสู้รบครั้งสุดท้ายหากเจ้าไม่เอาชนะมันให้ได้ เจ้าก็จะไม่สามารถกลับมาได้ตลอดกาล ต่อให้เจ้าตายไปแล้ว เงาของเจ้าก็จะวนเวียนอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลานี้ ทอดสายตามองออกไปยังสายน้ำแห่งกาลเวลาที่สุดลูกหูลูกตานี้ มีปรัชญาเมธีจำนวนเท่าไรที่ไม่เต็มใจกันเล่า? และมีคนจำนวนเท่าไรที่วนเวียนอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลานี้ หากเจ้าไม่รบให้เชนะ ต่อให้เจ้าตายไป จิตที่ยึดติดนั้นของเจ้าจะไม่มีวันสลายตลอดไป เจ้าจะวนเวียนอยู่ตรงนั้นตลอดไป และคำรามเสียงดังก้อง!”
“ดังนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะรบเพื่อหลุดพ้น หรือรบเพื่อต้องการเอาชนะให้ได้!” ท่าทีของผู้เฒ่าหนักแน่นจริงจังมาก แววตาที่ดูลึกล้ำยิ่งนัก คำพูดทุกๆ คำของเขาล้วนแล้วแต่เป็นข้อคิดเห็นที่รู้จริงและเฉียบแหลม
“ข้ามีจิตที่ต้องการเอาชนะให้ได้!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลี่ชิเย่ที่นิ่งเงียบได้เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ข้าเชื่อ” ผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความอ่อนโยน และกล่าวว่า “เจ้าดำรงอยู่ตลอด ใจของเจ้าก็คงอยู่ตลอด เนื่องเพราะเจ้ามีความคิดที่จะเอาชนะให้ได้ ทำให้เจ้าสามารถก้าวเดินมาจนถึงวันนี้ และทำให้เจ้าสามารถเข่นฆ่าสังหารจนถึงวันนี้!”
“บางทีหากเจ้ามีจิตที่เข่นฆ่าสังหารเหมือนข้า ไม่แน่นักเจ้าอาจจะสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดของยุคสมัยยุคแล้วยุคเล่าไปนานแล้ว ไม่แน่นักยุคสมัยของเจ้าได้สืบทอดต่อไปได้อีก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
หลี่ชิเย่ได้เคยเล่านิทานเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดของยุคสมัยให้กับพวกของธิดาราชันฉีหลิน ในนิทานเรื่องนี้ทุกยุคสมัยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองล้วนแล้วแต่อยู่กับการเก็บเกี่ยว เคยมีผู้ที่ต่อต้านเหมือนกัน แต่ ท้ายที่สุดแล้วก็จะเหมือนนิทานเรื่องผู้กล้ากับมังกรชั่วร้ายอย่างนั้น ผู้กล้ากลายเป็นมังกรชั่วร้าย
แต่ก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน เฉกเช่นผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้า เขาก็เหมือนชาวบ้านที่สะกดรอยผู้กล้าคนนั้นในนิทาน เขาล่วงรู้ถึงความลับการเวียนว่ายตายเกิดของยุคสมัยตน รู้ว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงของเผ่าพันธุ์ตนทำไมถึงเก็บเกี่ยวเอาชีวิตประชาชนของตนเอง
เป็นตัวเขาที่ก้าวยืนออกมาต่อต้านในยุคสมัยที่สีเลือดย้อมไปทั่วฟ้าดิน เขาต่อต้านมาโดยตลอด ผ่านยุคสมัยมายุคแล้วยุคเล่า เขาช่างมั่นคง ช่างไม่มีสั่นคลอนหวั่นไหวอะไรอย่างนั้น แต่สุดท้ายแล้วเขายังคงล้มเหลว ยุคสมัยของเขาตกอยู่ท่ามกลางความมืด กระทั่งล่มสลาย!
“ในโลกไม่มีถ้าหาก” ผู้เฒ่าพูดเบาๆ ว่า “ถ้าหากจะกล่าวว่า คำแนะนำด้วยน้ำใสใจจริงที่ข้าให้กับเจ้าได้ก็คือ ระวังผู้ที่เดินข้างกายกับตน บางทีสุดท้ายแล้วคนที่ทรยศต่อเจ้าก็คือบรรดาปรัชญาเมธีที่เดินไปข้างหน้าโดยตลอด ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็เข้าใจถึงเหตุผลข้อนี้”
หลังจากที่เขาพูดจบท่าทีของเขาดูจะหนักอึ้งมากทีเดียว
ความจริงแล้ว ใช่จะเพียงแค่ผู้กล้ากลับกลายเป็นมังกรชั่วร้ายเท่านั้น ยังมีปรัชญาเมธีที่กลายเป็นลูกสมุน กลายเป็นมังกรชั่วร้ายได้เช่นกัน
ท่ามกลางยุคสมัยเช่นนี้ ผู้เฒ่าเกือบสามารถทำให้การเก็บเกี่ยวที่เวียนว่ายตายเกิดนี้สิ้นสุดลงได้เป็นผลสำเร็จ แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับล้มเหลว สาเหตุที่ล้มเหลวเป็นเพราะมีปรัชญาเมธีที่กระทำเรื่องนี้อยู่ก่อนทรยศหักหลัง เคยเป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกันต่อต้านกับอำนาจมืดกลับกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของอำนาจมืดมในที่สุด!
“ข้ารู้แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ก่อนเปิดศึก สิ่งที่สมควรกวาดล้างให้สิ้นซาก ข้าจะทยอยจัดการกวาดล้างให้ราบคาบ คนที่มีใจคิดเป็นอื่นฆ่าไม่มีละเว้น ข้าจะไม่เมตตาเหมือนดั่งเจ้า ความผิดพลาดที่เจ้าเคยทำมา ข้าจะไม่ให้มันซ้ำรอยเดิม” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาทั้งสองของเขาเผยให้เห็นแววตาที่น่ากลัวออกมา
ผู้เฒ่าพยักหน้าเบาๆ พวกเขาต่างเป็นผู้ที่ผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายทารุณที่สุดมาแล้วทั้งสิ้น พวกเขาเข้าใจถึงปรัชญาชีวิตของคนได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่าใคร
“มีอะไรที่ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ สหายของข้า” ท้ายสุด ผู้เฒ่าได้พูดขึ้นมาช้าๆ
“ข้าจะเปิดศึก” ในเวลานี้หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา และกล่าวว่า “ข้าจะทำสงครามสักครั้ง สงครามที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด!”
“ในไกลกันดารนี้รึ!” แววตาของผู้เฒ่ากระตุกนิดหนึ่ง กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ศัตรูเป็นใครกันรึ?”
“ผู้ยิ่งใหญ่แห่งไกลกันดาร!” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ข้าพูดแบบแสแสร้งสักหน่อยก็จะบอกว่าช่วยปราบไกลกันดารให้ราบคาบเพื่อเจ้า จัดการสิ่งที่ยึดติดอยู่ภายในใจให้จบสิ้น แต่ถ้าพูดให้เป็นความจริงสักหน่อย ข้าต้องการของที่อยู่ในไกลกันดารพวกเจ้า ดังนั้น ข้าต้องการเปิดศึกสงครามครั้งหนึ่ง ข้าจะลากเอาตัวผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ใต้ดินขึ้นมา จัดการสังหารมันเสีย ข้าจึงจะได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ”
“เจ้าต้องการอะไร?” ผู้เฒ่าจ้องมองหลี่ชิเย่ และเอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ
สายตาของหลี่ชิเย่เพ่งไปข้างหน้า แลดูลึกล้ำ และแหลมคมยิ่งนัก กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าต้องการอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคที่อยู่ในยุคสมัยของเจ้า!”
ผู้เฒ่านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เจ้าควรจะรู้ว่า นี่เป็นอาวุธที่มหาโหด อาวุธทำลายล้าง ระดับความทารุณโหดร้ายของมันสุดจะจินตนาการได้”
“มีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคเล่มไหนที่ไม่ใช่มหาโหดบ้างหละ?” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “แต่ว่า ในเมื่อมีคนที่ถืออาวุธมหาโหดในมือ ข้าก็ต้องมีเล่มหนึ่งกับเขาบ้างเหมือนกัน! ทารุณโหดร้ายต่อทารุณโหดร้าย เป็นวิธีที่ตรงที่สุด”
“เจ้าจะต้องเผื่อใจเอาไว้” ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ครั้งนั้น ข้าได้พ่ายแพ้ก่อนที่การทำลายล้างจะเริ่มต้นขึ้น อาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคเล่มนี้แตกสลายไปขณะที่มีการทำลายล้างหรือไม่ข้าก็ไม่กล้ารับรอง ภายใต้การล่มสลายของยุคทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ”
“ต่อให้ไม่มีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุค ในครั้งครานั้นพวกเขาย่อมต้องมีสิ่งอื่นๆ บ้างนะ การที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่มาได้ย่อมต้องมีสิ่งอื่นๆ ให้ได้พึ่งพา จะมีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคหรือไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญเสมอไป สรุปก็คือข้าต้องการทรัพยากร ทรัพยากรที่มีปริมาณมากพอ ทรัพยากรเช่นนี้เพียงพอสำหรับให้ข้าได้ใช้ยามที่มีการปราบปรามให้สงบ!” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีน่าเกรงขามออกมา
“ทรัพยากรมีแน่นอน” ผู้เฒ่ากล่าวว่า “พวกเขาได้มีการเก็บเกี่ยวมายุคแล้วยุคเล่า ทรัพยากรที่สั่งสมเอาไว้มีมากมายเหลือเกิน ต่อให้พวกเขาได้ใช้ไปบ้างแล้ว แต่ปริมาณที่เหลืออยู่ยังคงน่าตกใจ!”