ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1945 ชี้แนะจินเก๋อ
“ควรเป็นไปตามนัดนะเนี่ย” เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินคำพูดของจินเก๋อเพียงยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “แล้วเจ้าจะเลือกแบบไหนหละ?”
“ไม่ เป็นท่านปรมาจารย์ที่เป็นผู้เลือก” จินเก๋อส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า “อยู่ต่อหน้าท่านปรมาจารย์ ยังมีให้ข้าจินเก๋อได้เลือกอีกรึ? หากท่านปรมาจารย์จะลงมือสั่งสอนจินเก๋อ จินเก๋อขอสู้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นัดหมายย่อมเป็นนัดหมาย ข้าจินเก๋อยังไม่ถึงขั้นยอมรับผิดและไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้แล้วเขาเองยังต้องหัวเราะออกมา แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนเผชิญอยู่นั้นน่ากลัวมาก เคยเข่นฆ่าจอมราชันเซียนหวังมาก่อน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จินเก๋อก็เลือกที่จะไปเผชิญหน้า เขาจะไม่เป็นเพราะหลี่ชิเย่นั้นน่ากลัวเกินไปแล้วเลือกที่จะหลบเลี่ยง
ดังนั้น วันนี้จินเก๋อจึงได้มาตามนัด ไม่ว่าผลจะลงเอยอย่างไรเขาก็ต้องไปเผชิญหน้ากับมัน สิ่งนี้ไม่เพียงเพราะเป็นนัดหมายของเขากับหลี่ชิเย่ก่อนบรรลุเป็นจอมราชัน ขณะเดียวกันเป็นการทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนมีความมั่นคง
ถ้าหากกระทั่งการนัดหมายเช่นนี้เขายังไม่กล้าไปเผชิญ และหลบเลี่ยงยังไม่ทันได้สู้รบล่ะก็ มันจะทำให้เกิดเป็นเงามืดที่ไม่สามารถลบเลือนภายในใจไปตลอดกาล ต่อให้เขาสามารถกลายเป็นจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสายได้จริงๆ เกรงว่าเขาคงไม่สามารถหลุดพ้นจากเงาสายนี้ที่อยู่ในใจได้ตลอดกาล
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ สำหรับคำกล่าวลักษณะเช่นนี้ของจินเก๋อ ค่อยๆ จิบชาคำหนึ่ง และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สัจธรรมแลหมื่นวิชา สุดท้ายย่อมสามารถวิวัฒนาการได้ โชควาสนาฟ้าดิน ท้ายสุดแล้วก็สามารถบรรลุได้ มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ต้องใช้เวลาก้าวทีละก้าว ในโลกนี้สิ่งของจำนวนมากสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้กลับสามารถแข็งแกร่งจนไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ สามารถก้าวข้ามกาลเวลา สามารถอยู่กับยุคสมัยในอดีตอันยาวนานที่ห่างไกลออกไปจากปัจจุบัน”
หลี่ชิเย่พูดต่อเนื่องออกมาช้าๆ ขณะที่จินเก๋อตั้งใจรับฟัง แม้ว่าวันนี้เขาได้เป็นระดับจอมราชันเซียนหวังแล้ว แม้ว่าวันนี้เขาได้สืบทอดชะตาฟ้าแล้วก็ตาม แต่ทว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ดึกดำบรรพ์แล้ว เขายังคงเป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่งเท่านั้นเอง
“บ่อยครั้งที่มองมิติกาลเวลาไกลๆ หวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา มองไปข้างหน้าและถามตัวเองว่า สิ่งที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ในโลกนี้คืออะไร?” หลี่ชิเย่กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “สุดท้ายแล้วสิ่งที่สามารถทำให้เจ้าเป็นอมตะได้จริงๆ คืออะไร?”
จินเก๋อที่ฟังคำลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงกับนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปนานมากเขาจึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านปรมาจารย์ โลกนี้มีสิ่งที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้จริงรึ?”
“ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับใจแข็งดั่งหินเหล็ก และไม่ใครที่เกิดมาพร้อมกับจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ นี่เป็นการเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนที่ไร้สาระ สิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป จำเป็นต้องอาศัยการผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ของเรื่องราวต่างๆ บนโลก บนโลกนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยหวั่นไหว ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยมีท่าทีที่เกิดความสงสัยไม่มั่นใจ แต่ว่า เมื่อเจ้ากำลังสิ้นหวัง เมื่อเจ้ารู้สึกยากที่จะยืนหยัดต่อไป เจ้าลองถามใจตัวเองสิว่า ความตั้งใจเดิมของเจ้าคืออะไร? ขอเพียงเจ้าไม่ลืมความตั้งใจเดิม ขอเพียงเจ้าคอยเตือนหมั่นฝึกตนครั้งแล้วครั้งเล่า จึงสามารถทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้ามีความแข็งแกร่งมั่นคงขึ้นมาได้” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว จ้องมองไปที่จินเก๋อ
หลังจากที่จินเก๋อได้ฟังคำเช่นนี้แล้ว เขาได้ทำการพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด และจดจำมั่นในใจ
“พรสวรรค์ของเจ้าสูงมาก มีความสามารถในการเป็นจอมราชัน” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “เจ้าก็มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงดวงหนึ่ง แต่อย่างไรเสียยังหนุ่มแน่น ท่ามกลางวิถีทางอันยาวไกล ควรค่าแก่เจ้าไปเสาะแสวงหาด้วยความยากลำบาก หาใช่จำนวนมากหรือน้อยของชะตาฟ้า ไม่ใช่ทักษะยุทธที่สูงหรือต่ำ แต่เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ทำให้เจ้าไม่หวั่นไหวดวงหนึ่ง”
“ความจริงเป็นเช่นนี้จริงหรือ?” จินเก๋อรู้สึกตะลึงนิดหนึ่ง
“หรือเจ้าคิดว่าอย่างไรหละ? ถ้าหากไม่ใช่ งั้นมันคืออะไร? ชะตาฟ้ามากหรือน้อย หรือว่าสิ่งอื่นๆ?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เหมือนดั่งเจ้า วันนี้เจ้ารู้ตัวดีมาก เจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าปรารถนาคืออะไร แต่หากสักวันหนึ่ง โลกของเจ้ากำลังจะแตกสลาย และเจ้าต้องเผชิญกับการจะต้องเลือก ถ้าหากว่าเจ้าทำเพื่อตัวเอง ยอมศิโรราบต่ออิทธิพลมืด เงื้อมีดขึ้นมาแล้วทำการเข่นฆ่าคนในเผ่าของเจ้า กระทั่งคนในครอบครัวของเจ้า แม้กระทั่งภรรยาที่เจ้ารักมากที่สุด สังหารพวกเขาไปทีละคนๆ ในเวลานี้ ฉวยโอกาสที่เจ้ายังมีสติ เจ้าลองถามใจตัวเองสักครั้ง…”
“…วินาทีที่เจ้าเงื้อมีดขึ้นมานั้น เจ้าคิดว่าเจ้าได้ครอบครองชะตาฟ้าจำนวนเท่าไร เจ้ามีทักษะยุทธเพียงใด เรื่องนี้สำคัญนักหรือ? ต่อให้เจ้ามีชะตาฟ้าสิบสองสายในครอบครอง แต่ว่านาทีนี้เจ้าไม่ใช่ตัวเจ้าอีกแล้ว เจ้าคิดว่านี่คือความปรารถนาบนเส้นทางการเป็นจอมราชันของเจ้ารึ? คือความตั้งใจเดิมของการเป็นจอมราชันของเจ้ารึ?”
ครั้นหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “ขณะที่เจ้าเงื้อมีดขึ้นมาวินาทีนั้น บางทีหากสามารถย้อนเวลากลับไป บางทีเจ้าอาจคาดหวังอย่างยิ่งว่าตัวเองจะมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงไม่หวั่นไหวดวงหนึ่ง ปฏิเสธความสับสน ต่อต้านอำนาจมืด ให้ความตั้งใจเดิมไม่หวั่นไหว ยืนหยัดในวิถีสัจธรรมของตน เดินไปข้างหน้าอย่างทระนง ต่อให้สิ้นหวัง หรือต้องล้มลง ก็จะก้าวเดินจนถึงที่สุด”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้จินเก๋อที่เพิ่งได้เป็นจอมราชันหมาดๆ ตกอยู่ในความนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ยิ่งในขณะที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นจอมราชันด้วยแล้ว เขาต้องการสืบเสาะค้นหาหนทางการเป็นจอมราชัน เมื่อได้เป็นจอมราชันแล้ว สิ่งที่สืบเสาะก็เปลี่ยนไป ภาพที่อยู่ตรงหน้าได้แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางมากกว่านั้นอีก
“ดังนั้น ถือโอกาสที่เจ้าเพิ่งบรรลุเป็นจอมราชันใหม่ๆ ขณะที่ภายในใจยังตื่นรู้ เจ้าสมควรถามตัวเองให้ดีว่า สิ่งที่เจ้าต้องการคืออะไร? ถามใจตัวเอง และเตือนตัวเองให้ดี” ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ จ้องมองไปที่จินเก๋อ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่ไม่ลืมความตั้งใจเดิม หรือเป็นพลังที่สูงสุด หรือเป็นสิ่งอื่นๆ?” คำพูดของหลี่ชิเย่ได้เปิดหน้าต่างให้กับจินเก๋อบานหนึ่ง ในอดีตสิ่งที่เขาสนทนากับผู้อาวุโส หรือสหายร่วมอุดมการณ์ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรม สถานการณ์ในหล้า แต่ มาวันนี้หลี่ชิเย่เพียงถามหาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาเท่านั้นเอง
หลังจากที่จินเก๋อได้พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ลุกขึ้นยืนและคำนับต่อหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ และกล่าวว่า “วันนี้จินเก๋อได้รับการชี้แนะจากท่านปรมาจารย์ ทำให้เห็นทางสว่าง ท่านปรมาจารย์ละทิ้งความอคติชี้แนะต่อจินเก๋อ จินเก๋อขอบคุณอย่างยิ่ง”
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาและกล่าวว่า “นี่มันคนละเรื่องกัน ข้าเป็นศัตรูกับเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์พวกเจ้า นั่นเป็นเพราะข้าคือเผ่ามนุษย์ ซึ่งเป็นการเลือกที่ง่ายดายมาก ส่วนเรื่องที่ข้าชี้แนะต่อเจ้า นั่นเป็นเพราะเจ้าคือผู้มีความสามารถที่ขัดเกลาได้ นี่ก็เป็นการเลือกที่ง่ายดายเช่นกัน”
“ความใจกว้างของท่านปรมาจารย์ ใช่รุ่นพวกเราสามารถคาดเดาได้” จินเก๋อกล่าวทอดถอนใจออกมา
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเองก็ได้เป็นจอมราชันแล้ว เรื่องที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย ให้มันล่องลอยไปตามสายลมก็แล้วกัน สิ่งที่ข้าสามารถมอบให้กับเจ้าก็มีเพียงเท่านี้”
จินเก๋อก็รู้ตัวว่าได้เวลาอันสมควรที่ควรไปจากแล้ว เขาทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ฟังบรรพบุรุษเล่าว่า ท่านปรมาจารย์จะทำศึกใหญ่ หากท่านปรมาจารย์ไม่รังเกียจว่าจินเก๋ออ่อนด้อย จินเก๋อยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง”
“ใช่ว่าข้ารังเกียจเจ้าที่กำลังน้อย แต่เป็นเพราะเจ้าเพิ่งบรรลุสัจธรรม นั่งดูไปก่อนจะดีกว่า” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “คงมีสักวันที่เจ้าจะมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับอำนาจมืด คราวนี้ให้ถือเสียว่านั่งดูข้างๆ เป็นการสั่งสมประสบการณ์ก็แล้วกัน จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนี้ของเจ้ายังต้องการเจียระไน ต้องผ่านการเจียระไนมากพอ จึงสามารถตกผลึกและคงที่ได้สำหรับจิตของจอมราชัน”
เมื่อจินเก๋อได้ฟังคำของหลี่ชิเย่แล้วรู้สึกได้ประโยชน์ยิ่งนัก โค้งคำนับอย่างงามและกล่าวว่า “ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ปกป้องผู้เยาว์ จินเก๋อขออำลาเพียงเท่านี้”
หลี่ชิเย่เพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้ลุกขึ้นมาส่ง
สุดท้าย ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก จินเก๋อได้ไปจากเรือนิรันดรด้วยท่าทีที่สงบนิ่งอย่างยิ่ง ต่อให้คนอื่นคิดจะจับอะไรบางอย่างจากท่าทีของเขาก็ไม่ได้อะไรเลย
“เฮ่อ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีการต่อสู้กัน ดูท่าบุญคุณความแค้นระหว่างคนโหดอันดับหนึ่งกับตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังคงเลิกราต่อกันเท่านี้” บรรดาผู้ที่เกรงว่าใต้หล้าจะไม่ลุกเป็นไฟได้เอ่ยขึ้นมาลับๆ เมื่อเห็นจินเก๋อไม่ได้ต่อสู้กับหลี่ชิเย่
การพบกันระหว่างจินเก๋อกับหลี่ชิเย่ในครั้งนี้ไม่ได้มีการปะทะกันเกิดขึ้น ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่า มันเป็นการบ่งบอกถึงบุญคุณความแค้นระหว่างกันของพวกเขาได้เลิกรากันอย่างแท้จริงไปแล้ว สำหรับการตายของรัชทายาทเทียนหวงกับกษัตริย์เทียนหวงได้กลับกลายเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และจะไม่มีใครไปเอ่ยถึงมันอีกต่อไป
ต่อให้มีขุนนางเก่าแก่ของแคว้นหงส์ฟ้าต้องการแก้แค้นให้กับนายของตน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เนื่องจากท่าทีของจินเก๋อนั้นได้เคาะตัดสินเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้นต่อให้บรรดาขุนนางเก่าเก่าของแคว้นเทียนหวงจะหาญกล้าเพียงใดก็ตาม ก็ไม่กล้าไปซักถามข้อสงสัยในอำนาจของจอมราชัน
“จินเก๋อนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้านนี้เขาเหนือกว่าราชันสวรรค์ขวางเส้าไม่รู้เท่าไร” ระดับจอมเทพที่ได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับพยักหน้า และกล่าวว่า “สิ่งใดสามารถก้าวข้ามไปได้อย่างไรเสียก็ต้องก้าวข้ามไป แต่ราชันสวรรค์ขวางเส้าไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ สุดท้ายจึงต้องพบกับจุดจบเช่นนี้”
หลังจากจินเก๋อจากไปแล้ว พวกของซึหุนหลินต่างรู้สึกสงสัยว่าเขากับหลี่ชิเย่คุยอะไรกัน แต่เมื่อหลี่ชิเย่ไม่พูด พวกเขาก็ไม่กล้าถาม
“รั้งอยู่ที่นี่เสียดีๆ” เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ลุกขึ้นยืนและสั่งการกับพวกของธิดาราชันฉีหลินไว้ว่า “พายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาแล้ว พวกเจ้าจงทำตัวดีๆรั้งอยู่ที่เรือนิรันดรเสีย มิฉะนั้นล่ะก็ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าต้องตายไม่เหลือแม้แต่ซาก ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองต่อให้จอมราชันเซียนหวังก็ยากจะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวเตือนพวกซึหุนหลินด้วยความหนักแน่นจริงจังเช่นนี้ ทำให้พวกเขาถึงกับสั่นเทิ้ม นาทีนี้พวกเขารู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนที่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนั้น พวกเขาไม่อาจรู้ได้ และไม่กล้าซักถามให้มากความ
“คุณชายจะไปที่ใดรึ?” ธิดาราชันฉีหลินซึ่งสนิทกับหลี่ชิเย่มากที่สุดจึงกล่าวเอ่ยถามขึ้นมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ลุกขึ้นจะเดินจากไป
หลี่ชิเย่มองไปยังที่ที่ห่างไกล ดวงตาทั้งสองกลับกลายเป็นลึกล้ำยิ่งนัก เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไปยังที่ที่ห่างไกลมากแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่แห่งหนึ่งของไกลกันดารที่น้อยคนนักที่จะไปถึงได้ พายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะเกิด อย่างไรเสียก็ต้องมีการเตรียมการสักหน่อย เจ้าว่างั้นมั้ย”
ธิดาราชันฉีหลินไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี สุดท้ายนางได้แต่พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ขอให้คุณชายประสบผลสำเร็จ ได้รับชัยชนะกลับมา”
“ข้อนี้เจ้ามีส่วนคล้ายกับเย่หลิน” หลี่ชิเย่ที่มองดูธิดาราชันฉีหลิน ถึงกับยิ้มจางๆ ออกมา และเอามือลูบเส้นผมของธิดาราชันฉีหลินเบาๆ จากนั้นล่องลอยจากไป
พวกของซึหุนหลินต่างละสายตากลับมาหลังจากที่หลี่ชิเย่จากไปไกลแล้ว เหลือเพียงอู่ฟ่งหยิ่งที่จ้องมองอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมละสายตากลับมา
“พี่ คนเขาไปไกลแล้วหละ” อู่ชีใช้มือโบกไปมาอยู่ตรงด้านหน้าอู่ฟ่งหยิ่ง กล่าวยิ้มแต้ออกมา
อู่ฟ่งหยิ่งได้สติกลับมาพลันรู้สึกใบหน้าแดงก่ำ จ้องเขม็งอู่ชีทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าครั่นเนื้อครั่นตัวอยากโดนอัดหรือ”
อู่ชีทำหยักไหลทีหนึ่ง ท่าทางอย่างไรก็ได้ ยิ้มแต้กล่าวว่า “พี่ เมื่อครู่ทำไมไม่กล่าวคำอำลากับเขาดีๆ หละ ไปสวมกอดหรือจูบลาอะไรทำนองนั้น เกิดเขาไปแล้วไปลับ มิต้องเฝ้าคิดถึงโดยเปล่าประโยชน์รึ”
“หุบปากเสียๆ ของเจ้า…” อู่ฟ่งหยิ่งจ้องตาเขม็งไปที่อู่ชี กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธขึ้นมา
“ไม่พูด ไม่พูด” อู่ชีรีบยิ้มแต้และไม่พูดอะไรมากอีก แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แววตาของเขายังเผยให้เห็นถึงความกังวลที่สลัดไม่ออก เนื่องจากเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า พี่สาวของเขากับหลี่ชิเย่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลี่ชิเย่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงมากเกินไป ซึ่งหาใช่พี่สาวของเขาสามารถเอื้อมถึงได้